ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 162 วิญญาณชั่วร้ายที่ทรงอำนาจ
กงเสวี่ยฮวาเอ่ยอย่างขบขัน “ภิกษุสงฆ์เหล่านี้ ช่างมีความโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ”
“นายน้อยกง พวกเรา…”
ศิษย์ทั้งสี่ของวังเทียนอู่กงได้สติกลับมาจากกิเลสมาร บัดนี้ได้มองกงเสวี่ยฮวาอย่างละอายใจ เมื่อกิเลสมารถูกชำระล้างไปหมดสิ้นแล้ว พวกเขาก็นึกได้ว่าก่อนหน้านี้กระทำสิ่งใดลงไป ปบ้าง
พวกเขาจึงรู้สึกละอายใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากงเสวี่ยฮวาเป็นธรรมดา
โชคดีที่ตั้งแต่ไหนแต่ไรกงเสวี่ยฮวาไม่ใช่คนขี้น้อยใจ แล้วไม่ชอบถือตัวในฐานะนายน้อยสักเท่าไหร่ เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสี่คนแล้ว เขาจึงส่งยิ้มกลับไปแทนแล้วเอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไร ร พวกเจ้าไม่ได้ตั้งใจนี่นา สถานการณ์แบบนั้น ใครจะไปคาดการณ์ได้เล่า”
คนของวังเทียนอู่กงกำลังโทษตัวเองอยู่ทางด้านนี้
ในขณะที่หันเหยากวางเดินมาหาเจียงหลี และมองนางด้วยสีหน้าซับซ้อน ตอนนี้เขาได้สติแล้ว แน่นอนว่าเขาก็รับรู้ถึงการกระทำของตนเองในก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะพลังอันแข็งแกร่งของ งเจียงหลี และเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ มิฉะนั้น เกรงว่าเขาคงไม่มีหน้าอยู่ฮวงเสินต่อไปอีกแล้ว
“เจ้าเองก็อยากเอ่ยขอโทษข้าหรือ” เจียงหลีมีท่าทีเกียจคร้าน หัวเราะอยากนึกขัน นางเอกก็ไม่อยากซื้อใจคนซักเท่าไหร่
หันเหยากวางมีสีหน้าดิ้นรน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความไม่สบายใจ “ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า”
นี่คือเรื่องจริง หากไม่มีเจียงหลี เกรงว่าตอนนี้หากไม่ใช่เพราะถูกกิเลสมารครอบงำให้บ้าคลั่งจนตายไปในที่สุด ก็เป็นเพราะถูกขังอยู่ในอาณาเขตจื๋อจั้งนี้ ไร้อารมณ์ความรู้สึกราวกับ บซากศพเดินได้
“ข้าจดหนี้เอาไว้แล้ว” เจียงหลีพยักหน้า แล้วยิ้มพราวเสน่ห์
หันเหยากวงถูกรอยยิ้มของนางดึงดูดเข้าแล้ว ปรากฏความหวั่นไหวเพียงชั่ววูบ จากนั้นเขาก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าคราวนี้เขาผ่านกิเลสมารครอบงำแล้ว พลังควบคุมจิตในร่า างกายของเขาจะแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
หันเหยากวางก้มหน้าถอยกลับไป เพราะไม่อยากรบกวนเจียงหลีอีก
หลังจากไหวปี้ปลอบบรรดาศิษย์พี่น้องสาวๆ ให้สงบสติอารมณ์แล้ว นางจึงยู่ปากเดินไปหาเจียงหลีแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าสร้อย “เจ้าไม่ยอมให้ข้าใช้มารยา ตัวเจ้าเองก็เกือบทำให้ผู้อื่นส สับสนแล้วมิใช่หรือ”
ที่หันเหยากวางหวั่นไหวเมื่อครู่นี้ ก็มิอาจรอดพ้นสายตาไหวปี้ไปได้
เจียงหลีกลับยิ้มแพรวพราวยิ่งขึ้น แล้วพูดอย่างหลงตัวเอง “อย่างข้าไม่ได้เรียกว่ามารยา แต่เรียกว่าเสน่ห์ต่างหาก”
“…” ไหวปี้อึ้งค้าง และรู้สึกถึงความสามารถอันมีวาทศิลป์ของเจียงหลีอีกครั้ง
…
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ทางด้านฮวงเสินและวังเทียนอู่กงทั้งสิบคนนับว่ายังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเสียหาย ส่วนทางด้านวังเวิ่นฉิงและสำนักฝัวหมัวต่างได้รับคว วามสูญเสีย แต่ทว่า การบาดเจ็บสูญเสียในระหว่างฝึกประสบการณ์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากยิ่งนัก
อย่างที่กงเสวี่ยฮวาได้กล่าวเอาไว้ว่า ‘ขโมยไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ’ คนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจงช่างตายอย่างไร้ความยุติธรรมเสียจริง
เกรงว่า แม้กระทั่งพวกเขาเองก็คิดไม่ถึง คนแรกที่ทำลายกองทัพทั้งหมดกลับกลายเป็นตัวเอง
“หลังจากออกไป คนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจงต้องตรวจสอบเรื่องนี้เป็นแน่” ไหวปี้เอ่ยเตือนเจียงหลีหนึ่งประโยค
เจียงหลีกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยี่หระ “มีคนล้มตายบาดเจ็บในระหว่างฝึกประสบการณ์เป็นเรื่องปกติ หากแพ้ไม่เป็น คราวหน้าก็ไม่ต้องมาแล้ว”
“เจ้านี่มัน!” ไหวปี้เบิกตามองนาง “ข้าแค่อยากเตือนเจ้า รอจนกว่าออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ อย่าชะล่าใจนัก ระวังจะเจอทั้งสองสำนักนี้เข้า”
“ข้ารู้แล้วน่า” เจียงหลีพยักหน้า แต่สีหน้ายังคงเฉยชาเช่นเดิม
“นายน้อย ต่อไปเราจะทำอย่างไรดี” ฉู่เฟยเยียนเดินเข้ามาถามไถ่
“พวกเราร่วมทางไปด้วยกันเถอะ หากเจอพวกป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจงที่ไร้คุณธรรมเข้า พวกเราจะได้ช่วยจัดการพวกเขาให้หนักไปเลย” กงเสวี่ยฮวาเบียดเข้ามาแล้วขยิบตาให้เจีย ยงหลี
ไหวปี้ก็มองนางด้วยความกระตือรือร้น ความหมายของเพื่อร่วมทางนั้นชัดเจนมาก
เจียงหลีกวาดสายตามองไปที่พวกเขาอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าตกลง “เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”
“แล้วคนจองสำนักฝัวหมัวเล่า จะทำเช่นไรดี” ฉู่เฟยเยียนเอ่ยถามอีกครั้ง
กงเสวี่ยฮวาชิงตอบเสียก่อน “เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเขาแล้วล่ะ ตอนนี้พวกเขากำลังฝึกบำเพ็ญสิ่งใดอยู่ พวกเราก็มิอาจรู้แน่ชัดได้ แม้ทุกคนจะเคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ แค่พวกเรามิสามารถเสียสละเวลาของตนเองได้ ให้พวกเขาปกป้องคุ้มครองที่แห่งนี้ซะ มิฉะนั้น สิ่งดีๆ ที่อยู่ด้านหน้านี้ก็จะถูกพวกสำนักหลีหุนจงพรากไป ใจข้าไม่เป็นสุขแน่!”
คำพูดของเขาทำให้ฉู่เฟยเยียนต้องถอยกลับมา ส่วนคนที่ยังจับตามองเขาอยู่ก็คือเจียงหลี
เจียงหลีพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เลว! พวกเราต่างเข้ามาเพื่อฝึกประสบการณ์ ตอนนี้คนของสำนักฝัวหมัวตามหาโอกาสและโชคชะตาของพวกเขาเจอแล้ว พวกเราก็มิอาจรอช้าอีกต่อไป”
ทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น คนที่ฝึกฝนถึงระดับของตนแล้วจะไม่มีใจเมตตาดั่งแม่พระแบบนั้น ดูชีวิตและความตายของตัวเองจนปลงแล้ว นับประสาอะไรกับคนอื่น
ในทางกลับกัน สัมพันธไมตรีระหว่างสำนักฝัวหมัวและเจียงหลียังไม่ถึงขั้นลึกซึ้งแน่นแฟ้น พวกเขาไม่สามารถเสียสละโอกาสของตนเองเพื่อตอบแทนและพิทักษ์ธรรมของพวกเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้น บางทีพวกเขาอาจไม่ต้องการเลยตั้งแต่แรกล่ะ
สรุปไม่มีใครคัดค้านการตัดสินใจนี้
ทั้งสามกลุ่มอำนาจรวมตัวกันและมุ่งหน้าไปสำรวจศูนย์กลาง ถึงอย่างไร ในเมื่อถูกเหล่าวิญญาณร้ายขับไล่มาจนถึงที่นี่แล้ว พวกเขาจึงต้องไปที่ศูนย์กลาง
ทางด้านตำหนักหลีหั่ว หากเจียงหลีได้พบเจอก็จะดูสถานการณ์ของฉินเทียนอี
หากไม่เจอก็แล้วไป
สำหรับพฤติกรรมเห็นแก่ตัวหนีไปก่อนของตำหนักหลีหั่ว เจียงหลีไม่ได้มีปฏิกิริยามากเท่ากงเสวี่ยฮวาขนาดนั้น
…
เดี๋ยวเดินเดี๋ยวพักก็ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว วิญญาณร้ายที่เจอก็ลดน้อยลง แต่บรรยากาศกลับตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม และระหว่างทางนี้ ไม่รู้ว่าได้เดินคนละทิศทางกับพวกตำหนักหลี หั่วหรือไม่ เพราะตลอดทางพวกเขาไม่เจอคนของตำหลักหลีหั่วเลยสักคน
วันนี้ทุกคนจึงเลือกสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อนชั่วคราว
เจียงหลีเรียกเจียงเฮ่าให้มาหาอีกด้านหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบเครื่องรางหยกออกมาให้แก่เขา
“นี่คือสิ่งใด” เจียงเฮ่าถามด้วยความสงสัย
เจียงหลีเอ่ยแย้มยิ้ม “ก่อนเข้ามา ศิษย์พี่สามกลัวว่าข้าจะฝึกฝนล่าช้า จึงตั้งใจจัดการวิธีฝึกเคล็ดลับประเภทที่สองให้ข้า เครื่องรางเหล่านี้นำมาใช้ในการส่งเสียงได้ แล้วก็เป็นเคล็ ดลับถ่ายทอดเสียงพันลี้ที่ท่านอาจารย์เฟิงเคยพูดถึง รอจนพวกเราออกไปได้แล้ว ศิษย์พี่ทั้งสามคงไม่ให้ข้าออกไปอีกอย่างแน่นอน ข้าจึงอยากรบกวนพี่ใหญ่นำเครื่องดนตรีพวกนี้มอบให้ แก่ชิงเหยียน”
หัวใจของเจียงเฮ่ากระตุกวูบเมื่อเอ่ยถึงมู่ชิงเหยียน
เขาตอบอย่างขุ่นเคืองก่อนจะนำเครื่องดนตรีพวกนี้เก็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง
เจียงหลีเหลือบมองเขา กะพริบตาปริบๆ แล้วเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เจียงเฮ่ากลับเขินหน้าแดงเล็กน้อยเพราะสายตาล้อเลียนของน้องสาวตนเอง
“คิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาลับยังสามารถใช้การเช่นนี้ได้” เจียงเฮ่าพูดเรื่อยเปื่อยเพื่อหลบสายตาเจียงหลี
เจียงหลีเองก็ไม่อยากทำลายความอึดอัดของเขาจึงพยักหน้าตอบ “ใช่น่ะสิ หลังจากข้าเข้ามาแล้วก็เห็นบันทึกของศิษย์พี่สามถึงได้รู้ว่า เคล็ดลับประเภทที่สองสามารถแนบติดกับวัตถุของเ เคล็ดลับประเภทที่หนึ่งได้ ซึ่งมันน่าอัศจรรย์มากจริงๆ พี่ใหญ่อยากเรียนรู้หรือไม่”
เจียงเฮ่ากลับส่ายหน้า “ข้าไม่ค่อยสนใจเคล็ดลับเท่าไรนัก”
เจียงหลีพยักหน้า และไม่ฝืนบังคับ นางก็เพิ่งรู้ระหว่างทาง เจียงเฮ่าไม่ได้ไปที่สระน้ำเบิกเนตรญาณ เพราะว่าเขาไม่สนใจเคล็ดลับวิชา
“อาหลีเรียนคนเดียวก็พอแล้ว” เจียงเฮ่ายกมือขึ้นลูบศีรษะของเจียงหลีเบาๆ เหมือนครั้งยังเป็นเด็ก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูน้องสาว
…
ผ่านไปอีกหลายวัน เจียงหลีและคนอื่นๆ ก็มาถึงศูนย์กลางจนได้
ที่แห่งนี้ มีเพียงสุสานแห่งเดียว แต่กลับมีบรรยากาศที่มีพลังดุดันเป็นอย่างยิ่ง และก็น่ากลัวมาก...