ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 144 จิตใจของหญิงงาม
เจียงหลีหมดสิ้นความอดทน ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ไหวปี้กล่าวต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น ทำให้การฝึกฝนของข้าล่าช้า จะทำอย่างไร”
เจียงหลียิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชา ทำให้ร่างของไหวปี้รู้สึกเย็นวาบ ในหัวของนาง ปรากฏภาพที่จู๋เยี่ยนถูกฆ่าตายอย่างทรมาน สัมผัสแห่งความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตา
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย อย่ามากวนข้าอีก ไม่อย่างนั้น ข้าจะใช้วิธีของข้า ช่วยให้เจ้าก้าวข้ามความรัก”
คำพูดของเจียงหลีทำให้หัวใจของไหวปี้กระตุกทันทีด้วยความกลัวเล็กน้อย “วิธีไหนรึ” นางถาม
“ฆ่าเจ้าเสีย” เจียงหลีพูดเบาๆ ดวงตาของนางเย็นชาและไม่ใช่แววตาที่ล้อเล่นเลย
“…” ไหวปี้ตกตะลึง
ทันใดนั้น นางก็เข้าใจว่าเมื่อปฏิบัติกับเจียงหลี นางไม่สามารถคาดเดาและตัดสินได้เหมือนกับบุรุษทั่วไป
หัวใจของสตรีนี้ ยากแท้จะหยั่งถึง
ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน นางกลับมองเจียงหลีไม่ออก อย่างไรก็ตาม นางสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าในขณะนี้เจียงหลีมีความคิดที่จะฆ่านางจริงๆ
ไหวปี้สามารถมั่นใจได้ว่า ถ้านางยังเพิกเฉยและรังควานต่อไป เจียงหลีจะฆ่านางอย่างแน่นอน
“ข้ารู้แล้ว” ดวงตาของไหวปี้คาดเดาไม่ได้ และในท้ายที่สุด ก็ตัดสินใจเลือกอย่างฉลาดที่สุด
การประนีประนอมของนาง ทำให้เจตนาที่จะฆ่าในใจของเจียงหลีหายไป
“ข้าไม่รังควานเจ้า และไม่รบกวนเจ้า แต่ขอเดินทางไปด้วยได้ไหม” ไหวปี้พูดอย่างระมัดระวัง ในเวลาเดียวกันก็มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง “มันอันตรายเกินไปที่จะเดินทางคนเดียวในดินแด ดนผนึกมาร จุดประสงค์ของพวกเราคือเพิ่มประสบการณ์นะ ไม่ใช่ตายไปโดยไร้ประโยชน์”
เจียงหลีมองนางอย่างลึกซึ้ง ราวกับจะอ่านความคิดในใจของนางให้ออก
ไหวปี้ในเวลานี้ ไม่กล้าเคลื่อนไหว เพราะกลัวว่าเจียงหลีจะฆ่านาง ลดเสน่ห์มากล้น เพิ่มความไร้เดียงสาและเรียบง่ายขึ้นเล็กน้อย
“ก็ได้” เจียงหลีให้คำตอบ
นางไม่ค่อยรู้เรื่องดินแดนผนึกมารมากนัก แต่มีข้อสงสัยมากมาย บางทีไหวปี้อาจช่วยได้
หลังจากได้รับความยินยอมจากเจียงหลี ในที่สุดไหวปี้ก็ยิ้มอย่างซุกซน “เราไปกันเถอะ”
ทั้งสองเดินไปด้วยกัน ในเวลานี้ วิญญาณร้ายกำลังพักผ่อน และดินแดนผนึกมารก็ยังนับว่าสงบ
“เนื่องจากวังเวิ่นฉิงมีข้อมูลเกี่ยวกับทั่วแผ่นดิน ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องดินแดนผนึกมารมากน้อยแค่ไหน” เจียงหลีถามอย่างไม่ใส่ใจ
ไหวปี้เลิกคิ้วอย่างมั่นใจ “มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าถามด้านไหน”
“ตัวอย่างเช่น…วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้จะถูกฆ่าตายอย่างสมบูรณ์ได้อย่างไร” ดวงตาของเจียงหลีหรี่ลงและมีแสงจ้าปรากฏขึ้นจากด้านล่างของดวงตาของนาง
ทำไม เข้าสู่ร่างกายด้วยกิเลส แล้วถูกฆ่าตายด้วยพลังควบคุมจิต แต่ไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญหน้ากัน
“นี่…เกรงว่าจะไม่มีใครตอบเจ้าได้” ไหวปี้ยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว
เจียงหลีหันมามองนาง และรอให้นางเดินตาม
“ที่มาของดินแดนผนึกมารนั้นลึกลับ ตำนานเล่าว่า พื้นที่นี้ปรากฏขึ้น เพราะกลองศิลาจารึกถือกำเนิด แต่ทำไมพื้นที่นี้จึงปรากฏขึ้นและทำไมกิเลสของมนุษย์จึงรวมอยู่ในพื้นที่นี เป็นเรื่องราวลึกลับมาโดยตลอด” ไหวปี้กล่าวอย่างจริงจัง
เจียงหลีฟังคำพูดของนางอย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันก็ใช้สมองคิดวิเคราะห์
“รวมถึง สาเหตุที่เปิดทุกสามปี ทำไมคนถึงเข้าได้แค่ทีละสามสิบห้าคน และทำไมถึงอยู่ในนั้นได้สองปี เป็นคำถามที่ตอบไม่ได้ และวิธีฆ่าวิญญาณชั่วภายในได้อย่างสมบูรณ์…” ไหวปี เยาะเย้ยและพูดประชดประชันว่า “คนที่เข้ามาหาประสบการณ์ ไม่ถูกฆ่าตายก็รอดชีวิตมาได้สองปีแล้วหนีไป การฆ่าวิญญาณชั่วได้โดยสิ้นเชิงนั้น ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน”
เจียงหลีขมวดคิ้ว
“วิญญาณชั่วสามารถฆ่าคนได้หรือไม่” นางถามทันที
นางถามแบบนี้เพราะตอนที่นางเข้ามา พบว่าทุกครั้งที่นางต่อสู้กับวิญญาณชั่ว รู้สึกเจ็บปวดและบาดเจ็บ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ตาย
ครั้งเดียวที่นางรู้สึกว่าอาจตายได้ คือ เมื่อนางถูกครอบงำด้วยกิเลสนั่น
“วิธีเดียวที่วิญญาณชั่วจะฆ่าคนได้ คือเปลี่ยนคนที่ถูกฆ่าให้กลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย” ไหวปี้ให้คำตอบ
อย่างไรก็ตาม คำตอบนี้กลับทำให้เจียงหลีตกใจ
ไหวปี้กล่าวอย่างระมัดระวัง “วิญญาณชั่วไม่ใช่ตัวตน พวกมันไม่มีพลังวิญญาณและไม่มีวิญญาณยุทธ์ ดังนั้นแม้ว่าการโจมตีของพวกมันจะน่ากลัว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าหลิงจงหรือแม้แ แต่หลิงหวัง แต่กิเลสที่เปลี่ยนแปลงไปของพวกมัน กลับสามารถฆ่าคนได้ด้วยวิธีพิเศษ นั่นคือ สิงเข้าร่างกายมนุษย์ กระตุ้นกิเลสของผู้คนหลอมรวม และอยู่ที่นั่นตลอดไป”
คำพูดนี้ ทำให้คำถามในจิตใจของเจียงหลีจางหายไป
“อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนั้นก็เสี่ยงต่อวิญญาณชั่วเช่นกัน กล่าวคือ หากพบบุคคลที่มีความมุ่งมั่น ไม่เพียงแต่ไม่สามารถหลอมรวมได้ ยังอาจถูกฝ่ายตรงข้ามตอบโต้ด้วย ดังนั้นตามอัตภา าพวิญญาณชั่วร้ายจึงยากมากที่ใช้วิธีนี้ฆ่าคน ท้ายที่สุด ผู้ฝึกหัดที่มาหาประสบการณ์นั้นก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่ตายในแดนผนึกมารจะถูกฆ่าโดยกลุ่มผู้ฝึกหั ดที่เข้ามาพร้อมกัน” ไหวปี้พูดจบ มองไปที่เจียงหลี
เจียงหลีพยักหน้าและเงียบ
ในแดนผนึกมาร สภาพแวดล้อมที่อันตรายคือการทดสอบขีดจำกัดของร่างกายและขีดจำกัดของจิตใจ ไม่แปลกใจที่กลุ่มอำนาจจำนวนมากได้เลือกสถานที่นี้เป็นสถานที่ฝึกฝน
“พวกมันกำลังจะตื่น” ไม่นานหลังจากนั้น ไหวปี้ก็เตือนเจียงหลี “ถ้าเจ้าต้องการต่อสู้กับพวกมันก็สามารถอยู่รอได้ แต่ถ้าไม่ต้องการ ต้องหาที่หลบแล้ว”
“แล้วเจ้าล่ะ” เจียงหลีถามกลับ
ไหวปี้ยิ้มและพูดว่า “อย่างไรเสีย ก็ยังเหลือเวลาอีกสองปี วันนี้ข้าเหนื่อยล่ะ ค่อยเล่นกับพวกมันในวันอื่นแล้วกัน” เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดจะต่อสู้
ครั้งก่อนที่เจียงหลีติดกับ ก็ได้ต่อสู้กับวิญญาณชั่วร้ายและไม่ต้องการที่จะสู้อีกครั้ง ดังนั้น ก่อนที่วิญญาณชั่วร้ายจะตื่นขึ้นมา ได้หาสถานที่ที่ห่างจากหลุมศพ และปลอดภัยเพื่ อพักผ่อนซักครึ่งวัน
…
ที่นี่เป็นสะพานหินที่แตกหักและมีแม่น้ำที่เหือดแห้งใต้สะพาน ข้างใต้สะพานหินได้กลายเป็นที่หลบลมฝน อย่างไรก็ตาม ในแดนผนึกมาร ไม่มีโอกาศเกิดฝนและหิมะ
“แดนผนึกมารนี้ใหญ่แค่ไหน” เจียงหลีถามโดยไม่รู้ตัว
ไหวปี้นั่งตรงข้ามนาง และหลังจากได้ยินคำพูดของนาง ทันใดนั้นก็ขว้างบางอย่างใส่นาง เจียงหลียกมือขึ้นเพื่อจับมันและจับตาดู ถึงรู้ว่ามันคือแผนที่
“นี่เป็นแผนที่ส่วนขยายของแดนผนึกมาร ข้าให้เจ้า” ไหวปี้กล่าวอย่างใจกว้าง
ดวงตาของเจียงหลีหรี่ลง “วังเวิ่นฉิงมีแผนที่ของแดนผนึกมารอย่างนั้นหรือ”
“อย่าแปลกใจไปเลย” ไหวปี้ยิ้ม “ดินแดนผนึกมารนั้นกว้างใหญ่มาก แต่ผู้คนมากมายเข้ามาหลังจากเปิดๆ ปิดๆ หลายปี เวลาสำรวจสองปีก็เพียงพอแล้ว ที่จะค้นพบแผ่นดินส่วนใหญ่ อย่างไรก็ต ตาม เพื่อให้ได้แผนที่นี้วังเวิ่นฉิงของเราใช้ความพยายามไปไม่น้อยเหมือนกัน”
เจียงหลีมองลงไปและกางแผนที่ในมือออก ภาพที่สะดุดตาทำให้ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ แอบชมในใจว่า ใหญ่มากจริงๆ ด้วย!
นางกำลังศึกษาแผนที่ แต่นางไม่รู้ว่าไหวปี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ใช้มือเท้าคาง มองนางอย่างตั้งใจ ด้วยสายตาที่หยาดเยิ้ม และความเสน่หาเหลือล้น…