ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 161 ในที่สุดก็ออกมาจนได้
เป็นไปไม่ได้ แต่ก็อาจมีทางเป็นไปได้…
เจียงหลีพูดประโยคนี้ซ้ำๆ ในใจ
ในที่สุดดวงตาของนางก็เปล่งประกายแล้วเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ “ข้าเข้าใจแล้ว!”
“เข้าใจ เข้าใจอะไรรึ” กงเสวี่ยฮวาถามอย่าไม่เข้าใจ
“พวกท่านถอยออกไปหน่อย” เจียงหลีหันไปพูดกับคนอื่นๆ
ส่วนคนอื่นๆ ก็ต่างงุนงงไม่เข้าใจเช่นกัน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเจียงหลี จึงพากันถอยออกไปช้าๆ
ขณะนี้ พวกเขามองเห็นแต่เงาหลังของเจียงหลี
และเจียงหลีเงยหน้าขึ้นไปเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นของนางเป็นประกายเจิดจ้า พลังควบคุมจิตที่แกร่งกล้าควบแน่นออกมาเป็นกระบี่ใสแต่กลับอยู่ลึกลงไปในม่านตาของนาง จากนั้นมันก็หมุนออกมาอย่างรวดเร็ว
“เอ๋!”
พระมหาอินฮูส่งเสียงเบาๆ ในลำคออย่างสงสัย แล้วมองไปที่เจียงหลีด้วยความประหลาดใจ
เขารับรู้ถึงพลังควบคุมจิตที่มาจากร่างกายของเจียงหลี
พลังแห่งการควบคุมจิตมักจะถูกรับรู้อย่างเชื่องช้าหลังจากเข้าสู่อาณาเขตผู้เป็นหลิงหวัง เพื่อให้เข้าใจและเชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงสามารถใช้มันได้
อย่างไรก็ตามอาจมีข้อยกเว้น
ยกตัวอย่างเช่นเขา ก่อนหน้าไม่นานมานี้ ด้วยความที่เขาอยู่ในอาณาเขตหลิงจง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ตระหนักถึงพลังแห่งการควบคุมจิตจากการบรรยายของซือจุน
สำหรับพลังควบคุมจิต เขามีความรู้สึกของตัวเองและเขาอยู่ในกระบวนการแสวงหาความรู้แจ้งอยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้เขากลับรู้สึกถึงพลังควบคุมจิตในร่างกายของเจียงหลีลึกซึ้งถ่องแท้เสียยิ่งกว่าซือจุนรู้แจ้งอีก
นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร
ความรู้สึกในแววตาของพระมหาอินฮูเปลี่ยนแปลงจนคาดเดาไม่ได้
แต่ทว่าตอนนี้กลับไม่มีใครสังเกตเขา ทุกคนต่างถูกเจียงหลีดึงดูดความสนใจ แล้วต่างมองไปที่นางเป็นตาเดียว เพราะอยากรู้ว่านางกำลังจะทำอะไรกันแน่
ไม่ยอมศิโรราบ!
ไม่ยอมศิโรราบ!
ทุกๆ พลังควบคุมจิตที่ส่งไปต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะของมัน หากต้องการควบคุมพลังควบคุมจิต จะต้องมีจิตวิญญาณที่ตรงกับมัน
เจียงหลีมีพลังควบคุมจิตที่ไม่ศิโรราบอยู่ในครอบครอง ไม่ได้เป็นเพียงเพราะการผจญภัยอันน่าพิศวงในซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งเท่านั้น แต่เป็นเพราะในกระดูกของนางก็เป็นคนที่ไม่เคยยอมศิโรราบให้ใครอยู่แล้ว
นางคือจักรพรรดินีที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ มองเห็นใต้หล้าจากเบื้องบน
ไม่ยอมใครในใต้หล้า ไม่ยอมใครในเวหา และไม่ยอมให้กับอำนาจใดๆ
เพราะนางเกิดมาอย่างไม่ยอมแพ้ ดังนั้นนางจึงสัมผัสได้ถึงพลังควบคุมจิตอันแน่วแน่ในซากกำแพงอวิ๋นเมิ่ง ถึงได้เข้าไปในภาพมายานั้นได้ และสัมผัสถึงแก่นแท้ของพลังควบคุมจิตได้โดยตรง
อนึ่ง นางสามารถใช้พลังควบคุมจิตของนางเพื่อให้กลายเป็นอาวุธโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ก็เพราะว่านางเป็นเนี่ยนซือผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่อยู่แล้ว
แรกเริ่มเดิมที ที่นางฝึกฝนพลังจิตก็เพื่อสามารถควบคุมเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ
แต่ภายหลังจากที่เจอเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย กลับทำให้นางเริ่มมีหนทางฝึกฝนพลังจิตอย่างจริงจัง
ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งเป็นทุนสำรอง สิ่งนี้จะพิสูจน์ได้ว่าไม่ว่านางจะรู้สึกถึงพลังควบคุมจิตใดๆ ในอนาคต นางสามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นวิธีโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ความได้เปรียบโดยธรรมชาติเช่นนี้ทำให้นางสามารถรับรู้ถึงพลังควบคุมจิตได้เร็วและลึกซึ้งกว่าหลิงซือทั่วไป
“พวกท่านสังเกตหรือไม่ว่าพลังปราณของเจียงหลีกำลังเปลี่ยนแปลง” ไหวปี้เผยสีหน้าตกตะลึงแล้วแอบถอยมาข้างหลังหลายก้าว
คำพูดของนาง ทำให้ทุกคนยิ่งจับมามองเจียงหลี
อันที่จริง ในขณะนี้แผ่นหลังของเจียงหลีราวกับคมกระบี่และปืนเหล็ก ยืนจังก้าระหว่างท้องฟ้ากับปฐพี และปลดปล่อยพลังควบคุมจิตออกมา
ไม่ยอมศิโรราบ!
แม้กระทั่งฟ้าดินก็ไม่สามารถกักขังนางได้ นับประสาอะไรกับอาณาเขตจื๋อจังเล็กๆ แห่งนี้ จะสามารถกักขังนางได้อย่างไร
“มาสิ!”
ทันใดนั้น เจียงหลีก็ตะโกนเสียงกังวาน และแสงในดวงตาของนางก็ระเบิดออกมา
พลังควบคุมจิตที่ไม่ยอมศิโรราบควบแน่นกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กแผ่ออกมาจากร่างของนาง พลังควบคุมจิตอันน่าหวาดกลัวและสยดสยองระเบิดออกมาจากร่างกายนางราวกับลำแสงนับหมื่นจั้งพุ่งเข้าใส่อาณาเขตจื๋อจั้งสีเทาแล้วออกไป
วิ้ง!
แสงระยิบระยับจากเจียงหลีทำให้ร่างของนางจมลงไป และกระจายไปทั่วพื้นที่ภายในอาณาเขตจื๋อจั้ง
อย่างรวดเร็วแล้วบังคับให้ผู้คนที่อยู่ข้างหลังนางปิดตาและถอยห่างออกไป
“อาหลี!”
เจียงเฮ่ากังวลเล็กน้อย แต่ภายใต้พลังนี้เขาจึงต้องถอยหลังไปอย่างช่วยไม่ได้
เพียงชั่วพริบตา ลำแสงเจิดจ้าทิ่มแทงตาก็ปกคลุมในแสงที่ปกคุลมไปทั่วทั้งหมด ราวกับเป็นดวงอาทิตย์ทรงกลมที่ตกลงมาจากท้องฟ้าสู่ทุ่งหญ้ารกร้างแห่งนี้
กลุ่มคนของตำหนักหลีหั่วที่เดินออกไปไกลแล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงลำแสงจากทางด้านหลัง จากนั้นหยุดเดินแล้วหันหลังไปมองพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ณ ที่ไกลออกไป มีแสงระยิบระยับวาววับ
“มาจากทางด้านทุ่งราบ!” ศิษย์ของตำหนักหลีหั่วเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้นที่นั่น มันถึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ขนาดนี้
แววตาของหลัวอวี่วูบไหว จากนั้นจึงออกคำสั่งกับศิษย์ร่วมสำนัก “ไม่ต้องไปสนใจ พวกเราเดินหน้าต่อไป”
เมื่อคนของตำหนักหลีหั่วได้ยินคำสั่งของเขาก็ถอนสายตากลับมา จากนั้นจึงแบกหามฉินเทียนอีมุ่งหน้าต่อไป และยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางของดินแดนผนึกมารเข้ามาเรื่อยๆ
ในแสงสีขาวพร่างพราย ทุกคนในอาณาเขตจื๋อจั้งดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์
‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ นี้มีผลอันน่าอัศจรรย์ มันสามารถขจัดกิเลสมารในร่างของผู้ที่เข้าสู่การเป็นมารไปแล้วได้
คนที่หมดสติก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ
เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้น พวกเขาก็พบว่าถูกแสงสีขาวแปลกประหลาดปกคลุม
“เกิดอะไรขึ้น”
มีคนเอ่ยถามแต่กลับไม่มีใครตอบ
เพราะว่าในขณะนี้ คนที่สามารถตอบคำถามนี้ได้กลับถูกการกระทำของเจียงหลีทั้งหมดทำให้ตกตะลึง
“ที่แท้ก็เป็นยี่ยงนี้! ข้าเข้าใจแล้ว!” ทันใดนั้น พระมหาอินฮูที่ถูกอาบด้วยแสงสีขาวก็ตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้น
ทุกคนต่างหันไปมองเขาก็พบว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิม พนมมือและหลับตา แสดงภาพลักษณ์อันเคร่งขรึมของผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม
วิ้ง!
มีแสงพระพุทธองค์สีทองพุ่งออกมาจากพระมหาอินฮู
ราวกับว่ากิเลสมารที่อยู่ในอาณาเขตจื๋อจั้งได้กลิ่นอาหารอันแสนอร่อยจึงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งแล้วพุ่งเข้าใส่พระมหาอินฮู
“พระพุทธองค์ตรัสว่า หากเราไม่ตกนรกแล้วใครจะตกนรก”
เมื่อกิเลสมารรวมร่าง ทุกคนต่างหน้าถอดสี แต่พระมหาอินฮูกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
พระลูกศิษย์สำนักฝัวหมัวที่ฟื้นคืนสติแล้ว ทันใดนั้นก็ได้รับการตื่นรู้และยืนขึ้นพร้อมกับพระมหาอินฮู แล้วพูดพร้อมเพียงกันว่า “อิสระไร้ขอบเขต”
กิเลสมารพุ่งเข้าห้อมล้อมพระอาวุโสหลายรูป
ในเวลานี้ เจียงหลีผู้ซึ่งถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังควบคุมจิตอย่างแน่วแน่ลืมตาขึ้นทันทีและตะโกนใส่อาณาเขตจื๋อจั้งเสียงดังลั่น “ทะลวงเดี๋ยวนี้!”
ปัง!
เสียงดังสนั่น แสงสีขาวเจิดจ้าแทรกซึมไปที่อาณาเขตจื๋อจั้ง รวมตัวกันเป็นแสงกระบี่ขนาดมหึมา ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และทะลุทะลวงจื๋อจั้งบนท้องฟ้า
ช่องโหว่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนจื๋อจั้ง หลังจากนั้นก็เกิดรอยแตกละเอียดไปทั่วทั้งอาณาเขตจื๋อจั้ง
“เราไปกันเถอะ!” เจียงหลีตะโกนเสียงสูง ก่อนที่เงาร่างจะเหาะขึ้นไปออกจากอาณาเขตจื๋อจั้ง
เจียงเฮ่าและคนอื่นรีบตามไปทันที ในขณะที่พวกเขากำลังพุ่งออกมา ทั้งอาณาเขตจื๋อจั้งก็ระเบิดแตกกระจาย กิเลสกลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายนับไม่ถ้วน และไม่ไล่ตามพวกเขาอีก แต่กลับถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
“เรา…ในที่สุดเราก็ออกมาได้แล้วใช่ไหม” ไหวปี้ตื่นเต้นมากจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเรื่องจริง
ออกมาได้แล้ว!
ออกมาได้แล้วจริงๆ!
กงเสวี่ยฮวาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยคิดถึง “ข้าไม่เคยรู้สึกถึงอากาศข้างนอกว่ามันจะสดชื่นขนาดนี้มาก่อนเลย”
“สถานการณ์ของพวกเขาเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง” เจียงเฮ่ามองไปที่พระลูกศิษย์สำนักฝัวหมัวเหล่านั้น
ขณะนั้นเอง แสงแห่งพระพุทธองค์และไอมารในร่างกายของพวกเขายังมีอยู่ในเวลาเดียวกัน แต่คนกลับนิ่งสงบอย่างแปลกประหลาด
“ดูเหมือนพวกเขากำลังบำเพ็ญตบะ” หันเหยากวงขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น
เจียงหลีมองไปที่พระมหาอินฮูแล้วยิ้มเจือจางให้ “ทุกคนต่างมีชะตาของตัวเอง พวกเราอย่าไปรบกวนพวกเขาเลย”