ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 152 พวกเขาเป็นอะไรกัน
“อาตมาเคยเจอในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน สิ่งนี้เรียกว่าอาณาเขตจื๋อจั้ง” พระมหาอินฮูค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองม่านใสนี้ด้วยสีหน้าสับสน
“อิสระไร้ขอบเขต”
ด้านหลังของเขามีลูกศิษย์สำนักฝัวหมัวอยู่สี่คน พวกเขาล้วนแต่พากันหลับตาพนมมือ แล้วท่องอะไรบางอย่าง เหมือนว่ากำลังสวดมนต์ก็มิปาน
เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ คนของฮวงเสินและวังเทียนอู่กงเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ
“พระมหาอินฮู ลูกศิษย์สำนักเดียวกันกับท่านเหล่านี้กำลังสวดอะไรรึ” กงเสวี่ยฮวาถามด้วยความสงสัย
“คาถาสุขาวดี” พระมหาอินฮูตอบคำถามของกงเสวี่ยฮวา แต่สายตายังมองม่านใสอยู่
คาถาสุขาวดีสามารถปลดปล่อยวิญญาณร้ายได้
ความรู้ทั่วไปนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็รู้ เพียงแต่สำหรับคนที่ฝึกฝนพลังนั้นไม่กลัวผีสางหรือเทพเจ้า ดังนั้นเหล่าลูกศิษย์ของวังเทียนอู่กงเลยหัวเราะเยาะคำ ำพูดของพระมหาอินฮูเบาๆ
ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะที่ไม่เชื่อ พระมหาอินฮูก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจอะไรออกมา เพียงแต่แววตากลับยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น
ตอนนี้ได้มีเสียงฝีเท้าดังลอยมา
พวกเจียงหลีเงยหน้ามองไปก็เห็นไหวปี้และลูกศิษย์วังเวิ่นฉิงสามคนที่เหลือกำลังเดินมุ่งหน้ามาหาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
ก็อย่างว่าถูกขังอยู่ที่นี่อย่างพิลึก ใครจะไปอารมณ์ดีได้
เจียงหลีมองพวกไหวปี้ไม่นาน แล้วนางก็กลับไปมองพระมหาอินฮูแล้วถามว่า “อาณาเขตจื๋อจั้งที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้คืออะไร”
พระมหาอินฮูตอบว่า “อาณาเขตจื๋อจั้งที่ว่าก็คือการหลอมรวมของกิเลสที่แพร่การกระจายอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดม่านใสนี้”
“ในเมื่อท่านรู้ว่ามันคืออะไร แล้วรู้วิธีทำลายมันหรือไม่” หันเหยากวงถามขึ้น
พระมหาอินฮูพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า
ทำให้ผู้คนต่างไม่เข้าใจ กงเสวี่ยฮวาทนไม่ไหวเลยพูดแขวะเขา “เดี๋ยวท่านก็พยักหน้า เดี๋ยวท่านก็ส่ายหน้า สรุปท่านรู้หรือไม่รู้กันแน่”
“รู้ แต่ทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วมันต่างอะไรกันกับไม่รู้ล่ะ” พระมหาอินฮูหันไปมองเขาด้วยท่าทางที่สงบนิ่งเช่นเดิม
“ท่านก็บอกวิธีมา พวกเราจะได้ช่วยกันคิด” เจียงหลีพูด
“ใช่แล้ว! ท่านทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเราทำไม่ได้! คนเยอะขนาดนี้ ช่วยๆ กันคิด อย่างไรก็ดีกว่าคิดหนักอยู่คนเดียว” กงเสวี่ยฮวาพูดเสริมขึ้นมา
พระมหาอินฮูยิ้ม “อยากจะทำลายอาณาเขตจื๋อจั้ง เช่นนั้นก็ต้องมีจิตใจที่ไร้ซึ่งกิเลสตัณหา”
ในขณะที่ทุกคนเงียบไป พระมหาอินฮูยิ้มสดใสมากขึ้น “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าก็ได้ลองดูแล้ว รสชาติของการที่ถูกกิเลสครอบงำเป็นอย่างไร”
“…”
“…”
คำพูดนี้ทำให้เจียงเฮ่าและกงเสวี่ยฮวาที่โดนมากับตัวเองสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ความรู้สึกแบบนั้น ทั้งชีวิตนี้ของพวกเขาก็ไม่คิดอยากจะลองอีก
“จิตใจ…” เจียงหลีพูดพึมพำ
“เช่นนั้น…ถ้าพวกเราถูกขังอยู่ที่นี่ แล้วจะเป็นอย่างไร” ไหวปี้มองซ้ายมองขวาแล้วถามขึ้นมา
แต่ครั้งนี้พระหมาอินฮูกลับส่ายหน้า “ไม่รู้ ใครจะรู้ว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นจะทำอะไรกับพวกเราล่ะ”
“ข้าไม่เชื่อว่าจะออกไปไม่ได้!” หันเหยากวงส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ แล้วโจมตีใส่ม่านใสอีกครั้ง ลูกศิษย์ของวังเทียนอู่กงทั้งสามคนนั้นต่างก็พากันโจมตีเช่นกัน
จิตใจอะไรกัน ซับซ้อนเกินไปแล้ว
สิ่งที่พวกเขาเชื่อถือที่สุดก็คือพลังของตัวเอง
แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าจะโจมตีเท่าไหร่ ม่านใสก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย
ในตอนนี้เจียงหลีเดินไปข้างๆ พระมหาอินฮู แล้วถามด้วยรอยยิ้มหยอกเย้าว่า “ที่ท่านทั้งหลายสวดคาถาสุขาวดีอยู่ตรงนี้ก็เพื่ออยากจะปลดปล่อยวิญญาณคนตายที่ยังไม่ละซึ่งกิเลสใช่ห หรือไม่”
พระมหาอินฮูยิ้มตาหยีแล้วตอบว่า “ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ผล แต่ก็ถือว่าเป็นความสบายใจก็แล้วกัน”
เจียงหลียิ้ม แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ปลดปล่อยจิตใจที่มีกิเลสครอบงำ
อย่าว่าแต่คาถาสุขาวดีจะได้ผลกับจิตใจที่มีกิเลสเหล่านี้หรือไม่ ต่อให้ได้ผล ในดินแดนผนึกมารนี้ จำนวนจิตใจที่กิเลสมีนับไม่ถ้วน อาศัยอินฮูและลูกศิษย์สามสี่คนจะสามารถปลดปล่อย ยได้หมดรึ
พลังควบคุมจิต!
เจียงหลีครุ่นคิดกับคำๆ นี้ที่พระมหาอินฮูพูดขึ้นอยู่ตลอด
ก่อนหน้านี้ ตอนที่นางถูกกิเลสเข้าสู่ร่างกาย และสุดท้ายก็ฟื้นขึ้นมา นางใช้พลังควบคุมจิตกำจัดกิเลสที่เข้าสู่ร่างกาย แต่ว่าต่อมานางได้ใช้พลังควบคุมจิตโจมตีกิเลสที่ยังไม่ เข้าสู่รางกายอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้ผลแล้ว
หรือว่าพลังควบคุมจิตของข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ เจียงหลีขมวดคิ้ว
“ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อ!”
ทันใดนั้น เสียงที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนก็ดังขึ้น
ในเสียงนี้มีความป่าเถื่อนมาก ทำให้ผู้คนหันไปมองเขา
“หันเหยากวง!” เจียงหลีประหลาดใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหันเหยากวง
ตอนนี้เขายืนอยู่ด้านนอกม่านใส แล้วโจมตีใส่ม่านใสอย่างต่อเนื่อง ดูท่าเหมือนว่าถ้ายังทำลายไม่ได้ก็จะไม่หยุด
“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงของกงเสวี่ยฮวาก็ดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่ง
เจียงหลีและคนอื่นๆ ก็มองไปอีกครั้ง แล้วก็เห็นว่าลูกศิษย์วังเทียนอู่กงทั้งสี่คนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับหันเหยากวงที่โจมตีใส่ม่านใสอย่างบ้าคลั่ง ไม่ได้สนใจคำพูดของคนอื่น เลย
เจียงหลีและเจียงเฮ่าสบตากัน เจียงเฮ่าพยักหน้าและรีบเข้าประชิดหันเหยากวงจากด้านหลัง
ในตอนที่เจียงเฮ่าเข้าประชิดก็เห็นว่าตาของหันเหยากวงกลายเป็นสีแดง และเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดขึ้นทั้งหน้าและคอ ทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยพลังที่รุนแรง
เจียงเฮ่าขมวดคิ้ว แล้วยกมือขึ้นและฟาดไปที่ด้านหลังของหันเหยากวง
ปัก!
ในระหว่างที่หันเหยากวงถูกโจมตีที่ด้านหลัง แววตาของเขาก็ไร้เรี่ยวแรง แล้วตัวของเขาก็สลบไป
เจียงเฮ่าประคองร่างที่ล้มลงของหันเหยากวง แล้วตะโกนไปทางกงเสวี่ยฮวา “ฮวาฮวา!”
กงเสวี่ยฮวาหันไปมองแล้วเห็นเจียงเฮ่าและหันเหยากวงก็เข้าใจในทันที
ตอนนี้ร่างเจียงหลีเคลื่อนไหวไปอยู่ด้านหลังของลูกศิษย์วังเทียนอู่กงคนหนึ่ง นางสบตากับกง
เสวี่ยฮวาที่มองมา หลังจากที่ทั้งสองพยักหน้าก็ต่างแยกกันลงมือ
มีเสียงดังขึ้น ลูกศิษย์เทียนอู่กงทั้งสี่คนถูกโจมตีจากด้านหลัง แล้วก็ล้มลงกับพื้น
“เอาพวกเขาออกห่างม่านใสไกลๆ หน่อย” เจียงหลีพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
พระสงฆ์ของสำนักฝัวหมัวสวดคาถาสุขาวดีเสร็จแล้ว ก็วิ่งมาช่วยเอาตัวของทั้งห้าคนที่สลบไปไว้อีกฝั่งหนึ่ง
คนที่มีสติก็ไม่กล้าเข้าใกล้ม่านใสนั้นแล้ว
พวกเขารวมตัวกันร้องไห้รอความตาย
“หรือว่าพวกเราจะถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดอย่างนั้นหรือ” ในดวงตาที่งดงามของไหวปี้เผยความร้อนรนออกมา และถามขึ้นอย่างทนไม่ไหว
พระมหาอินฮูเงยหน้าขึ้นมองไปยังด้านบนของม่านใส “พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพลังลมปราณของพวกเราทุกคนถูกที่แห่งนี้ปิดไว้แล้ว”
ทุกคนเงียบไป
พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ฝึกฝนพลัง ประสาทสัมผัสว่องไว แล้วจะไม่รู้สึกได้อย่างไร
อ้ากกก!
ทันใดนั้น ก็มีเสียงร้องที่แหลมดังขึ้นมาจากไกลๆ ทำลายความเงียบของทุกคนลง
“เหมือนว่าทางนั้นจะเกิดเรื่องแล้ว” เจียงเฮ่าพูดข้างหูเจียงหลีเบาๆ
“ทุกคนระวัง!” พระมหาอินฮูพูดเตือนทุกคน
เจียงหลีปลดปล่อยพลังจิตออกมา เหตุการณ์ทางนั้นปรากฏขึ้นในหัวนางทันที “ป้อมปราการ
เฟยอวิ๋นกับคนสำนักหลีหุนจงตีกันแล้ว”
“เหอะ! ตีกันจนได้ หมากัดกันน่ะ” ไหวปี้ยังแค้นใจเรื่องก่อนหน้านี้ หลังจากได้ยินที่เจียงหลีพูดก็ยิ้มเยาะ
แต่ทว่า ทันใดนั้นเจียงหลีก็ใช้ช่วงเวลานี้ลงมือกับไหวปี้…