ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 159 หนึ่งไม่ทำ อีกหนึ่งมิหยุดพัก
ตู้มม!
เสียงดังสนั่นกึกก้อง ในขณะที่อวิ๋นซู่กำลังจะตกลงไปยังทุ่งราบ ปราณสังหารก็เกิดการปะทุขึ้นมาทำให้ร่างของเขาถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ เลือดเนื้อของเขากลายเป็นกลุ่มหมอกสีโลหิตแดงฉาน
และบนพื้นก็ปรากฏรอบอักษรของคำว่า ‘ฆ่า’
ณ ที่ไกลออกไปมีเงาแสงหนีออกมา
เงาร่างของกงเสวี่ยฮวาออกมาปรากฏข้างกายของเจียงหลี เขาหันหน้ามองคำว่า ‘ฆ่า’ ที่อยู่บนพื้น อากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวของเลือด ทำให้จิตใจของเขาที่รับผลกระทบจากสิ่งที่ยึดเหนี่ยวกลับคืนสู่ความกระจ่างชัดเจน “ท่านฆ่าเขาจริงหรือ!”
เขาประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมเจียงหลีถึงได้เติบโตอย่างรวดเร็วเฉกเช่นนี้
ดูท่าทางเช่นนี้แล้ว ความกังวลของเขาเมื่อก่อนหน้านี้คงเสียเปล่าเสียแล้วล่ะ
เจียงหลีพยักหน้าโดยมิสนใจเลยสักนิด ด้วยอารมณ์เกียจคร้านและท่าทางมีเสน่ห์ยั่วเย้า “ข้าก็ไม่ได้อยากฆ่าสักหน่อย ใครใช้ให้พวกเราได้รับผลกระทบอื่นๆ ในอาณาเขตจื๋อจั้ง จึงพลั้งเผลอฆ่าเขาด้วยความประมาท”
เอ่อ!
“…” กงเสวี่ยฮวามองนางที่อธิบายด้วยความอึ้ง จนในที่สุดก็จำต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เผยสีหน้าชื่นชมต่อเจียงหลี
หลังจากฆ่าคนแล้วยังสามารถเรียบเรียงเหตุผลได้อย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้ เขาอดชื่นชมเจียงหลีไม่ได้จริงๆ
“หยุดมองข้าด้วยสายตาเทิดทูนบูชาเช่นนี้สักที นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดขึ้นมาเองสักหน่อย” เจียงหลียกระตุกมุมปาก มองไปที่พื้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
กงเสวี่ยฮวาก็มีความรู้สึกในใจแล้วก็มองไปที่รอยเลือดจางๆ บนพื้นทุ่งกว้างรกร้างเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ กงเสวี่ยฮวาก็หัวเราะเสียงเย็นแล้วพูดเย้ยหยัน “ป้อมปราการเฟยอวิ๋นนี่ถือว่าเป็นการขโมยไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ[1]หรือเปล่า”
เจียงหลีกรอกตาเล็กน้อยแล้วยิ้มตาหยีมองเขา แสงอันเยือกเย็นที่เปล่งประกายออกมาจากดวงตานั้นทำให้กงเสวี่ยฮวาขนลุกขนพอง จากนั้นจึงรีบส่ายมือพัลวันแล้วอธิบาย “เอ่อคือ ข้าก็แค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นไก่สักหน่อย”
ไม่อธิบายเสียยังจะดีกว่า พออธิบายแล้วกลับยิ่งทำให้แสงในสายตาของเจียงหลีคมเฉียบกว่าเดิมเสียอีก
“แหะๆ อย่าถือสาข้าเลย” กงเสวี่ยฮวาถอยไปด้านหลังหลายก้าว เพื่อให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัยแล้วส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เจียงหลี
แสงอันตรายในแววตาของเจียงหลีพลันหายไป และนางแสยะยิ้มมุมปากมากขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
นางไม่ได้คิดโกรธกงเสวี่ยฮวาจริงจังหรอก เพียงแต่ทั้งสองจิกกัดกันพอหอปากหอมคอเท่านั้น
ทั้งสองลงมาจากกลางอากาศแล้วทิ้งตัวลงบนผืนทุ่งราบ
ขณะนั้น การต่อสู้ตรงอื่นยังคงดำเนินต่อไปทั้งยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
เจียงหลีปล่อยพลังจิตแพร่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง เพื่อตรวจสอบสถานการณ์การต่อสู้ นางจึงพบว่าพระสี่รูปของสำนักฝัวหมัว มีคนตายหนึ่งรูปและผู้บาดเจ็บอีกหนึ่งรูป และทั้งสามคนที่กำลังจัดการกับสำนักฝัวหมัว มีเพียงลูกศิษย์หนึ่งคนจากสำนักหลีหุนจงที่เสียชีวิตกลางสมรภูมิ ผลลัพธ์เช่นนี้ดูเหมือนจะไปกระตุ้นพระมหาอินฮูเข้าจึงทำให้เขาลงมือหนักและฆ่าคนในป้อมปราการเฟยอวิ๋นไปหนึ่งคน
ทางด้านวังเวิ่นฉิงเหลือเพียงไหวปี้กับลูกศิษย์อีกหนึ่งคน แต่ทว่าไหวปี้ถูกคนของป้อมเฟยอวิ๋นสกัดกั้นเอาไว้ ภายใต้การพัวพันลูกศิษย์คนนั้นกำลังพัวพันกับศิษย์สำนักหลีหุนจงก็หน้าสิ่วหน้าขวานไม่แพ้กัน
“ต่อไปจะทำเยี่ยงไรดี” กงเสวี่ยฮวาถามเสียงนิ่ง
เจียงหลีหัวเราะอย่างนึกสนุก แววตาอาบย้อมไปด้วยแสงเย็นเฉียบ “ทำอย่างไรรึ เช่นนั้นก็…หนึ่งไม่ทำ อีกหนึ่งไม่หยุดพัก ภายใต้ผลกระทบจากอาณาเขตจื๋อจั้ง พวกเราไม่ได้ตั้งใจฆ่าคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจง ดังนั้นเราก็ขอแสดงความเสียใจกับเรื่องนี้อย่างสุดซึ้ง”
กงเสวี่ยฮวาตกตะลึงเบิกตาอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดไร้ยางอายดังกล่าว
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงจะปิดปากที่อ้ากว้าง ดวงตาที่เบิกโพลงก่อนจะพยักหน้าแรงๆ
หญิงแกร่ง!
บ้าพลัง! บ้าระห่ำ! ใจกล้าบ้าบิ่น!
“เป็นไงเป็นกัน!” กงเสวี่ยฮวาพูดพร้อมตั้งท่าชูกำปั้น
เจียงหลีเผยรอยยิ้มมีเสน่ห์แล้วเอ่ยขึ้นกับเขา “ตอนนี้ยังเหลือคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นสองคน และคนของสำนักหลีหุนจงอีกสองคน ทางด้านไป๋หลี่เฟิ่งไม่มีปัญหา เพราะเหลือแค่คนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นหนึ่งคนและสำนักหลีหุนจงอีกสองคน…”
“เจ้าอยู่เฉยๆ เดี๋ยวข้าออกโรงเอง!” กงเสวี่ยฮวายิ้มมาดร้าย
เจียงหลีดึงเขากลับมา “เจ้ารับมือคนเดียวได้หรือ เจ้าไปจัดการคนของป้อมเฟยอวิ๋นนั่นดีกว่า ส่วนสำนักหลีหุนจงอีกสองคนปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
กงเสวี่ยฮวาไตร่ตรองดูแล้วพยักหน้า “ก็ได้”
ทันใดนั้นเจียงหลีและกงเสวี่ยฮวาก็เหาะขึ้นไปพร้อมกัน เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามรบตรงนั้น
ขณะเดียวกัน ในสมรภูมิของไป๋หลี่เฟิ่ง เขาก็ได้รับการถ่ายทอดศาสตร์ลับจากเจียงหลีอีกด้วย…
“ไป๋หลี่เฟิ่ง ฆ่าเขาซะ”
หากเป็นดั่งเช่นเมื่อก่อน ด้วยอุปนิสัยของไป๋หลี่เฟิ่ง เขาคงไม่ฟังคำสั่งของเจียงหลีเป็นอันขาด แต่ทว่ายามนี้เขาไม่เพียงพ่ายแพ้ให้แก่เจียงหลีหลายต่อหลายครั้ง แต่ตอนนี้เจียงหลีก็เป็นศิษย์ของตำหนักเย่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำในการฝึกประสบการณ์ครั้งนี้ของพวกเขา ไม่ว่าจะกล่าวในแง่ไหน เขาก็มิสามารถขัดขืนคำสั่งของเจียงหลีได้ ถึงอย่างไร ในสมรภูมินี้ ไป๋หลี่เฟิ่งได้สังเกตเห็นว่าคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋น ไม่เหมือนกันคนที่รับผลกระทบจากอาณาเขตจื๋อจั้งแล้วเข้าสู่การเป็นมาร แต่เหมือนว่าจงใจฆ่าเขามากกว่า
ดังนั้นจะให้เขาทนอีกต่อไปได้อย่างไร
หลังจากได้รับคำสั่งของเจียงหลี นัยน์ตาทั้งคู่ของไป๋หลี่เฟิ่งที่เย็นชาอยู่เป็นทุนเดิมก็เย็นยะเยือกกว่าเดิม เสียงหวีดแหลมดังออกมาจากร่างกายของเขา
ภาพมายาของชิงเฟิ่งลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา ในขณะนั้นเองร่างของไป๋หลี่เฟิ่งก็กลายเป็นแสงกระบี่พุ่งเข้าใส่ลูกศิษย์ของป้อมปราการเฟยอวิ๋นผู้นั้น
…
อีกทางด้านหนึ่ง หลังจากที่พระมหาอินฮูสังหารลูกศิษย์ของป้อมปราการเฟยอวิ๋นคนนั้นแล้วก็เข้าไปต่อสู้กับศิษย์น้องที่กลายเป็นมารเรียบร้อยของตนเอง โดยไม่มีเวลาสนใจผู้อื่น
เจียงหลีและกงเสวี่ยฮวาก็เข้าร่วมด้วยอย่างขยันขันแข็ง เพื่อเปิดการตามล่าโจมตีลูกศิษย์ที่เหลือของป้อมปราการเฟยอวิ๋นกับสำนักหลีหุนจง
เมื่อเห็นว่าเจียงหลีและกงเสวี่ยฮวากลับมา ทันใดนั้นลูกศิษย์ทั้งสองของสำนักหลีหุนจงจึงได้ฟื้นคืนสติ เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดีจึงหันหลังเพื่อต้องการวิ่งหนีไป
แต่ทว่า พวกเขากลับลืมไปว่า พวกเขาก็ถูกขังเอาไว้ในอาณาเขตจื๋อจั้ง นอกจากทุ่งหญ้ารกร้างผืนนี้ที่ถูกปิดผนึกเอาไว้แล้ว ยังจะสามารถหนีไปไหนได้อีก
เจียงหลีตามล่าศิษย์ของสำนักหลีหุนจงสองคนนั้นไป ตามที่ได้แบ่งหน้าที่กันก่อนหน้านี้
ส่วนกงเสวี่ยฮวารับมือต่อจากไหวปี้ที่กำลังต่อสู้กันพัวพันกับศิษย์ของป้อมปราการเฟยอวิ๋น
หนึ่งตาม สองถอยหนี เผลอแวบเดียวพวกเขาก็มาถึงบริเวณชายขอบของอาณาเขตจื๋อจั้งแล้ว
ใกล้ๆ กับพวกเขานั้นก็คืออาณาเขตจื๋อจั้งสีเทาโปร่งใสมีแสงประกายหลากสีกำลังเคลื่อนไหว
“วิ่งสิ! วิ่งต่อไปเลย!” เจียงหลีหัวเราะอย่างนึกสนุก น้ำเสียงหยอกเย้าราวกับพวกเจ้าชู้ประตูดินที่เอ่ยเกี้ยวพาราสีสาวน้อยสาวใหญ่ตามท้องถนน
คนของสำนักหลีหุนจงสองคนนั้นกลับถอยหลังหนีไปด้วยความหวาดกลับ ท่าทางอ่อนแอเช่นนั้นมันทำให้ทนดูไม่ได้จริงๆ
“อย่า…อย่าเข้ามานะ!” หนึ่งในนั้นมีน้ำเสียงสั่นเครือ
สายตาที่พวกเขาสองคนมองเจียงหลีเต็มไปด้วยความหวาดผวา
หนีรึ
จะหนีพ้นได้อย่างไร
แม้แต่อวิ๋นซู่แห่งป้อมปราการเฟยอวิ๋นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง คนที่กลับมาเป็นเจียงหลี ไม่ใช่อวิ๋นซู่ ก็สามารถเดาได้ว่าผลลัพธ์ของแผนการนี้ได้แล้ว ซึ่งแตกต่างกับคำสาบานที่อวิ๋นซู่เอ่ยเอาไว้ก่อนหน้านี้
ตอนนี้ทั้งสองคนนั้นยังมิรู้ว่าไอ้สาระเลวของพวกเขาได้ตายในเงื้อมมือของเจียงหลีไปแล้ว
“พวกข้า…พวกข้าถูกอวิ๋นซู่แห่งป้อมเฟยอวิ๋นเป่ามนตร์สะกด แล้วบีบบังคับให้พวกข้าลงมือเหมือนกัน พวกข้าไม่เคยคิดที่จะต่อกรกับท่าน” อีกคนก็รีบอธิบายพัลวัน
เจียงหลีหัวเราะเยาะ
นางต้องการฆ่าคนของสำนักหลีหุนจง ไม่ใช่เพาะพวกเขาสมรู้ร่วมกับแผนชั่วของป้อมปราการเฟยอวิ๋น แต่เป็นเพราะว่า…คนของสำนักหลีหุนจงล้วนสมควรฆ่าให้ตายต่างหากเล่า!
ทันใดนั้นจิตสังหารก็ปรากฏขึ้นในแววตาของนาง
ศิษย์สำนักหลีหุนจงที่จ้องนางเขม็งตลอดเสลา ทันใดนั้นก็รับรู้ถึงจิตสังหารที่รุนแรง แล้วไม่พูดสิ่งใดมากอีก ทั้งสองต่างวิ่งหนีไปคนละทิศละทางอย่างรู้ใจกัน ใครหนีไปได้ก็ถือว่าโชคดีก็แล้วกัน
แต่ทว่าเจียงหลีจะปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้อย่างนั้นหรือ
เมื่อนำเฉียนคุนเปี้ยนเปลี่ยนจักรวาลออกมาใช้ จากสองคนนั้นที่ตั้งใจวิ่งหนี แต่กลับมาทางเจียงหลีอย่างแปลกประหลาด
[1] ขโมยไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ สำนวนจีน หมายถึง เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์