ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 97 ความกล้าหาญ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 97 ความกล้าหาญ
ตอนที่ 97 ความกล้าหาญ
ลูเมี่ยนนั่งลงบนพื้น หายใจเหนื่อยหอบ แค่จะขยับสักนิ้วก็ยังลำบาก
เด็กหนุ่มนั่งเงียบ ตามองเปลวไฟสีแดงบนพื้นที่กำลังไหววูบวาบตามจังหวะสายลม จนกระทั่งพวกมันแผ่วลงและดับไปเอง
ระหว่างนี้ ลูเมี่ยนโน้มตัวไปข้างหน้า ใช้มือซ้ายหยิบปรอทเสื่อมทรามขึ้นมา ส่วนมือขวายังถือขวานเหล็กดำไว้ เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน
โดยไม่เผลอไผล ทุกลมหายใจยังเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
แน่นอน เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะสวดวิงวอนถึงองค์สุริยันเจิดจรัสในใจ รวมถึงองค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ยังไม่ทราบพระนาม อ้อนวอนขอให้ท่านทั้งสองคุ้มครองตนจากเภทภัยในอนาคต
ยังไงเสีย ด้วยสภาพของเขาตอนนี้ ไม่ต้องจินตนาการถึงการฟื้นคืนชีพของสัตว์ประหลาดไฟ ลำพังศัตรูทั่วไปที่คล้ายสัตว์ประหลาดไร้หนัง ก็น่าจะจัดการเขาได้ไม่ยาก
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป พลังวิญญาณและกำลังวังชาของลูเมี่ยนเริ่มฟื้นคืนกลับมา แต่บาดแผลบนเรือนร่างรุนแรงจนทำให้เขาเจ็บจนตาลอยบ่อยครั้ง สมาธิขาดหายไปเป็นช่วงจังหวะ
“นักล่าไม่เพียงต้องระมัดระวัง ยังต้องรอบคอบ ใจเย็น และอดทน… ต้องเข้าใจการใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อม ดึงจุดแข็งของตัวเองออกมา อีกทั้งยังต้องกล้าหาญ…”
“กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ไม่คาดคิด กล้าหาญที่จะไม่ถอดใจขณะเผชิญวิกฤติร้ายแรง กล้าหาญที่จะตัดสินใจเมื่อไม่มีทางหลบหนี และกล้าหาญที่จะค้นหาหนทางรอดพ้นจากความตาย…”
ความคิดเหล่านี้ทยอยผุดขึ้นในใจลูเมี่ยน จนเผลอหลุดจากสมาธิ
แต่ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ว่าโอสถ ‘นักล่า’ ในร่างกายถูกย่อยอย่างสมบูรณ์แล้ว
คล้ายกับสิ่งกีดขวางบางอย่างในใจ พังทลายลงอย่างสมบูรณ์
คล้ายกับมีเสี้ยวประกายไฟผสานเข้ากับทั้งร่าง
สัญญาณของภาวะคลุ้มคลั่งบรรเทาลงหลายส่วน สภาพของลูเมี่ยนดีขึ้นตามลำดับ
เด็กหนุ่มบรรจงลุกขึ้นยืน พึมพำไร้เสียงกับตัวเอง
“ย่อยสมบูรณ์แล้ว…”
หมายความว่าเขาพร้อมแล้วที่จะดื่มโอสถลำดับถัดไป
ลูเมี่ยนผู้พันผ้าพันแผลในมือซ้าย ซึ่งเป็นข้างถือมีดสั้นสีเงินเข้ม มองไปรอบตัวสลับกับเฝ้าสังเกตศพของสัตว์ประหลาดไฟ เพื่อรอคอยให้ตะกอนพลังแยกตัวออกมา
แตกต่างจากสัตว์ประหลาดลูกซองที่ตกตะกอนไวมาก หนนี้ลูเมี่ยนต้องรอนานถึงครึ่งชั่วโมง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้าใจว่าสัตว์ประหลาดไฟอาจยังไม่ตายสนิท และเริ่มจินตนาการถึงศึกในยกถัดไป
จนกระทั่ง ขณะที่เด็กหนุ่มใกล้จะหมดสติเพราะปวดแผล แสงสีแดงคล้ายประกายไฟเริ่มสว่างวาบจากศพของสัตว์ประหลาด
ราวกับมีฝูงหิ่งห้อยรุมตอมศพ ไม่นานพวกมันก็ควบแน่นเข้าหากัน ผสมผสานกลายเป็นวัตถุสีแดงรูปทรงคล้ายหัวใจ
‘หัวใจ’ ดังกล่าวพองตัวเชื่องช้าสลับกับหดลีบ พื้นผิวเต็มไปด้วยรูจิ๋วจำนวนมาก จากรูจิ๋วมีเสี้ยวเปลวไฟสีแดงที่แทบจะมองไม่เห็น แลบแล่นออกมาเป็นระยะ
“นี่คือวัตถุดิบหลักของโอสถนักวางเพลิง?” ลูเมี่ยนกระซิบกระซาบพลางโน้มตัวลงไปหยิบสิ่งนั้น
ความรู้สึกร้อนจัดคล้ายกับถูกย่างสด แล่นจากฝ่ามือเข้าสู่สมองเด็กหนุ่ม จนอยากจะโยนมันทิ้งไปเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์นี้
โชคดีที่แผลไฟไหม้ฝีมือสัตว์ประหลาด ทำให้ลูเมี่ยนชาไปแทบทั้งตัวนานแล้ว จึงยังพอกัดฟันทนความเจ็บปวดในระดับนี้ไหว
เด็กหนุ่มลองห่อหัวใจด้วยผ้า แต่ผ่านไปสักพักผ้าก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
ลูเมี่ยนคิดไม่ตก จึงตัดสินใจวางตะกอนพลังลงไปก่อน แล้วใช้ผ้าสีดำที่เหลืออยู่พันรอบ ‘ปรอทเสื่อมทราม’ และเหน็บมันไว้ข้างเอว
ต่อมา เด็กหนุ่มเปิดถุงผ้าที่บรรจุกระสุนปืน นำสิ่งของที่เหลืออยู่ไม่มากนักออกมาใส่ในกระเป๋าเสื้อแทน
ตามด้วยการขุดดินใกล้กับเท้าเพื่อนำมาใส่ถุงผ้า
เมื่อดินสูงประมาณครึ่งถุง เขาหยิบหัวใจที่พ่นเศษเสี้ยวเปลวไฟขึ้นมาใส่ในถุง
งานนี้ยังไม่จบ ลูเมี่ยนขุดดินมาใส่ถุงผ้าเพิ่ม จนกระทั่งหัวใจดังกล่าวถูกสสารสีน้ำตาลที่ไม่ไหม้นี้ห่อหุ้มจนถ้วนทั่ว
เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางเดินพกถุงผ้าไปจนถึงริมขอบทุ่งร้าง ทันใดนั้นก็ฉุกคิดถึงปัญหา
“เรายังอยู่แค่ลำดับ 9 แต่นี่มันตะกอนพลังของลำดับ 7 นักวางเพลิง… คงยังเลื่อนเป็นลำดับ 7 ทันทีไม่ได้แน่…”
“ไม่อย่างนั้น ชะตากรรมเดียวคือการคลุ้มคลั่ง!”
“ทีแรกนึกว่าสัตว์ประหลาดไฟจะแบ่งตะกอนเป็นสามชิ้น ประกอบด้วยของนักวางเพลิง นักยั่วยุ และนักล่า แต่ดูเหมือนว่าจะผสมกันมาเลย…”
ลูเมี่ยนคิดเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ จึงเดินกลับบ้านด้วยย่างก้าวที่ดูไม่มั่นคง
ตลอดเส้นทาง เด็กหนุ่มโชคดีอย่างยิ่งที่ไม่ปะเข้ากับสัตว์ประหลาดตัวใด ไม่อย่างนั้นด้วยสภาพในปัจจุบัน สถานการณ์คงยุ่งเหยิงซับซ้อนอยู่ไม่น้อย เขาหวังเพียงจะมีโอกาสได้ใช้จุดเด่นในการสังเกตสภาพแวดล้อม รวมถึงความไวของประสาทสัมผัส ตรวจพบอันตรายล่วงหน้าและหนีไปซ่อนตัวได้ทัน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ลูเมี่ยนเดินพ้นเขตซากปรักหักพัง ผ่านทุ่งร้างไร้วัชพืช จนกระทั่งกลับถึงบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดินของตัวเอง
เด็กหนุ่มตะเกียกตะกายขึ้นชั้นสองอย่างยากลำบาก นำปรอทเสื่อมทราม ถุงผ้าใส่ตะกอนพลังของนักวางเพลิง และขวานเหล็กดำ พร้อมข้าวของอย่างอื่น วางเรียงไว้บนตู้ข้างเตียงหรือไม่ก็บนพื้นแถวนั้น ก่อนจะเดินไปหน้ากระจกเต็มตัวที่ติดบนตู้เสื้อผ้า
ลูเมี่ยนเห็นตัวเองบนกระจก พบว่าใบหน้าซีดเซียวเขียวคล้ำผิดปกติ ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยถูกไฟลวก ผิวหนังหลายจุดยังหลงเหลือตุ่มสีเงินเข้ม
ในดวงตาสีน้ำเงินของเขา แสงมายาสีเงินอ่อนดูโดดเด่นขึ้นมา พันทับกันไปมา มีสีดำปะปนอยู่บ้าง
นี่คือสัญญาณของการบาดเจ็บสาหัสจนเกือบจะคลุ้มคลั่ง
หากมิใช่เพราะมี ‘ข้อได้เปรียบสนามเหย้า’ ในซากปรักหักพังความฝัน หากมิใช่เพราะมี ‘ปรอทเสื่อมทราม’ หากมิใช่เพราะมี ‘พลังล่องหน’ ลูเมี่ยนก็คงไม่มีโอกาสล่าสัตว์ประหลาดไฟนั่น
เด็กหนุ่มเคี้ยวเนื้อตากแห้งกับชีส ต่อสู้กับความหิวโหยอย่างแรงกล้าอันเกิดจากการถูกสิงสู่ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง
เขาอยากกลับไปพักผ่อนบนโลกความจริงสักพัก เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
…………
แสงสว่างส่องทะลุผืนผ้าม่านบนหน้าต่าง มอบทัศนวิสัยให้กับห้องนอน ช่วยเน้นเค้าโครงแสงเงาของโต๊ะอ่านหนังสือที่ด้านบนมีกองหนังสืออ้างอิง บันทึกการอ่าน และกองต้นฉบับ เน้นเค้าโครงแสงเงาของตู้เสื้อผ้าที่มีชุดกระโปรงแขวนอยู่เต็ม รวมถึงกระจกเงาเต็มตัวอันประณีตหรูหรา
ลูเมี่ยนเพิ่งจะลืมตา ก็เห็นดวงเนตรสีฟ้าอ่อนของพี่สาวทันที
“เป็นยังไงบ้าง ผ่านไปด้วยดีไหม?”
เธอทราบดีว่าเมื่อคืน น้องชายเข้าไปในซากปรักหักพังความฝันเพื่อล่าสัตว์ประหลาดไฟ
“สำเร็จแล้ว” ลูเมี่ยนพยายามลุกนั่ง หัวสมองยังว่างเปล่า ผิวหนังเจ็บแปลบ กระดูกกระเดี้ยวเหมือนจะร้าวไปทั้งตัว
แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดแสนสาหัสในความฝันที่ทำให้เขาเกือบตาย ของแบบนี้นับว่าจิ๊บจ๊อยมาก
เด็กหนุ่มก้มลงตรวจสอบร่างกาย พบว่าผิวหนังบวมแดงหลายจุด อาการคล้ายผื่นคันที่เกิดจากการแพ้
“ดีแล้วล่ะ…” โอลัวร์ถอนหายใจโล่งอก “เมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อน นายชักเกร็งไปทั้งตัว แขนขาปัดป่ายไปมาจนฉันตื่น”
ลูเมี่ยนหัวเราะเยาะตัวเองพลางกล่าว
“ตอนนั้นอันตรายมากเลยล่ะ… ฉันเกือบจะคลุ้มคลั่งแล้ว”
“ฉันลังเลอยู่ว่าจะปลุกดีไหม แต่ไม่นานนายก็สงบลง อาการไม่ดูน่ากลัวเท่าเก่า” โอลัวร์พูดด้วยสีหน้าชัดเจนว่าโล่งใจ
ลูเมี่ยนพลันใจสั่น
“พี่คอยเฝ้าฉันตลอดทั้งคืนเลยหรือ…”
“ก็ใช่น่ะสิ” โอลัวร์ขึงขังพยักหน้า “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันต้องรีบปลุกนายให้ตื่น เรียกกลับมายังโลกความจริง ไม่ปล่อยให้ตายในฝัน”
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนพบว่าความยากลำบาก ความทุกข์ทรมาน การดิ้นรน และความกลัวเมื่อครั้งเกือบจะตายในความฝัน ถูกกระแสความอบอุ่นที่เอ่อล้นมาจากหัวใจชะล้างไปจนหมด
เขาย้อนถามตามจิตใต้สำนึก
“พี่ไม่ได้ถูกฉันปลุก… แต่ไม่ได้นอนทั้งคืนใช่ไหม?”
โอลัวร์ตอบยิ้มๆ
“ทีแรกก็ตั้งใจจะไม่นอน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่รู้ว่านายจะลงมือตอนไหน ส่วนฉันเพิ่งเฝ้ายามเสร็จ ถ้าไม่พักเสียบ้าง ช่วงครึ่งหลังอาจไม่มีสมาธิดูแลนาย จนทำให้ตอบสนองต่อความผิดปกติไม่ทัน…”
“ฉันก็เลยวางมือไว้บนตัวนาย พยายามแบ่งงีบเป็นระยะ”
“ด้วยวิธีนี้ ทุกครั้งที่นายขยับตัว ฉันจะสัมผัสได้ทันทีพร้อมกับรีบตื่น หึหึ… ที่จริงก็ถูกนายเตะไปครั้งหนึ่งด้วย!”
หญิงสาวพูดพลางชี้ไปที่น่องขวา ซึ่งมีรอยฟกช้ำชัดเจน
ไม่เปิดโอกาสให้ลูเมี่ยนตอบโต้ โอลัวร์เปลี่ยนไปไถ่ถาม
“เล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยสิ”
ลูเมี่ยนหรี่เสียงลง เริ่มเล่าตั้งแต่การวางกับดัก การล่องหนดักซุ่มกลางถนน เรื่องที่เสื้อผ้าติดไฟจนล่องหนไม่ได้ จำต้องหนีเข้าไปหลบในห้องใต้ดิน รวมถึงการเข้าฌานเพื่อกระตุ้นสัญลักษณ์หนามดำเต็มพิกัด
โอลัวร์ฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งก็ทำหน้าเหมือนใจสลาย ใจสั่นกับอันตรายที่น้องชายต้องเผชิญ เธอเป็นประเภทที่อ่านนิยายแล้วเข้าถึงความรู้สึกตัวละครได้ง่าย
เล่าถึงส่วนสุดท้าย ลูเมี่ยนถามขึ้นมา
“จะแยกตะกอนพลัง ‘นักยั่วยุ’ ออกจาก ‘นักวางเพลิง’ ยังไงได้บ้าง?”
มิหนำซ้ำ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปหาสูตรโอสถมาจากไหน
โอลัวร์คิดสักพักแล้วตอบ
“ฉันไม่รู้วิธีแยก แค่เคยได้ยินคนพูดกันว่า ในกรณีแบบนี้ คงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้วิเศษลำดับสูงเท่านั้น”
“ครึ่งเทพ?” ลูเมี่ยนลองเดา
ตอนนี้เขารู้จักคนที่น่าจะอยู่ในลำดับ 4 ขึ้นไปเพียงสามคน
มาดามลึกลับ คุณนายปัวริส และคนที่นอนในโลงศพในอนุสาวรีย์บรรจุศพ
โอลัวร์พยักหน้า
“ก็คงอย่างนั้น… แต่นายไม่ต้องกังวล ฉันเชื่อว่าในอีกไม่ช้า มาดามลึกลับคนนั้นจะเป็นฝ่ายเข้าหานายเอง เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือในบางเรื่อง เธอมักจะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่นายมีพัฒนาการสำคัญเสมอ ครั้งนี้ก็คงไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากวัฏจักรยังไม่ถูกยกเลิก และความลับของแดนซากปรักหักพังความฝันก็ยังไม่กระจ่าง”
“ฉันต้องไปหาเธอที่ร้านเหล้าคร่ำครึ?” ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว
สองพี่สองตกลงกับพวกไรอันไว้แล้วว่า ช่วงนี้พยายามอย่าออกจากบ้าน
โอลัวร์ ‘อืม’ หนึ่งคำ
“รออีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าเธออาจจะมาเยี่ยมถึงบ้านเรา”
กล่าวถึงตรงนี้ โอลัวร์ถอนหายใจ
“สำหรับผู้วิเศษทั่วไป สูตรโอสถไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย แต่ไม่ใช่กับนาย… ในร่างกายนายมีผนึกมลพิษ ปัญหาเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ถึงกับคลุ้มคลั่ง จึงต้องใช้สูตรโอสถ ‘นักยั่วยุ’ ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด”
“ทำไมผู้วิเศษคนอื่นถึงไม่ต้องการสูตรโอสถ?” ลูเมี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจ
โอลัวร์อธิบาย
“ไม่ใช่ไม่ต้องการ แต่ผู้วิเศษที่ลำดับต่ำกว่า 7 สามารถเลื่อนลำดับได้โดยการกินวัตถุดิบหลักโดยตรง”
“แล้วจะไม่คลุ้มคลั่งหรือไง” ลูเมี่ยนยังคงถามอย่างไม่เข้าใจ
โอลัวร์ ‘อืม’ อีกครั้ง
“ในช่วงหลายปีก่อน การทำแบบนี้มีโอกาสคลุ้มคลั่งพอประมาณ แต่ในช่วงไม่กี่ปีหลัง ตะกอนพลังของลำดับ 9 และ 8 สามารถนำมากินได้โดยตรง แต่ก็ยังเสี่ยงกว่าการปรุงเป็นโอสถประมาณยี่สิบถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์…”
“อา… นี่คือบทสรุปจากการสำรวจของผู้นำเรา ‘แกนดาล์ฟ’”
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ลูเมี่ยนเตรียมจะถาม แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคยดังมาจากนอกบ้าน
สองพี่น้องมองหน้ากันทันที สีหน้าแววตาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เทศกาลมหาพรตเริ่มขึ้นแล้ว ขบวนแห่ ‘นางฟ้าใบไม้ผลิ’ กำลังเดินทางมา
……………………………………………………..