ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 167 ติดอยู่ในสุสาน
เว่ยจี๋พิงหลังกับกำแพงเย็นเฉียบของสุสาน สีหน้าขาวซีดและดูย่ำแย่ แล้วมองหลีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ราวกับว่าตอนนี้เจียงหลีได้ทำสิ่งที่เขายกโทษให้นางไม่ได้
ปฏิกิริยาของเขาส่งผลให้เจียงหลีหัวเราะคิกคัก นางหันกลับมา เดินไปที่เตียงหิน และนั่งลงบนเตียงด้วยท่าทางเกียจคร้าน เท้าข้อศอกกับร่างของนาง และขาเรียวของนางก็เรียวยาวราวกับงูก็มิปาน
ส่วนโค้งเว้าที่สมบูรณ์แบบบนร่างกายของนาง ทุกตารางนิ้วเผยให้เห็นสิ่งล่อตาล่อใจ ซึ่งทำให้ผู้คนสูญเสียสติไปทีละนิดๆ ได้
นี่ช่างเป็นฉากที่ล่อใจมาก แต่ในสายตาของเว่ยจี๋ มันกลับทำให้เขาคลื่นไส้และขยะแขยง
เจียงหลีมีท่าทางอ้อยอิ่ง ดวงตาซ่อนแววเจ้าชู้ และใบหน้างดงามมีเสน่ห์ยั่วยวน ช่างดูประณีตดังภาพวาด
ทุกส่วนของร่างกายราวกับรังสรรค์มาจากสวรรค์ชั้นฟ้ามาอย่างดีที่สุด
ความงามของเจียงหลี เต็มไปด้วยคำว่า ไร้ที่ติ ภายใต้ผิวที่แกะสลักอย่างสวยงามมีกระดูกที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติซ่อนอยู่
“เจ้ามัวยืนอยู่ตรงนั้นทำไม ไม่อยากเป็นสามีภรรยากับข้าแล้วหรือ” เจียงหลีพูดอย่างเกียจคร้านด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของนางเต็มไปด้วยแววหยอกล้อ
ดวงตาของเว่ยจี๋พลันมืดหม่น
ราวกับว่าเขาพยายามควบคุมจิตสังหารของตัวเองอยู่ และไม่อยากหลงกลของเจียงหลี
ใช่ นี่มันคือเล่ห์กล!
เว่ยจี๋มิใช่คนโง่เง่าเต่าตุ่น เขารู้ถึงความฉลาดและเจ้าเล่ห์ของเจียงหลีมาตั้งแต่ต้น ทั้งสองต่างหยั่งเชิงและชิงไหวชิงพริบกัน นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีเช่นกัน
ดังนั้น ในเวลานี้ เขายังรู้ด้วยว่าสิ่งที่เจียงหลีพูดและทุกอย่างที่นางทำคือการยั่วยุเขา
“เหอะ!”
เว่ยจี๋สบถเสียงเย็น แล้วเงาร่างก็ค่อยๆ หายเข้าไปในมุมกำแพง
ไปมาปุบปับ ทั้งยังไม่ลืมหอบเอาไหสุราที่เขาแย่งมาไปพร้อมกันด้วย
เว่ยจี๋ที่เพิ่งจากไป จู่ๆ ก็ชะงักค้าง ก่อนจะกัดฟันก่นด่า “ให้ตายสิ! ข้ายังไม่ทันทราบชื่อสุรานี่เลย”
ในสุสาน เว่ยจี๋ที่เพิ่งหายตัวไป จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและถามด้วยใบหน้าที่เย็นชาว่า “แล้วชื่อล่ะ”
เจียงหลียังคงสงวนกิริยาท่าทางมีเสน่ห์น่าหลงใหลนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางก็หัวเราะยั่วยวน “เจียงหลี”
“ใครถามว่าเจ้าชื่ออะไร ข้าหมายถึงชื่อของมันต่างหาก” สายตาเว่ยจี๋เย็นชายิ่งกว่าเดิม เขามองเจียงหลีด้วยสายตาเหยียดหยัน แล้วยกไหเหล้าในมือขึ้นมา
ดวงตาของเจียงหลีเต็มไปด้วยความขี้เล่น คราวนี้ นางไม่ได้ผิดสัญญาอีกต่อไปและพูดชื่อสุรานั้นอย่างแผ่วเบา “อวี้ลู่เนี่ยง”
“อวี้ลู่เนี่ยงหรือ” เว่ยจี๋ท่องพึมพำชื่อสุรานั้นไม่หยุด จากนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตาเจียงหลี
หลังจากเขาจากไป เจียงหลีก็เก็บสีหน้าท่าทางยั่วยวน แล้วลุกขึ้นจากเตียงนั่งขัดสมาธิ เขาเกลียดผู้หญิงที่เข้าหาเขา… ดวงตาเจียงหลีประกายวูบไหว นางได้เบาะแสจากการกลับไปนึกถึงตอนที่กำลังหยั่งเชิงเว่ยจี๋มาเมื่อสักครู่นี้อย่างละเอียด
ขณะนี้ เจียงหลีมั่นใจว่าเว่ยจี๋เกลียดผู้หญิงเจ้าชู้ที่เข้ามายั่วยวนเขา แต่ทว่า ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิเลสของเขาหรือไม่
“ความคลั่งรักของเว่ยจี๋ที่มีต่อน้ำเมา ความเกลียดชังผู้หญิง…” เจียงหลีขมวดคิ้ว “ไม่ถูกต้อง เขาไม่ได้เกลียดผู้หญิง แต่รู้สึกขยะแขยงผู้หญิงที่เข้ามายั่วเขาก่อนต่างหาก”
หลังจากครุ่นคิดพิจารณาอยู่นาน เจียงหลีก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
สุดท้ายนางก็ได้แต่ลูบหน้าลูบตา แล้ววางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน “เบาะแสน้อยมาก ไม่สามารถวิเคราะห์ได้เลย ได้แต่รอให้เขาออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง แล้วค่อยคิดหนทางหาเบาะแส”
ถึงอย่างไร เว่ยจี๋ต้องไม่พูดตรงๆ แน่นอน
…
เจียงหลีต้องการรอให้เว่ยจี๋ปรากฏขึ้นอีกครั้งและทดสอบต่อไปว่ากิเลสของเขาคืออะไร
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เว่ยจี๋ก็หายตัวไปราวกับไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเจียงหลีอีกเลย ไม่ว่าเจียงหลีจะกระตุ้นแค่ไหนก็ตาม เขาก็ไม่มาปรากฏตัวอีก
ช่วยไม่ได้ เจียงหลีจึงทำได้เพียงฝึกฝนไปพลาง เฝ้ารอไปพลาง
โชคดีที่เสิ่นฉงและคุนอู๋ได้ให้ตำรากับนาง และเนื้อหาในนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องที่นางไม่เคยเรียน ช่วงเวลานี้ นางกลับเป็นว่ามีสมาธิสงบนิ่งลง และศึกษาการใช้ศาสตร์ลับสองประเภทใหญ่ๆ ของฮวงเสิน
พูดง่ายๆ คือ ศาสตร์ลับประเภทแรกของฮวงเสิน น่าจะใช้กับตัวเอง ส่วนประเภทที่สองใช้ผ่านสื่อกลาง โดยการนำเอาพลังแห่งศาสตร์ลับประเภทแรกแนบติดบนสื่อกลาง เพื่อไม่ให้คนเขาใจในศาสตร์ลับก็สามารถใช้ได้
แล้วสื่อกลางที่ว่ากลับมีเงื่อนไขตามแต่ละประเภท และต่างก็มีส่วนที่ไม่เหมือนกัน
กล่าวโดยสรุป ยิ่งศึกษาอย่างลึกซึ้ง เจียงหลียิ่งรู้สึกว่าศาสตร์ลับเปรียบเสมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่หยั่งรู้ไม่ได้และไร้ขอบเขต
พอนานๆ เข้า เมื่อนางถูกศาสตร์ลึกลับนี้ดึงดูดความสนใจ นางก็ลืมเว่ยจี๋ไปเสียสนิท
เมื่อศึกษาจนเหนื่อยล้า นางก็หันมาฝึกพลังวิญญาณและพลังจิตต่อ
นางอยากเล่นหยอกล้อกับหลิวหลี แต่นางไม่แน่ในว่าเว่ยจี๋จะแอบจับตามองนางอยู่หรือเปล่า ดังนั้นนางจึงไม่อยากเปิดเผยหลิวหลี และเก็บมันไว้ในกระเป๋าวิเศษตลอดเวลา
โชคดีที่หลังจากหลิวหลีหลับลึกไปเมื่อคราวก่อนมันก็ไม่ตื่นอีกเลย คราวนี้มันนอนหลับนานมาก ดูเหมือนร่างกายของมันจะค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง แสงเปล่งประกายระยิบระยับที่ปกคลุมขนปุกปุยของมันยังคนอยู่เช่นนั้นไม่สลายไปไหน
หลังจากเจ้าตื่นขึ้นมา เจ้าจะเก่งกาจมากกว่าเดิมหรือไม่ เจียงหลีแอบพูดกับเจ้าเปี๊ยกที่หลับสนิทในกระเป๋าวิเศษ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว
เป็นเวลากว่าหนึ่งปีครึ่งแล้วที่เจียงหลีและคนอื่นๆ ได้เข้าสู่ดินแดนผนึกมาร และเหลือเวลาไม่ถึงสามเดือนก่อนถึงเส้นตายสำหรับการออกจากดินแดนผนึกมารแห่งนี้
แต่เจียงหลียังคงหมกมุ่นอยู่กับฝึกของนางโดยไม่รีบร้อน
เว่ยจี๋ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเฝ้าดูเจียงหลีอยู่ตลอดเวลา เดิมทีคิดว่าหลังจากการปิดผนึกครั้งแรก นางจะวิตกกังวล โกรธ และถึงกับบ้าคลั่ง แต่กลับไม่คิดว่ายิ่งนานวันเข้า นางกลับยิ่งสงบเสงี่ยม สุสานปิดตายแห่งนี้ กลับกลายเป็นสนามเก็บตัวฝึกฝนที่ดีที่สุดสำหรับนาง
เว่ยจี๋ขมวดคิ้ว ปฏิกิริยาตอบกลับของเจียงหลีเหนือความคาดหมายของเขาไปมากโข
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้านางเช่นกัน เขาต้องการดูว่าเจียงหลีจะสงบนิ่งเหมือนปกติอย่างที่เขาแสดงให้เห็นในตอนนี้หรือไม่
…
เวลาก็ได้ผ่านพ้นไปกว่าสองเดือนครึ่ง
เหลือเพียงสิบวันสุดท้าย อย่างที่เหล่าวิญญาณร้ายได้กล่าวไว้ว่าไม่สามารถทำลายกิเลสได้ พวกเขาที่มาฝึกประสบการณ์เหล่านี้จะต้องถูกขังอยู่ในดินแดนผนึกมารตลอดไป
ทำลายได้เมื่อไหร่ ก็ออกไปได้เมื่อนั้น
แต่ทว่า วิญญาณชั่วร้ายจะให้โอกาสพวกเขาได้ทำลายกิเลสหรือไม่ นั่นก็ไม่แน่นอนเสมอไป
เจียงเฮ่านั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นที่ตรงข้ามกับหลุมฝังศพเดียวดาย แต่เหนือของหลุมศพนั้นมีคนงามไม่มีใครเทียบอยู่
นางมีรูปร่างเพรียวระหงส์ และท่าทางมีเสน่ห์ยั่วยวน
แต่เจียงเฮ่าไม่แม้แต่ชายตามอง ราวกับนางไร้ตัวตนก็มิปาน
แม่นางผู้นั้นก็หมดความอดทนเช่นกัน จากนั้นจึงเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เจียงเฮ่า เจ้าจะมองข้ามข้าเช่นนี้อยู่ไย ข้ากับเจ้าอยู่ด้วยกันนานขนาดนี้ เจ้าไม่หวั่นไหวกับข้าสักนิดเลยหรือ”
เจียงเฮ่ามองนางด้วยสายตานิ่งสงบ “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสชี้แนะข้าในระยะฝึกฝนช่วงนี้ แต่ทว่า ต่อให้ผู้อาวุโสสวยสดงดงามกว่านี้ ก็มิอาจเกิดคลื่นในใจของข้าได้แม้สักกระผีก”
“เพราะคนในใจเจ้าคนนั้นหรือ” หญิงสาวหัวเราะประชด
เจียงเฮ่าเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใด
หญิงสาวยังกล่าวอีกว่า “พวกผู้ชายอย่างเจ้า ต่างชอบคนใหม่หน่ายคนเก่ามิใช่หรือ ไม่เปลี่ยนใจหน่อยหรือ เจอโฉมงาม เจ้าก็จะลืมแค่คำสัญญาที่ให้ไว้และทรยศต่อความรักของเจ้า”
เจียงเฮ่ามองนางเงียบนิ่ง แล้วค่อยๆ พูดกับนาง “ข้ายอมรับ ว่าบนโลกนี้มีคนแบบที่ผู้อาวุโสกล่าวเอาไว้ แต่เป็นธรรมดาที่โลกมีขาวก็ต้องมีดำ มีกลางวันก็ต้องมีกลางคืน มีสุริยันก็ต้องมีจันทรา หยินหยางล้วนสัมพันธ์กัน”