ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 165 ทะลวงเข้าไปในสุสานแล้วหรือ
“สุราหนึ่งไห แลกกับชื่อของเจ้า”
เจียงหลีถือไหสุราไว้ในมือ แล้วมองชายหนุ่มรูปงามด้วยแววตาขบขัน…ไม่ ควรจะเรียกว่า…วิญญาณร้ายรูปงามมากกว่า
ความเจ้าเล่ห์ในแววตาของนาง ไม่รอดพ้นสายตาของเว่ยจี๋
แต่เขาก็ยังคงไม่สามารถยับยั้งชั่งใจในความยั่วยวนของสุราได้ หลังจากพยายามดิ้นรนครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยปากบอกชื่อตนเอง “เว่ยจี๋”
“เว่ยจี๋หรือ” เจียงหลีพึมพำในลำคอ และนางก็รักษาสัญญาโดยการโยนเหล้าให้คนที่อยู่บนต้นไม้หนึ่งไห
ชื่อนี้ไม่เป็นที่รู้จักมานานแล้วและไม่มีใครเคยเรียกชื่อนี้
เมื่อได้ยินเจียงหลีเอ่ยเรียกชื่อนี้ เว่ยจี๋ก็แทบจะลืมรับไหเหล้าไปเสียแล้ว
โชคดีที่เขาตอบสนองในนาทีสุดท้ายและเก็บไหเหล้าที่เกือบจะหกและถือไว้ในฝ่ามือของเขา
เมื่อสุราชั้นเลิศได้มาอยู่ในมือ ก็ยิ่งหอมหวนชวนมัวเมามากยิ่งขึ้น
เว่ยจี๋สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วอดชิมหนึ่งอึกมิได้
เมื่อสุราชั้นเลิศรสนุ่มหอมละมุนไหลลงคอ เมื่อกลืนเข้าไปก็น้ำลายสอ รสชาติที่คั่งค้างในโพรงปากไร้ที่สิ้นสุด เว่ยจี๋ลืมตา ดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น และเขาก็อดไม่ ได้ที่จะชมเชย “ช่างเป็นสุราชั้นเลิศจริงๆ!”
เจียงหลีนั่งลงกับพื้นเอนหลังพิงก้อนหินสีขาว แล้วก็ส่งเหล้าเข้าปากเช่นกัน เป็นสุราชั้นเลิศจริงๆ ด้วย เป็นสุราชั้นเลิศสำหรับพวกคอสุรา
“สุรานี้มีชื่อเรียกว่าอะไรรึ” เว่ยจี๋หลงรักสุราในมือจนวางไม่ลงแล้วถามด้วยความสงสัย
เขายังอยากดื่มต่อ แต่ก็กลัวว่าหลังจากดื่มมันหมดแล้ว วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล อีกหน่อยคงไม่เจอสุราชั้นเลิศเช่นนี้อีก
เมื่อได้ยินคำถามของเว่ยจี๋ เจียงหลีก็ยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “หนึ่งคำถาม แลกกับอีกหนึ่งคำถาม”
สีหน้ายียวนของเว่ยจี๋พลันนิ่งค้าง เหลือบสายตามองแม่นางน้อยจอมเจ้าเล่ห์ด้วยดวงตาเป็นประกาย จนสุดท้ายเขาก็ยอมพยักหน้าตกลง “ได้”
เมื่อเห็นเขาสัญญาแล้ว นางก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะลอบพูดในใจ วิญญาณร้ายรูปงามนี้ เห็นแก่สุราชั้นเลิศของศิษย์พี่ใหญ่ จะตอบคำถามข้าคำสองคำ แต่ถ้าเขาพึงพอใจในความอยากรู้อยา ากเห็นของเขาแล้ว ก็คงหลอกล่อยากแล้ว ข้าต้องคิดคำถามให้ชัดเจนก่อนพูด ต้องขอบใจศิษย์พี่ใหญ่ที่มอบสุรานี้ให้ข้า และยิ่งโชคดีที่วิญญาณร้ายตนนี้ชื่นชอบการดื่มสุรา
ก่อนหน้านี้ เจียงหลีเห็นเว่ยจี๋ร่ำสุราอยู่บนต้นไม้ นางก็เดาว่าเขาน่าจะเป็นพวกขี้เมา ดังนั้นนางจึงได้หยิบเอาสุราออกมาหยั่งเชิงเขา
คิดไม่ถึงว่านางจะสามารถตกเบ็ดได้นางเงือกจริงๆ
“คิดดีแล้วหรือยัง”
เมื่อเห็นว่าเจียงหลีเงียบไป เว่ยจี๋ก็เป็นฝ่ายเร่งเร้าเสียเอง
สุราชั้นเลิศต้องมีชื่อเรียกที่ไพเราะ สุราชั้นเลิศเช่นนี้ เขาจึงใจร้อนอยากรู้ชื่อของมันเป็นธรรมดา
เมื่อถูกเขาเร่งรัด เจียงหลีจึงพยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ตกลงที่นี่คือที่ไหนกันแน่”
เว่ยจี๋ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ใบหน้ายิ่งดูงดงามยิ่งขึ้น “ที่นี่ก็คือดินแดนผนึกมารอย่างไรเล่า”
เมื่อถูกหลอก เจียงหลีก็ไม่โกรธ เพียงแต่แสยะยิ้มเย็นแล้วไม่สนใจเขาอีก จากนั้นนางจึงยกสุราขึ้นดื่มเองลำพัง นางไม่เหมือนเว่ยจี๋ที่มีเพียงสุราไหเดียว นอกจากนางจะมีสุราหนึ่ง งไหในมือนี้แล้ว ในกระเป๋าวิเศษของนางยังมีอีกไม่น้อย
เว่ยจี๋เห็นนางเงียบไปจึงหน้านิ่งขรึมลงอย่าอดไม่ได้ “เจ้าหลอกข้า!”
เจียงหลีหัวเราะเยาะแล้วหันไปมองใบหน้ารูปงามของเขาที่มืดครึ้มลง “ตกลงเจ้าหลอกข้า หรือข้าหลอกเจ้ากันแน่”
“ข้าจะหลอกเจ้าได้อย่างไร เจ้าถามข้าว่าที่นี่คือที่ไหน ข้าก็ตอบไปแล้วไงว่าคือดินแดนผนึกมาร ข้าตอบผิดตรงไหน” เว่ยจี๋พูดอย่างมั่นใจเต็มปาก
เจียงหลียิ่งหัวเราะเยาะดังขึ้น “เจ้าก็รู้ดีแก่ใจนี่ ว่าข้าไม่ได้ถามถึงสิ่งนี้”
“นั่นก็เป็นเพราะเจ้าไม่ถามให้ชัดเจนเองนี่นา แล้วจะเอาอะไรกับข้าอีก” เว่ยจี๋ยังคงยืนกรานมั่นใจ
เจียงหลีกระตุกคิ้วเล็กน้อย จู่ๆ นางก็ยิ้มยั่วยวนแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคงอยากรู้ชื่อสุรานี่ใช่ไหม”
“ถูกต้อง!” เว่ยจี๋ยอมรับ
จากนั้นถ้อยคำของเจียงหลีก็ทำให้เขาเกือบตกลงมาจากต้นไม้
“ลืมแล้ว”
เจียงหลีพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่สะทกสะท้านใจเลยสักนิด
“เจ้าหลอกข้า!” เว่ยจี๋เผยสีหน้าดุร้าย
เจียงหลีถอนสายตากลับมายิ้มให้แก่เขา รอยยิ้มนี้ยั่วยวนมิมีที่เปรียบดั่งดอกไม้บานสะพรั่ง “อยากให้ข้าจำขึ้นมาได้นั้นง่ายมาก”
“…”
เว่ยจี๋ตกตะลึงให้กับรอยยิ้มนี้ ใบหน้ารูปงามของเจียงหลีทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวในใจ แต่ทว่า เขาก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะเจียงหลีกำลังใช้วาจาควบคุมอยู่เหนือเขา
หากอยากรู้ชื่อสุราชนิดนี้ ก็ต้องยินยอมให้ความร่วมมือกับสตรีจอมเจ้าเล่ห์คนนี้ และตอบคำถามเป็นที่พอใจให้นาง
แต่ทว่าเว่ยจี๋ก็เป็นเจ้าลาแสนซื่อบื้อตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว
บางคนตั้งความหวังให้เขาเป็นแบบนั้น แต่เขากลับเป็นแบบนี้ อยากให้เขาไปทิศตะวันออก แต่เขากลับเลือกเดินไปทางทิศตะวันตก แม้ขณะนี้เขาจะรู้สึกราวกับโดนแมวข่วนหัวใจ อยากรู้ชื่อสุ รานี้ เขาก็ไม่ยอมประนีประนอมเจียงหลีแล้วเช่นกัน
“หึ หากรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วจะมีความหมายอะไร ถึงอย่างไรเจ้าก็ออกไปไม่ได้อยู่แล้ว เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” เว่ยจี๋หัวเราะเย็นชา
ดวงตาหงส์คู่คมหรี่ลงจ้องเจียงหลี ในม่านตาเต็มไปด้วยแววล้อเล่น
“ข้ารู้” เจียงหลีพยักหน้า
สีหน้ายังคงเรียบนิ่งเป็นปกติ
“เจ้ารู้หรือ” เว่ยจี๋ยิ้มเย็นเยียบ
ไร้สาระ!
ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สามารถออกไปได้ นางจะนั่งที่นี่อย่างสง่างามสบายใจ และประลองปัญญากับวิญญาณชั่วร้ายที่ไม่รู้ว่าอายุกี่ปีอย่างนั้นหรือ
เจียงหลียกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง สุราที่เอ่อล้นล้นไหลลงมาที่มุมริมฝีปากของนาง และนางก็ยกมือขึ้นโดยปล่อยให้แขนเสื้อดูดซับน้ำจัณฑ์
ฉากนี้ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบร่ำสุราอย่างเว่ยจี๋รู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก จนอยากจะบีบคอเจียงหลีให้ตายเพื่อฉกฉวยสุราในมือของนาง แต่ก็เกรงว่าจะโหดร้ายเกินไป
โชคดีที่เขายังพอมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง
เขากลัวว่าตนเองจะวู่วามลงมือกะทันหัน แล้วผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้จะปาไหเหล้าแตกไปเสียก่อนแน่
“ในเมื่อรู้แล้ว จะคิดถึงเรื่องไร้สาระพวกนั้นทำไม อยู่ที่นี่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้า พูดคุยกับข้าก็ดีเหมือนกัน” เว่ยจี๋ยังคงจับจ้องไหเหล้าในมือของเจียงหลีอยู่ตลอดเวลา ในขณะที พูดด้วยน้ำเสียงเจือความเย็นชา
“ไม่ดี”
เจียงหลีส่ายหน้า
นางตอบโดยไม่ลังเลสักนิด จึงทำให้เว่ยจี๋มีสีหน้านิ่งค้าง แล้วมองนางด้วยสายตาแปลกๆ “ข้างนอกมีดีอะไร เต็มไปด้วยภัยอันตรายทุกหย่อมหญ้า มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่พยายามทำให้เจ้าอยู ท่ามกลางความเป็นความตาย และความทุกข์ยากลำบาก”
“ก็ใช่น่ะสิ” เจียงหลีพยักหน้า เห็นด้วยกับถ้อยคำของเขา “แต่ทว่า ข้างนอกก็ยังมีคนรอข้าอยู่ ข้าจำเป็นต้องกลับไป แล้วมีหน้าที่ที่ข้าต้องรับผิดชอบ”
“เหอะ” เว่ยจี๋สบถเสียงเย็นอย่างไม่พอใจ เขาเห็นคำพูดที่ฟังดูสูงส่งและน่าเกรงขามเช่นนั้นมามากมายแล้ว
“ก่อนหน้านี้เจ้ายังชมว่าข้ารูปงามอยู่เลย อยู่ที่แห่งนี้ มีคนงามมีสุราชั้นเลิศ แล้วยังไม่มีคนไม่มีมารมาคอยก่อกวนพวกเรา ไม่มีใครทำร้ายเจ้า ที่นี่ราวกับสวรรค์ ทำไมเจ้าถึงไม่อยากอ อยู่ล่ะ” เว่ยจี๋ยังคงชักชวนต่อไป
เจียงหลีหันกลับไปมองเขา ทันใดนั้นนางก็เอ่ยถาม “ข้าเห็นว่าเจ้าดูเป็นคนรักอิสระ แต่ทำไมถึงได้มีกิเลสในใจเล่า ทั้งยังมาอยู่ที่แห่งนี้อีก”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยจี๋ก็พลันหายไปหมดสิ้น น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเหลือคนา “นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
เจียงหลีเบะปากบ่นพึมพำ “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ให้ข้าร่วมดื่มเหล้าและสนทนา”
เว่ยจี๋หันไปมองนางดวงตาเป็นประกาย จู่ๆ เขาก็แสยะยิ้ม “ที่นี่ก็มีคนมีชีวิตมาน้อยมาก ข้าอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่มานานแค่ไหนแล้วข้าเห็นว่าเจ้าสวยดี มิส สู้อยู่ที่นี่เพื่อเป็นภรรยาของข้า”
ซวยแล้ว
เจียงหลีเบิกตาโตด้วยความตระหนกตกใจ
จากนั้นก็มีพลังแปลกประหลาดดึงดูดเข้ามา ในระหว่างที่นางกำลังหายใจอยู่ นางก็ถูกดึงเข้าไปในสุสานเดียวดายนั่นเสียแล้ว…