ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 149 วิ่งหนีไปด้วยกันเถอะ!
ในบรรดาคนที่ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง ทั้งห้าคนล้วนแต่สวมชุดผ้าไหมสีขาว
มีเพียงคนเดียวที่ชุดขาวบนตัวส่องแสงรำไร ออกมา
“เป็นคนของวังเทียนอู่กงและคนของพวกเรา!” เจียงเฮ่าหรี่ตาแล้วพูดขึ้น
เจียงหลียิ้ม ยังถือว่าโชคดีที่คนที่เจอระหว่างทางส่วนมากเป็นคนที่นางอยากเจอ
“คนของวังเทียนอู่กงทั้งห้าคนตามมาทันแล้ว โชคดีจริงๆ” พระมหาอินฮูลูบที่หัวกลมๆ ของตนเอง แล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เจียงหลี!”
ในขบวนของวังเทียนอู่กง กงเสวี่ยฮวาก็เห็นเจียงหลีแล้วเหมือนกัน เขาเผยรอยยิ้มที่ดีใจออกมาแล้วพาคนเข้าไปหา
“ไป๋หลี่เฟิ่ง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
คนที่อยู่กับคนของวังเทียนอู่กงคือไป๋หลี่เฟิ่ง เขาปฏิบัติต่อความห่วงใยของเจียงเฮ่าด้วยการพยักหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็เดินไปด้วยกันกับพวกเขา
“หลบๆ ขอทางหน่อย” พอกงเสวี่ยฮวามา เขาก็เบียดหันเหยากวงที่อยู่ข้างๆ เจียงหลี
หันเหยากวงไม่ได้พูดอะไร เขาถอยไปก้าวหนึ่งแล้วเดินอยู่กับไป๋หลี่เฟิ่ง
“ช่วงนี้เจ้าดูไม่เลวเลยหนิ” เจียงหลีมองกงเสวี่ยฮวาอย่างรวดเร็ว แล้วพูดจาหยอกเย้า
สีหน้าของกงเสวี่ยฮวาเปลี่ยนไป แล้วเริ่มพูดบ่นทันที “ไม่เลวอะไรล่ะ ข้าถูกวิญญาณเหล่านี้ก่อกวน ข้าคิดว่าเกือบจะไม่ได้เจอเจ้าแล้ว”
เจียงหลีส่ายหน้า แล้วมองเขาด้วยใบหน้าเมินเฉย “พอ! เล่นบทเศร้าแบบนี้ไม่เหมาะกับเจ้าเลย”
ถูกเจียงหลีตะโกนใส่ กงเสวี่ยฮวาเบะปาก แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“รู้หรือไม่ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร” เจียงหลีถามกงเสวี่ยฮวาเบาๆ
พูดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ กงเสวี่ยฮวาก็เคร่งขรึมขึ้นมา “ไม่รู้สิ มีบางอย่างผิดปกติ การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เริ่มขึ้นก่อนกำหนด อีกทั้งยังไม่เหมือนกันกับครั้งก่อนๆ”
คำพูดของเขาทำให้เจียงหลีแววตาเปล่งประกาย “ดูแล้วเจ้าก็รู้ความจริงบางอย่างอยู่บ้าง”
ไร้สาระ!
กงเสวี่ยฮวามองบนใส่นาง แล้วรีบพูดอย่างอวดดีว่า “ถึงอย่างไรวังเทียนอู่กงของข้าก็เป็นกลุ่มอำนาจระดับสูงเหมือนกัน อยู่มานานขนาดนี้ ก็มีลูกศิษย์มากมายที่เข้ามาฝึกฝน พ่ อของข้าน่ะเป็นคนที่ฉลาดมาก ทุกครั้งที่ลูกศิษย์กลับมาจากการฝึกฝน ก็จะให้บันทึกการฝึกฝนทั้งหมดอย่างละเอียด อะไรที่เป็นประโยชน์ก็บันทึกไว้ แล้วให้ลูกศิษย์รุ่นหลังฝึกฝน”
เจียงหลีเผลอยิ้มออกมา
ดูออกเลยว่าความสัมพันธ์ของเขากับพ่อนั้นสนิทกันมาก ถ้าไม่เช่นนั้นจะมีลูกที่ไหนบอกว่าพ่อของตัวเองฉลาดเล่า
“ดังนั้นเหตุการณ์ในตอนนี้ในบันทึกวังเทียนอู่กงของพวกเจ้าไม่มีรึ” เจียงหลีถาม
กงเสวี่ยฮวาพยักหน้า สีหน้าของเขาเป็นกังวลเล็กน้อย “ดูแล้ววิญญาณชั่วร้ายในดินแดนผนึกมารแห่งนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน”
“เริ่มเปลี่ยนไปแล้วที่เจ้าว่าหมายถึงอะไร” เจียงเฮ่าถาม
กงเสวี่ยฮวาขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าได้เข้ามาในหลุมพรางของวิญญาณร้ายอย่างไม่ชอบมาพากลหรือไม่”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของเขา ต่างก็นิ่งไปตามๆ กัน
แม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไร แต่สีหน้าของทุกคนได้บอกทุกอย่างชัดเจนแล้ว
เจียงหลีหรี่ตาทั้งสองข้างลงแล้วนึกถึงตอนนั้นที่เจอกับฉินเทียนอี
“เหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในบันทึกครั้งก่อนๆ วิญญาณร้ายล้วนแต่ต่อสู้เพียงลำพัง ไม่ว่าพวกมันจะชั่วร้ายเพียงใด ก็เป็นเพียงแค่วิญญาณที่กิเลสหนา นึกไม่ถึงว่าพวก มันจะใช้กลอุบายเป็น แล้วยังสามารถร่วมกันรับมือกับพวกเรา นี่มันหมายถึง……”
ทันใดนั้น เสียงของกงเสวี่ยฮวาก็หยุดลง
“หมายถึงอะไร” พระสำนักฝัวหมัวคนหนึ่งกำลังฟังอย่างตั้งใจ เห็นว่าจู่ๆ เขาหยุดพูดเลยถามขึ้นมา
“หมายถึงวิญญาณร้ายเหล่านี้เริ่มมีสติปัญญาแล้ว” เจียงหลีพูดแทนกงเสวี่ยฮวาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
กงเสวี่ยฮวาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
คนอื่นๆ ต่างก็อึ้งไป แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
สำหรับพวกเขาแล้วการที่วิญญาณร้ายมีสติปัญญาขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่! ถ้าเป็นแบบนี้ ความยากในการฝึกฝนก็จะเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยเลย แล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าวิญญาณร้ายที่มีสต ติปัญญาเหล่านี้จะจัดการกับพวกเขาอย่างไร
“ตอนนี้ก็ทำได้แค่ดูๆ ไปก่อน” เจียเฮ่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทันใดนั้นก็มีวิญญาณร้ายโผล่ออกมาจากด้านข้าง ส่วนด้านหน้าก็มีคนที่ถูกไล่ล่า
“คือพี่น้องวังเวิ่นฉิงของข้าเอง!” ปี้โหรวที่อยู่ข้างๆ ไหวปี้พูดขึ้นมาด้วยความดีใจ
ตอนนี้กลุ่มของพวกเขาชัดเจนมาก พวกผู้หญิงที่โดนไล่ล่าเหล่านั้นล้วนแต่มุ่งมาหาพวกเขา
หญิงสาวทั้งสามได้รวมเข้ากับพวกเขาแล้ว
เจียงหลีสังเกตเห็นหนึ่งในนั้นคือลูกศิษย์ผู้หญิงคนนั้นแห่งฮวงเสินฉู่เฟยเยียน นางได้เจอกับลูกศิษย์ผู้หญิงของวังเวิ่นฉิงแล้ว เจียงหลีพูดในใจ
พอฉู่เฟยเยียนมาถึง สายตาก็มองไปยังเจียงหลี หลังจากที่พยักหน้าเล็กน้อย นางยืนอยู่ฝั่ง
ฮวงเสินเหมือนเดิมเงียบๆ
ตอนนี้ในทั้งสี่กลุ่มอำนาจ มีเพียงวังเวิ่นฉิงที่ยังขาดอีกหนึ่งคน
“พวกเจ้าไม่เจอเจินเอ๋อร์รึ” ไหวปี้ถามถึงคนสุดท้ายกับทั้งสองคน
ใครจะรู้ว่าคำถามนี้ของนางทำให้ลูกศิษย์วังเวิ่นฉิงทั้งสองน้ำตาไหลออกมา
“พวกเจ้าเป็นอะไร” ไหวปี้ถามอย่างร้อนใจ
เพราะคำถามของนาง ในแววตาของทั้งสองคนเผยความโกรธแค้นออกมา หนึ่งในนั้นกัดฟันพูดว่า “พวกเราเจอเข้ากับคนของสำนักหลีหุนจง พวกเดรัจฉานนั้น…”
สำนักหลีหุนจง!
ไหวปี้ตกใจ แล้วถามอย่างจริงจังว่า “พวกมันทำอะไรพวกเจ้า”
เจียงหลีได้ยินห้าคำ ‘สำนักหลีหุนจง’ ก็หันมามอง แล้วได้ฟังเรื่องราวที่หญิงสาวทั้งสองของวังเวิ่นฉิงเล่าด้วยความปวดร้าว
“กว่าพวกเราสามคนจะรวมกันได้นั้นไม่ง่ายเลย แต่กลับเจอเข้ากับคนของสำนักหลีหุนจง คงเป็นเพราะพวกเราโชคร้าย นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะรวมกันสี่คนแล้ว…”
“พวกเขาคนเยอะกว่า ก็เลยจะทำอย่างไรกับพวกเราก็ได้”
“เจินเอ๋อร์ถูกพวกเขาจับไป พวกเขาต้องการจะทำไม่ดีกับเจินเอ๋อร์ต่อหน้าพวกเรา”
“เจินเอ๋อร์ไม่ยอม ก็เลยถูกพวกเขาฆ่าอย่างโหดเหี้ยม”
“ว่าอย่างไรนะ!” ถึงแม้ว่าจะเดาตอนจบออก แต่ว่าได้ฟังกับหูของตัวเอง ไหวปี้ถึงกับทรุด แววตาเผยความเคียดแค้นที่รุนแรงออกมา
“ไอ้พวกเดรัจฉานนั่น ยังคิดจะลงมือกับพวกเราอีก โชคดีที่พี่สาวแห่งฮวงเสินคนนี้ตามมาทันเวลา ถึงได้ไล่ตะเพิดพวกเขาหนีไปได้” พูดจบ ลูกศิษย์ของวังเวิ่นฉิงก็มองฉู่เฟยเยียนด ด้วยความซาบซึ้งใจ
เจียงหลีก็มองไปยังนางเช่นเดียวกัน รับรู้ถึงสายตาของเจียงหลี สีหน้าของฉู่เฟยเยียนยังคงนิ่ง แล้วก็พูดอธิบายว่า “ข้าผ่านไปพอดี เห็นแล้วไม่ชอบ ก็เลยช่วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลีได้ยินเสียงของฉู่เฟยเยียน เสียงของนางมีความเยือกเย็นเหมือนกันกับตัวนาง
เจียงหลีพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร
ไหวปี้โกรธเป็นอย่างมาก “สำนักหลีหุนจง! วังเวิ่นฉิงของข้าคงอยู่ร่วมโลกกับพวกเจ้าไม่ได้แล้ว!”
“เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ พวกเราต้องล้างแค้นให้เจินเอ๋อร์นะ!” ปี้โหรวเช็ดน้ำตา แล้วอ้อนวอนไหวปี้
ความเคียดแค้นในแววตาของไหวปี้ชัดเจนมาก แน่นอนว่านางต้องแก้แค้น!
นางพยักหน้าให้กับทั้งสามคน ระหว่างที่เงยหน้าขึ้นมากลับมองไปยังด้านหลังของเจียงหลีอย่างไม่ได้ตั้งใจ
…
หนึ่งวันผ่านไป
“พวกเจ้าดูข้างหน้า!” ทันใดนั้นกงเสวี่ยฮวาก็ชี้ไปข้างหน้า
ผู้คนเงยหน้ามองไปก็เห็นฝูงวิญญาณร้ายฝูงใหญ่กำลังเข้ามา ด้านหน้าสุดของพวกเขาก็มีอยู่สิบกว่าคนเหมือนกัน