ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 89 ยังไม่เกิดขึ้น
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 89 ยังไม่เกิดขึ้น
ตอนที่ 89 ยังไม่เกิดขึ้น
สายลมพัดผ่านหน้าต่างอย่างเงียบงันจนแทบจะไร้เสียง ลูเมี่ยนนั่งอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันสงบสุขนี้ ปล่อยให้ความคิดลอยไปตามสัญชาตญาณ ค้นหาคำตอบของบางสิ่ง
“บนทางเดินด้านนอกยังมีแสงไฟ ลีอายังไม่นอนสินะ คงอ่านหนังสือของโอลัวร์อยู่…”
“ห้องนอนของเราไม่มีไฟ วาเลนไทน์คงหลับแล้ว ส่วนไรอันไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร…”
“หึหึ… มาบ้านคนอื่นครั้งแรก แต่กลับไม่ได้พกเหล้ามาด้วย ไม่รู้จักธรรมเนียมของดาลีแอชหรือไง?”
“ถ้ายุติวัฏจักรได้จริง แล้วพี่กลายเป็นสายสืบให้หน่วยแปด ถึงตอนนั้นก็สามารถไปเที่ยวทรีอาร์ได้โดยไม่ต้องกลัวถูกจับ… แล้วเราล่ะ? ถ้าเป็นแค่สายสืบ ก็อาจไม่ต้องเข้ารับการทดสอบพิเศษ…”
“ตอนนี้เริ่มเห็นภาพรวมแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่แน่ชัดก็คือ นกฮูกในห้องเก็บศพกับจอมเวทที่ตายไป มีบทบาทอะไรในเรื่องนี้กันแน่…”
“ถ้าคนกลุ่มนี้ล่อลวงพวกหลวงพ่อ ชักนำความผิดปกติ โดยหวังใช้พิธีกรรมในคืนที่สิบสองเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง ทำไมในรอบก่อนๆ ถึงไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย? อย่างมากก็แค่ตรวจสอบความคืบหน้าในการสำรวจดินแดนความฝันของเรา…”
“หรือจะเหมือนกับคุณนายปัวริส? รอคอยจุดเวลาที่เฉพาะเจาะจง หรือไม่ก็รอพิธีกรรมในคืนที่สิบสอง เพื่อแก้ไขในสิ่งที่เคยถูกทำลายไป? ก็เลยไม่อยากให้วัฏจักรเกิดความเปลี่ยนแปลงจนต้องเริ่มใหม่บ่อยๆ?”
“พฤติกรรมของพวกเขาย้อนกลับมาพิสูจน์ว่า กุญแจสำคัญของวัฏจักรอยู่ในตัวเรา… และเป็นเหตุผลที่คอยหมั่นตรวจสอบ ว่าเราสำรวจดินแดนความฝันไปถึงไหนแล้ว…”
“ถ้าเราไขปริศนาในดินแดนความฝันได้ก่อนคืนที่สิบสอง จนค้นพบวิธีขจัดมลพิษ คนกลุ่มนี้ก็จะไม่กลัวการเริ่มใหม่ของวัฏจักร และลงมือจับกุมเราอย่างแข็งขัน?”
“อา… พวกเขาก็คงรักษาความทรงจำได้เหมือนกัน…”
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนได้ยินเสียงเบาๆ อย่างกะทันหัน
“แมะ…”
เป็นเสียงร้องของแกะ คล้ายกับดังจากที่ไกลๆ
ลูเมี่ยนพลันนึกถึงมนุษย์สามคนที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นแกะ นึกถึงคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี
คงไม่ได้คิดจะฉวยโอกาสโจมตีเข้ามาในยามวิกาลอันเงียบสงบหรอกนะ? ลูเมี่ยนรีบลุกขึ้นยืน เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
ด้านนอกหน้าต่างมีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านกิ่งก้านใบของต้นไม้ ไม่มีเสียง ‘แมะ’ สักแอะ
ราวกับว่าเมื่อครู่ ลูเมี่ยนหวั่นวิตกจนเห็นภาพหลอนไปเองคนเดียว
แต่เขาไม่คิดแบบนั้น เพราะพบว่าบนหน้าอกซ้ายเริ่มร้อนรุ่ม
สัญลักษณ์หนามสีดำกำลังปรากฏออกมาอีกครั้ง!
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังงานล่องหนซึ่งเกี่ยวข้องกับองค์ซ่อนเร้นอย่างใกล้ชิด กำลังแทรกซึมเข้ามาในห้อง
ลูเมี่ยนไม่มัวคิดให้รกสมอง รีบย่ำสองก้าวไปถึงขอบเตียง แล้วเริ่มเขย่าตัวโอลัวร์
“ตื่น! พี่! ตื่น!” เด็กหนุ่มร้องเรียกด้วยเสียงที่กดให้ต่ำ
เขากังวลโดยสัญชาตญาณว่า ลีอา ไรอัน และวาเลนไทน์จะสังเกตเห็นความผิดปกติบนร่างกายตน
โอลัวร์เลิกเปลือกตาขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าเปี่ยมไปด้วยความงุนงงเจือสับสน
“ตอนนี้กี่โมง…” หญิงสาวถามเสียงอ่อน แสดงว่ายังไม่ตื่นสนิท
“มีเรื่องแล้ว!” ลูเมี่ยนพูดเข้าประเด็นก่อน ตามด้วยเสริม “อีกครึ่งชั่วโมงสี่ทุ่ม”
บ้านของพวกเขาเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่หลังในหมู่บ้านที่มีนาฬิกาติดผนัง
ดวงตาของโอลัวร์กลายเป็นคมกริบทันที รีบดีดตัวนั่งหลังตรง ยกมือขวาขึ้นมาบีบนวดขมับสองข้าง
ในเวลาแบบนี้ เธอไม่มัวคำนึงถึงความเสี่ยงของการได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น
ถ้าไม่รีบระบุความผิดปกติและยืนยันปัญหา ก็อาจไม่ต้องเห็นอะไรอีกต่อไป
คนตายไม่ต้องการตา!
แววตาของโอลัวร์เปลี่ยนเป็นลึกลับ คล้ายกำลังสะท้อนแสงเงาพิสดารอันยากจะอธิบาย ระหว่างนั้นก็คอยมองไปรอบห้อง
ลูเมี่ยนถือโอกาสเล่ารายละเอียดที่ตนได้ยิน รวมถึงเสียงแกะที่ดังมาจากไกลๆ กับสัญลักษณ์หนามดำบนหน้าอก
โอลัวร์ย่นคิ้วชนกันและกล่าว
“แต่ฉันไม่เห็นอะไรเลย…”
“ฉันยังร้อนหน้าอกอยู่…” ลูเมี่ยนตอบเสียงเข้ม
เขาหวาดหวั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ สัมผัสได้ว่าความมืดรอบตัวนั้นไม่ธรรมดา ซุกซ่อนอันตรายที่อธิบายไม่ได้
โอลัวร์มองไปยังทุกซอกมุมห้องอย่างระมัดระวัง พยายามค้นหาสิ่งที่ไม่รู้จัก
ท่ามกลางความเงียบสงบ ลูเมี่ยนเริ่มเหงื่อชุ่มหลัง ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับความร้อนรุ่มบนหน้าอกซ้าย
เด็กหนุ่มใคร่ครวญสักพักและพูด
“เราควรบอกเรื่องนี้กับพวกไรอันสักหน่อยไหม? ให้พวกเขาช่วยค้นหาต้นตอ…”
โอลัวร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเบาๆ
“ใช้ลางสังหรณ์ของนักล่าเป็นข้ออ้าง”
“ตกลง” ลูเมี่ยนเปิดปาก เตรียมตะโกนออกไปข้างนอก
แต่แล้วก็ต้องชะงัก
“เกิดอะไรขึ้น?” โอลัวร์ถามด้วยความเป็นห่วง
ลูเมี่ยนขมวดคิ้วตอบ
“ความร้อนบนหน้าอกกำลังจางลง… เร็วมากๆ …”
หรือก็คือ สัญลักษณ์หนามดำกำลังจะ ‘หายไป’
“ภัยอันตรายที่รุกล้ำห้องเราหายไปแล้ว?” โอลัวร์พูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “เพราะพวกเราเตรียมตัวล่วงหน้า มันจึงไม่กล้าทำอะไร?”
“คงงั้น” ลูเมี่ยนหันไปตะโกนกับทางเดิน “เกิดเรื่องแล้ว!”
เพียงพริบตา ไรอันเดินเข้ามาจากประตู ตามด้วยลีอา สุดท้ายคือวาเลนไทน์ที่ทำหน้าเหมือนตื่นเพราะถูกรบกวน
ไม่รอให้อีกฝ่ายถาม ลูเมี่ยนใช้ ‘ลางสังหรณ์อันตราย’ แทนความร้อนรุ่มบนหน้าอก เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไรอันฟังอย่างตั้งใจ ไม่ได้สงสัยว่านี่อาจเป็นภาพหลอนของลูเมี่ยน ก่อนจะกล่าวอย่างมีอารมณ์ร่วม
“การผลัดกันเฝ้ายามตลอดทั้งคืนมีประโยชน์จริงๆ …”
“ส่วนใหญ่อาจเป็นการรอคอยอันน่าเบื่อ แต่ถ้าได้ใช้ประโยชน์เมื่อไร ก็เท่ากับว่าได้ช่วยชีวิตทุกคนไว้”
ขณะพูด เขาแผ่แสงรุ่งอรุณใสสะอาดออกมารอบตัว แล้วเดินผ่านทุกห้องบนชั้นสอง
แม้จะไม่พบพลังงานชั่วร้าย แต่อย่างน้อยก็เปลี่ยนให้สภาพแวดล้อมกลายเป็นศักดิ์สิทธิ์
ลีอาพึมพำคนเดียวคล้ายกำลังสวดมนต์ เดินวนไปทั่วห้อง ตลอดทางเสียงกระดิ่งบนหัวกับรองเท้าบูตบ้างก็ดัง บ้างก็เงียบ
สุดท้าย เธอพูดกับโอลัวร์และลูเมี่ยน
“เมื่อครู่เคยมีอันตรายจริงๆ … ซ้ำยังมีอำนาจต่อต้านการทำนาย ส่งผลให้สมบัติปิดผนึกของฉันไม่ส่งเสียงเตือน… เกรงว่าต้องรอจนกว่ามันเริ่มโจมตีใครสักคน กระดิ่งนี้ถึงจะดัง”
“แต่สำหรับตอนนี้ มันจากไปแล้ว”
“ค่อยยังชั่ว” โอลัวร์รู้สึกใจชื้นขึ้นมา
“บางที ‘มัน’ อาจไม่ใช่ ‘มัน’” ลูเมี่ยนกลับมาทำตัวตามปกติ ยิ้มและพูด “แต่เป็น ‘พวกมัน’”
“…” พวกไรอันต่างพากันเงียบ
“แบบนั้นยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่!” โอลัวร์ดุลูเมี่ยนหนึ่งคำ แล้วกล่าวกับสามนักสืบ “ตอนนี้สัญญาณเตือนก็เงียบไปแล้ว เรากลับมาดำเนินตามแผนเดิมกันเถอะ”
เธอมิได้ลองสันนิษฐานว่า ‘การบุกรุก’ เมื่อครู่เป็นฝีมือของใคร เนื่องจากมีความเป็นไปได้มากมาย เช่นคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี หรือเงาที่ไม่รู้ว่าเป็นใครในห้องเก็บศพ หรือรองอธิการโบสถ์ที่ไม่ปกติ
ในสถานการณ์ที่ยังขาดหลักฐานอยู่มาก การพูดคุยอย่างไร้ทิศทางรังแต่จะผลาญเวลาพักผ่อนของทุกคน ควรรอให้ถึงช่วงกลางวันก่อนจึงค่อยเริ่มปรึกษาหารือ
สำหรับตอบนี้ ทุกคนเพียงต้องระลึกเอาไว้ว่า ยามวิกาลแฝงไว้ด้วยอันตรายอย่างแท้จริง ใครบางคนคิดร้ายกับพวกเขาจริง จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวัง
หลังจากพวกลีอาแยกย้ายกลับเข้าห้อง อาศัยแสงจันทร์สีแดงที่ส่องลอดเข้ามาจากหน้าต่าง ลูเมี่ยนมองนาฬิกาติดผนังพลางพูดกับโอลัวร์
“พี่จะนอนต่อไหม”
“ไม่ล่ะ ถ้านอนตอนนี้ ตื่นมาจะปวดหัว” โอลัวร์กางแขนยืดเส้นยืดสายเบาๆ “อา… เพื่อรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน ฉันซ่อนวัตถุดิบเวทมนตร์กับของมีประโยชน์ไว้ในชุดเพียบเลย ตอนนอนก็เลยไม่กล้าพลิกตัวเพราะกลัวจะบาดเจ็บ ต้องฝืนนอนตัวตรงหลังขดหลังแข็ง”
เธอพูดไปพลาง กระโดดลงจากเตียงไปถึงริมหน้าต่าง เลิกผ้าม่านและมองออกไปข้างนอก
หมู่บ้านกอร์ตูยังคงเงียบสงบ บ้านหลายหลังยังเปิดไฟสว่าง
“อันที่จริง ฉันคิดว่านกฮูกลงมือกับพวกเราเพราะทนไม่ไหวแล้ว แต่มองเท่าไรก็ไม่เห็นเงาของมันเลย” โอลัวร์กวาดสายตา พลางอธิบายการกระทำกับน้องชาย
ลูเมี่ยนพยักหน้า
“ฉันก็คิดเหมือนกัน”
เขาเล่าสมมติฐานก่อนหน้านี้ของตนให้พี่สาวฟังอย่างละเอียด ด้วยเสียงที่ถูกกดให้ต่ำ
“ไม่เลว… ทักษะในการวิเคราะห์ปัญหาของนายดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ฉันไม่มีอะไรจะเสริม” โอลัวร์ยิ้มพลางชมเชย “แต่เราคงทำอะไรเองไม่ได้ ห้องนั้นอันตรายเกินไป…”
พูดจบ เธอ ‘อืม’ และพูดต่อ
“เมื่อรุ่งเช้ามาถึง เราสามารถไปเยี่ยมคุณนายปัวริสและเล่าสมมติฐานของนายให้เธอฟัง บอกว่าเป้าหมายของจอมเวทที่ตายไปกับนกฮูก อาจส่งผลกระทบกับเธอในจังหวะที่เตรียมจะหนีออกจากวัฏจักร”
“ได้ ฉันจะไปคนเดียว” ลูเมี่ยนกังวลว่าคุณนายปัวริสอาจคิดไม่ดีกับพี่สาวตน
โอลัวร์ไม่ฝืนตัวเอง แค่เตือนไปหนึ่งเรื่อง
“นายก็ระวังด้วยล่ะ อย่าทำให้ทางนั้นโกรธเด็ดขาด เพราะไม่งั้น…”
หญิงสาวเหล่มองท้องน้อยของลูเมี่ยน ใช้ภาษากายเล่าแทนถ้อยคำที่ไม่ได้พูดต่อ
ถัดจากนั้น โอลัวร์ถอนหายใจยาว
“อันที่จริง มาดามลึกลับในร้านเหล้าคร่ำครึแข็งแกร่งกว่าคุณนายปัวริสมาก แต่เธอไม่อยากพัวพันกับเรื่องราวในวัฏจักร คงไม่ยอมช่วยเราสำรวจห้องเก็บศพแน่”
“คงงั้น” ลูเมี่ยนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
แล้วก็พูดต่อ “แต่พรุ่งนี้ฉันจะลองแวะไปที่ร้านเหล้าคร่ำครึด้วย เผื่อได้เจอกับเธอ… ตอนนี้มาดามอาจเปลี่ยนใจแล้วก็ได้”
“อาฮะ” โอลัวร์ไม่คัดค้าน
สองพี่น้องคุยกันเสียงเบา ปล่อยให้เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า จนไม่นานก็เที่ยงคืนตรง
หลังจากส่งไม้ต่อให้ลีอาในห้องอ่านหนังสือ ลูเมี่ยนกลับมายังห้องนอนโอลัวร์ ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ พี่สาว
ด้วยกลิ่นอันคุ้นเคย ผนวกกับความนุ่มนวลและยืดหยุ่นของหมอน เด็กหนุ่มดันนอนไม่หลับ
“เป็นอะไรไป?” โอลัวร์สังเกตเห็นอาการตัวแข็งของน้องชาย
“ไม่ค่อยชินน่ะ” ลูเมี่ยนตอบด้วยท่าทีเกร็งๆ
โอลัวร์หัวเราะเบาๆ ทันที
“นี่ใช่ลูเมี่ยนผู้กล้าหาญแน่หรือ?”
ไม่รอให้น้องชายตอบ หลังจากหายใจออกเชื่องช้า เธอพูดยิ้มๆ
“ยังจำได้ไหม ตอนที่เพิ่งไปไหนมาไหนกับฉันใหม่ๆ นายกลัวว่าฉันจะหนี กลางค่ำกลางคืนเลยไม่ยอมนอน ทำตัวหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา?”
“จำได้” ลูเมี่ยนระลึกถึงความทรงจำเก่า “สมัยนั้นพี่จะคอยร้องเพลงกล่อม เป็นเสียงที่ฟังแล้วหลับสบาย”
พอเด็กหนุ่มพูดพบ ท่วงทำนองที่คุ้นเคยก็ดังแว่ว มอบความรู้สึกเบาหวิวผ่อนคลาย จิตใจกับร่างกายปลอดโปร่ง
โอลัวร์ที่กำลังนั่งบนเตียง มองไปยังความมืดมิดเปื้อนสีแดง พลางร้องเพลงของบ้านเกิดด้วยสีหน้าอ่อนโยนเจือเศร้าหมอง
นี่เป็นเพลงที่แม่ของเธอเคยร้องเพื่อกล่อมนอนสมัยยังเล็ก
“นอนเถิดหนา… เจ้าดวงแก้ว…”
ท่ามกลางท่วงทำนองที่เบาสบาย ลูเมี่ยนค่อยๆ เป็นอิสระจากความไม่สบายใจ จมลงสู่ห้วงนิทราอันลึกซึ้ง
…
ในมิติที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทาอ่อน ลูเมี่ยนลืมตาตื่น
เขามองรอบตัว และพบว่าตนมิได้อยู่ในห้องนอนของพี่สาว แต่เป็นห้องนอนของตัวเองตามปกติ
……………………………………………………..