ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 94 การโจมตี
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 94 การโจมตี
ตอนที่ 94 การโจมตี
ลูเมี่ยนหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง สัมผัสได้ว่าทุกรูขุมขนบนเรือนร่างกำลังขยาย ลางสังหรณ์เตือนภัยทำงานแทบจะในเวลาเดียวกัน
ในซากปรักหักพังความฝัน เขาเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้ว จึงหยุดเดิน แล้วพลันทิ้งตัวไปด้านข้างราวกับก้อนเนื้อไร้กระดูก
เสียงลม ‘วืด’ ดังก้องในโสตประสาท พร้อมกับขวานคมๆ ที่คลาดลูเมี่ยนไปอย่างเฉียดฉิว ทำได้เพียงแหวกผ่านอากาศว่างเปล่า
ลูเมี่ยนล้มลงดังตึง ก่อนจะม้วนหน้าหนึ่งรอบแล้วขึ้นมายืนอย่างลื่นไหล แต่ทันใดนั้น ท่อนแขนจำนวนหนึ่ง บ้างก็ซีดจาง บ้างก็ดำทะมึน บ้างก็แปลกประหลาดและชั่วร้าย โผล่ออกจากเงาดำมืดรอบตัว รุมจับคว้าเสื้อผ้าเพื่อรัดรึงร่างกาย
สัมผัสแข็งๆ อันเย็นเฉียบแผ่ซ่านไปทุกอณูกายของลูเมี่ยน เขาขัดขืนดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง หวังอาศัยความอ่อนช้อยของร่างกายสลัดให้หลุด พลางตะโกนอย่างสุดปอด
“ช่วยด…”
ปากของเด็กหนุ่มพลันถูกสองมืออันชั่วร้าย ซึ่งเต็มไปด้วยตุ่มเล็ก อุดเอาไว้จนไม่มีคำพูดเล็ดลอดนอกจากเสียงอู้อี้
ในเวลาเดียวกัน ลูเมี่ยนเห็นร่างคนยืดออกจากเงาบนผนัง เงื้อขวานเล็งมาทางตน
คั้ง!
ดาบที่ควบแน่นจากแสงล้วน ช่วยป้องกันขวานที่จามลงมาได้ฉิวเฉียด
ไรอันมาถึงเป็นคนแรก บนตัวยังมิได้สวมเกราะรุ่งอรุณด้วยซ้ำ เพียงเสกดาบแสงแรกอย่างรีบร้อน
ขวานเงาดำนั่น เมื่อถูกดึงออกจากผนัง ก็เผยรูปลักษณ์สีเข้มอันคมกริบและดูหนัก
คนถัดมาที่มาถึงประตูห้องน้ำคือลีอา โดยมาจากห้องอ่านหนังสือฝั่งตรงข้าม หมวกคลุมหน้าและรองเท้าของเธอ ติดกระดิ่งเงินเล็กสี่ใบ ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งแบบไม่ร้อนรนนัก
ลีอายกมือขึ้น เล็งปืนพกสีเงินวาวไปทางท่อนแขนประหลาดที่กำลังเกาะกุมลูเมี่ยน
พวกมันกำลังรุมทึ้งอย่างดุร้าย คงหมายกระชากลูเมี่ยนเข้าไปในเงา
เส้นเลือดใหญ่สีเขียวปูดขึ้นบนลำคอ หน้าผาก และหลังมือของเด็กหนุ่ม สื่อถึงความพยายามในการรีดเค้นพละกำลัง
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อาจสู้แรงของฝ่ามือสีซีดและสีดำล้วนจำนวนมาก มีแต่จะถูกลากเข้าไปในเงา
ลีอาลั่นไกปืน กระสุนสีทองหุ้มด้วยเปลวไฟลุกโชน พุ่งชนท่อนแขนสีดำทะมึนราวกับหยดหมึก
ท่อนแขนดังกล่าวถูกเผาไหม้ทันที จำต้องรีบปล่อยมือจากคอลูเมี่ยนและหดกลับเข้าไปในเงา
โอลัวร์มาทันเห็นฉากนี้เข้าพอดี
น้องชายของเธอถูกผสานเข้ากับเงาไปแล้วหนึ่งในสามส่วน สีหน้าดู ‘แข็ง’ ขึ้นตามลำดับราวกับกำลังถูกแช่ทั้งเป็น โอลัวร์ไม่มัววิเคราะห์สถานการณ์ รีบหยิบผงสีดำออกจากกระเป๋าลับ
เธอโปรยผงดังกล่าวไปทางลูเมี่ยน นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนเปลี่ยนเป็นมืดทึบ
ลูเมี่ยนสัมผัสได้ทันที ว่ามีฝ่ามือยักษ์กำลังจับคว้าร่างตนไว้ พยายามยื้อยุดเข้าไปหาโอลัวร์
เขายังจำได้แม่น ก่อนหน้านี้พี่สาวก็เคยใช้คาถาที่คล้ายคลึงกันเพื่อผลักให้กระเด็น แต่ปัจจุบันใช้เพื่อกระชากเข้าไปหา
ฝ่ามือยักษ์มีกำลังวังชาทัดเทียมเหล่าท่อนแขนพิสดาร ช่วยยับยั้งมิให้ลูเมี่ยนไหลเข้าไปในเงา
คั้งคั้งคั้ง!
ไรอันยังคงรัวฟันต่อเนื่อง สะกดเงาที่ถือขวานคมไว้กับผนัง
วินาทีถัดมา วาเลนไทน์มาถึงด้านหลังลีอากับโอลัวร์
เมื่อเห็นอาการของลูเมี่ยน เขารีบกางแขนกว้าง
เปลวไฟสีทองลุกโชนจากความว่างเปล่ารอบตัวเด็กหนุ่ม แผดเผาเหล่าแขนพิสดารไปหลายท่อน
เหล่าแขนสีดำกับสีซีด บ้างก็ละลายคล้ายเทียนไข บ้างก็ระเหิดกลายเป็นไอ ควันดำลอยคลุ้งฟุ้งกระจายก่อนจะเลือนหายไปในอากาศ
ผ่านไปเพียงหนึ่งถึงสองวินาที ท่อนแขนที่คอยรัดรึงลูเมี่ยน ก็หายไปเกือบสี่ในห้าส่วน
ส่วนแขนที่เหลือ พ่ายแพ้ในการยื้อยุดกับฝ่ามือยักษ์และการดิ้นรนของลูเมี่ยน ไม่นานก็ต้องยอมปล่อยมือจากเหยื่อ
ลูเมี่ยนใจชื้นขึ้นมาหลายเปลาะ ปล่อยตัวไปตามแรงดึงของฝ่ามือยักษ์ เข้าสู่ภาวะกึ่งกระโดดกึ่งถูกกระชากเข้าหาโอลัวร์
เมื่อฝ่ามือสีดำกับสีซีดหดกลับเข้าไปในเงา ร่างคนดำทะมึนที่ถือขวานก็หายกลับเข้าไปในกำแพง กลมกลืนกับเงาดำรอบตัว ไม่แสดงความผิดปกติอีกต่อไป
ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน มองไปรอบตัว แค่นเสียงเย้ยหยัน
“แค่นี้?”
“ส่งมาแค่คนเดียว พวกมันดูแคลนเราจริงๆ …”
โอลัวร์มองน้องชายตาเขียว
“เงียบ!”
ในเวลาเช่นนี้ เหตุไฉนถึงพูดอะไรที่เป็นลาง?
เสียงดุของโอลัวร์เพิ่งจะดังก้องไปตามทางเดิน ด้านหลังลีอา ด้านข้างประตูไม้ของห้องอ่านหนังสือ เถาวัลย์หนามอวบอ้วนเลื้อยลงมาจากเพดาน
ปลายเถามีบุปผาแดงชาดขนาดมหึมากำลังบานสะพรั่งพร้อมกับส่งกลิ่นเหม็นคาว
ดอกไม้นั่นยังคงบานออก คล้ายกับปากที่กำลังอ้ากว้างจนถึงขีดสุด
มันเขมือบหัวลีอาด้วยลีลาอันพลิ้วไหว
หลังจากกัดเข้าไป สิ่งที่อยู่ในปากกลับกลายเป็นกระดาษแผ่นบาง พริบตาเดียวก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
พร้อมกันนั้น ดาบแสงบริสุทธิ์ผุดผ่องพุ่งจากทางประตูห้องน้ำ เสียบบุปผามารดอกใหญ่ปักไว้กับผนังบ้าน
เลือดสดไหลรินตามใบดาบ แต่ไม่นานก็ระเหยกลายเป็นหมอก
แทบจะในเวลาเดียวกัน เถาวัลย์สีดำที่คล้ายคลึงเดิมจำนวนมาก เลื้อยไถลลงมาจากหลังคาบ้านลูเมี่ยน แผ่ปกคลุมผนัง ผนึกหน้าต่าง โดยที่ส่วนปลายล้วนมีบุปผายักษ์ดอกแดง
โอลัวร์รีบหยิบผงที่ดูเหมือนไข่มุกบด โปรยขึ้นไปในอากาศ ผสานมันเข้ากับพลังธรรมชาติบางส่วน
สายลมล่องหนอันอบอุ่นพลันพัดผ่าน พรากชีวิตชีวาไปจากเหล่าเถาวัลย์สีดำ จนเหี่ยวเฉากะทันหัน ไม่อาจชูชันดอกไม้สีแดงให้ตั้งตรง
ดอกไม้เหล่านั้นต่างอ่อนเปลี้ย ห้อยหัวลงบนพื้นบ้านชั้นสอง
“ได้ผลดีจริงๆ …” โอลัวร์พึมพำเงียบ
คาถานี้ ซึ่งได้มาจากการแลกเปลี่ยนในสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิกด้วยราคาแสนถูก เดิมทีมีไว้เพื่อกำจัดวัชพืชไม่ได้รับเชิญในสวนกับสนามหญ้า โดยเธอมองว่าคุ้มค่าคุ้มราคามานานแล้ว แต่ผลงานเมื่อสักครู่ยิ่งทำให้โอลัวร์ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจซื้อมา
อย่างไรก็ตาม เหล่าเถาวัลย์สีดำที่คล้ายกับมาจากนรก ล้วนทนทายาดจนน่าเหลือเชื่อ เพียงแห้งเหี่ยวไปบางส่วน แต่ยังไม่ยอมตายสนิท
ถึงอย่างไร นั่นก็ช่วยยื้อเวลามากพอให้วาเลนไทน์อัญเชิญเพลิงแสงมายาอีกครั้ง แผดเผาสิ่งมีชีวิตอันโสมมที่กระจายอยู่ตามทางเดินและห้องจนไหม้เกรียม
ทางด้านไรอันช่วยเติมเต็มมิติด้วยแสงรุ่งอรุณอันบริสุทธิ์ ขับไล่ความชั่วร้ายทั้งปวง ทำลายภาพลวงตาทั้งปวง
‘นักล่า’ ลูเมี่ยนที่รู้สึกว่าตนไม่มีบทบาท ข่มความอยากที่จะระบำพิศวง ทำได้เพียงยืนมองพี่สาวกับสามคนต่างถิ่นช่วยกันขจัดความไม่ปกติบนชั้นสอง
ผ่านไปสักพัก เถาวัลย์สีดำและดอกไม้สีแดงก็เปลี่ยนเป็นควันสีเขียวจนหมด
ทว่า กระดิ่งเงินบนหมวกผ้าคลุมหน้ากับรองเท้าของลีอายังคงดังประปราย สื่อเป็นนัยว่าภัยอันตรายยังไม่จบลง
ลูเมี่ยนกวาดตามองรอบตัว ฟุดฟิดจมูกดมกลิ่น
“กลิ่นในอากาศ… แปลกๆ …”
กลิ่นหวานคาวจางๆ ยังหลงเหลืออย่างชัดเจน
“ง่วงจัง… อยากนอนแล้ว” ลีอาไม่ปกปิดสิ่งที่กำลังรู้สึก
แก๊สที่เกิดจากการเผาเถาวัลย์กับดอกไม้ มีฤทธิ์เหมือนกับยานอนหลับ? เจ้าเล่ห์นักเชียว! โอลัวร์ ผู้เพียบพร้อมไปด้วยปัญญาทางศาสตร์เร้นลับ เข้าใจข้อเท็จจริงในทันที
หญิงสาวหยิบผงโปร่งแสงออกมา โปรยปรายไปด้านหน้า
สายลมกระโชกผ่านอย่างไม่มีลางบอกเหตุ กวาดไปทั่วมิติชั้นสองของบ้าน
ไรอัน ลูเมี่ยน วาเลนไทน์ และลีอาต่างแยกย้ายไปตามห้อง ช่วยกันเปิดหน้าต่างที่เคยถูกเถาวัลย์ดำผนึกไว้
เมื่อสายลมที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์หายไป โอลัวร์เอ่ยปากถามลูเมี่ยน
“ตอนนี้ล่ะ”
ลูเมี่ยนดมกลิ่นอย่างตั้งใจ
“กลิ่นหายไปแล้ว”
“ฉันก็ดีขึ้นมากแล้วเหมือนกัน” ลีอาเสริม
กระดิ่งเงินบนหมวกผ้าคลุมหน้ากับรองเท้า หยุดสั่นแล้วเช่นกัน
วิกฤติสิ้นสุดลงแล้ว
“การโจมตีหยั่งเชิงจากพวกหลวงพ่อ?” โอลัวร์ลองคาดเดา
ลูเมี่ยนเหล่มองวาเลนไทน์ที่กำลังทำหน้าบึ้ง
“ฉันก็คิดแบบนั้น… ไม่แน่ใจว่าเป็นฝีมือของกิโยม·เบเนต์ที่เพิ่งได้รับ ‘พร’ หรือเป็นคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว”
ได้ยินเด็กหนุ่มเรียก ‘ชื่อ’ ข้างต้น สีหน้าแววตาของวาเลนไทน์ดูผ่อนคลายลง
ไรอันมองไปรอบๆ พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่อย่างน้อยก็ช่วยตักเตือนว่า พวกเราควรยกระดับการป้องกัน…”
“นับจากนี้ไป เราจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม สลับกันเฝ้ายามและพักผ่อน ทั้งกลางวันและกลางคืน”
ถ้ามีเวรยามแค่คนเดียว อาจถูกพวกมันซุ่มโจมตีจนตกที่นั่งลำบาก ส่งผลให้คนอื่นช่วยเหลือไม่ทันเวลา
“ไม่มีปัญหา” โอลัวร์กับลูเมี่ยนมองหน้ากัน “ฉันจะอยู่ทีมเดียวกับน้องชาย”
พวกไรอันไม่คัดค้าน
นับแต่นั้นมา ทั้งสองกลุ่มผลัดกันเฝ้ายามทุกหกชั่วโมง แม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เทศกาลมหาพรตก็อยู่อีกไม่ไกล ทุกคนย่อมทราบดี ว่าภัยอันตรายใกล้จะอุบัติเต็มทีแล้ว ซ้ำยังจะมาเป็นระลอก
ตลอดช่วงเวลานี้ ลูเมี่ยนยังคงสำรวจดินแดนความฝันต่อไป
เขาไม่รีบร้อนล่าสัตว์ประหลาดไฟ ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน อุทิศตัวให้กับการศึกษาพฤติกรรมของเหยื่อ
ในสถานะล่องหน เขาคอยสะกดรอยตามจากระยะไกล เฝ้าสังเกตการณ์อย่างอดทน จนกระทั่งได้รับข้อมูลที่ต้องการมาครบถ้วน
ช่วงเช้าของความฝัน สัตว์ประหลาดไฟจะวางกับดักแถวพื้นที่เปิดโล่ง ฝึกซ้อมทักษะที่ต้องใช้ฝีมือ ประมาณสี่สิบห้านาทีถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง จากนั้นก็เดินไปตามเส้นทางที่แน่นอน เข้าสู่เขตที่มีก้อนเนื้อสดเพื่อเติมพลังงาน
กิจกรรมในช่วงบ่ายจะไม่ตายตัว ส่วนใหญ่เป็นการลาดตระเวน ‘ถิ่น’ ของตัวเองในเส้นทางที่ต่างกัน ซึ่งลูเมี่ยนยังไม่พบหลักเกณฑ์ในการเลือกเส้นทาง
ตกเย็น มันจะใช้เส้นทางเดิมกลับมายังพื้นที่ล่า
สำหรับช่วงเวลาหลังจากนั้น ลูเมี่ยนก็ไม่ทราบแล้ว เขาอยู่ในดินแดนความฝันได้นานที่สุดหกชั่วโมงต่อวัน จึงไม่เคยสำรวจตอนกลางคืน
…
คืนก่อนมหาพรต
ท่ามกลางหมอกสีเทาจาง ลูเมี่ยนตื่นบนเตียงนอนในความฝัน มองผาดไปทาง ‘ปรอทเสื่อมทราม’ ด้านข้างตน แล้วพลันรวบรวมสมาธิ
ในค่ำคืนนี้ เขาจะล่าสัตว์ประหลาดไฟ
……………………………………………………..