ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 169 นี่ก็เรียกว่าวิชาปลุกเสกหุ่นหรือ
ดูเหมือนกงเสวี่ยฮวาจะตกใจระดับหนึ่งแสนสองหมื่น แล้วมองเจียงเฮ่าด้วยสีหน้าซีดเผือด “เจ้าๆๆ…ข้าๆๆ…เจ้ากอดข้าทำไม!”
เจียงเฮ่ายิ้มเยาะ แล้วมองเขาด้วยความเหยียดหยาม “ทำไมเจ้าไม่ถามตัวเองเล่า ว่าทำไมถึงตกมาจากฟ้าแล้วเข้าหาอ้อมกอดข้า”
เหอะ!
กงเสวี่ยฮวาหน้าบูดหน้าบึ้งราวกับคนท้องผูก ทำไมไม่ร่วงใส่อ้อมกอดสาวงามกันนะ ทำไมถึงต้องร่วงในอ้อมกอดชายหนุ่มด้วย หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป นายน้อยแห่งวังเทียนอู่กงอก กสามศอกอย่างข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เมื่อคิดถึงผลลัพธ์อันน่าสะพรึงกลัวที่ตามมา มันอาจกลายเป็นประวัติศาสตร์อันมืดมนของเขา ทันใดนั้นกงเสวี่ยฮวาก็ตีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยเตือนเจียงเฮ่า “เรื่องเมื่อครู่นี้ เจ้าห้าม มแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด! มิฉะนั้น…” เขาบดกราม แล้วข่มขู่ด้วยท่าทางดุร้าย
แต่เจียงเฮ่ากลับหันหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนปากหอยปากปูเหมือนใครบางคน”
กงเสวี่ยฮวานิ่งค้างกะพริบตาปริบๆ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคำพูดของเจียงเฮ่านั้นมีอะไรแอบแฝง แต่ไม่รอให้เขาได้เอ่ยถามต่อไป ก็มีอีกหลายคนที่มาปรากฏกายข้างๆ ทั้งสอง ที่สำคัญ ล้ วนแล้วแต่เป็นคนกันเองทั้งนั้น
ไหวปี้ พระมหาอินฮู ทั้งยังมีคนของตำหนักหลีหั่วที่กงเสวี่ยฮวาคิดถึงอยู่ถึงทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกคนต่างมาปรากฏตัวที่นี่ ดูเหมือนจะถึงเวลาที่พวกเขาต้องออกไปแล้ว
“เจียงหลีล่ะ” กงเสวี่ยฮวากะพริบตา เพราะไร้เงาเจียงหลีท่ามกลางกลุ่มคน
เจียงเฮ่าก็ขมวดคิ้วมุ่น ตามหาเจียงหลีไปทั่วทุกหนแห่ง แต่ก็หาไปไม่พบ
“เจียงเฮ่า แล้วเจียงหลีล่ะ” ฉินเทียนอีที่เพลิงสีแดงลุกโชนทั้งร่างก็ไม่พบร่องรอยของเจียงหลีเช่นกัน และก้าวเข้ามาหาเจียงเฮ่าอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ไป๋หลี่เฟิ่ง หันเหยากวง ฉู่เฟยเยียนและศิษย์ทั้งสามจากฮวงเสิน ต่างก็มารวมตัวและปรากฏตัวที่แห่งนี้เช่นกัน
ไหวปี้ก็ไม่เห็นเจียงหลีเหมือนกัน แล้วก็รีบพาคนของวังเวิ่นฉิงเดินเข้ามารวมกลุ่ม
เมื่อเผชิญกับสายตาที่เป็นกังวลของผู้คนมากมาย เจียงเฮ่าก็ส่ายหน้าด้วยความตึงเครียด เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจียงหลีอยู่ที่ไหน ปฏิกิริยาของเขาเช่นนี้ ทำให้ทุกคนเป็นห่วงว่า าเจียงหลีไปอยู่ที่ไหน และทุกคนต่างก็มีสีหน้าย่ำแย่ตามกัน
“เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ ตอนที่อยู่ในอาณาเขตจื๋อจั้ง ตอนที่พวกเจ้าตำหนักหลีหั่วเห็นแก่ตัวแอบออกไปก่อน ทำไมถึงไม่เคยคิดถึงเจียงหลีบ้าง” กงเสวี่ยฮวาโมโหเลือดขึ้นหน้า แล้วสุ มไฟโกรธไปที่ฉินเทียนอีโดยตรง
แม้เขาไม่รู้ว่าเจียงหลีกับฉินเทียนอีมีความสัมพันธ์อันใดกัน แต่แรกเริ่มเดิมที เขาก็มองออกตั้งแต่แรกว่าความรู้สึกที่ฉินเทียนอีมีต่อเจียงหลีนั้นไม่ธรรมดา
“ข้า…” ฉินเทียนอีไร้คำพูดแก้ตัว
ในเวลานี้ เขาก็ร้อนรนกลัวว่าเจียงหลีจะได้รับอันตราย ฉะนั้นเขาจึงไม่อธิบายอะไร
กงเสวี่ยฮวายังไม่หายกรุ่นโกรธ และปราดสายตามองไปทางหลัวอวี่แห่งตำหนักหลีหั่ว แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เมื่อหลัวอวี่ได้รับสายตาที่จ้องมองมาของเขา ก็มองกลับไปโดยไม่สะทกส สะท้าน และสายตาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจเช่นกัน เขาไม่คู่ควรแก่การให้ความสนใจ
วิ้ง!
ทันใดนั้น แสงสีขาวพร่างพรายตกลงมาจากฟากฟ้าและห้อมล้อมทุกคน
“ประตูดินแดนผนึกมารเปิดออกแล้ว!” หลัวอวี่เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในส่วนลึกของแสงสีขาว แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ได้! อาหลียังไม่ออกมาเลย!” เจียงเฮ่าเป็นกังวลขึ้นมาเขาต้องการหลุดพ้นจากแสงสีขาว อย่างไรก็ตาม มีแรงดูดมหาศาลปรากฏขึ้นจากแสงสีขาว และดูดทุกคนออกไปหมดโดยไม่บอกไม่กล่าว
ทันใดนั้น แสงสีขาวก็หายไป และไม่มีใครอยู่บนพื้นสักคน
…
ผืนทะเลนอกดินแดนผนึกมาร เงียบสงบไปทั่วทั้งแผ่น
บนแนวโขดหินริมทะเลมีคนยืนอยู่ที่นั่นหลายคน พวกเขาคือคนที่มาจากกลุ่มอำนาจทั้งเจ็ดที่มารอรับลูกศิษย์ของตน
ทางด้านของฮวงเสินและศิษย์สามคนของตำหนักเย่าต่างมารอพร้อมหน้า เสื้อคลุมสีทองของทั้งสามคนดูสะดุดตามาก และสิ่งที่ทำให้ดวงตาของผู้อื่นมืดมนก็คือรัศมีของจักรพรรดิที่เปล่งประก กายออกมาจากร่างของเสินฉง
ส่วนทางด้านคนของวังเทียนอู่กง ก็ยังคงมาเท่าเดิมดั่งเช่นตอนที่มาส่งกงเสวี่ยฮวา
กลุ่มอำนาจอื่นๆ ก็เป็นประมาณนี้เหมือนกัน
เมื่อได้มายืนอยู่บนแนวโขดหิน ทุกคนก็ทักทายกันตามมารยาท แต่ก็มิได้สนทนาพาทีอะไรมากมาย
ทันใดนั้น บนทะเลที่สงบ ก็มีวังน้ำวนผุดขึ้นมา ตามด้วยลมแรงบ้าคลั่งและคลื่นขนาดมหึมา
ขณะนั้นเอง ร่างของคนจำนวนมากถูกพ่นออกมาจากส่วนลึกของกระแสน้ำวน และพวกเขาก็ตกลงบนแนวโขดหินทีละคนๆ เมื่อร่างของคนถูกพ่นออกมาจนหมด จากนั้นวังน้ำวนก็หายไปอีกครั้ง
“อ้าว แล้วคนจากป้อมปราการเฟยอวิ๋นของข้าล่ะ”
“ยังมีคนจากสำนักหลีหุนจงของข้าด้วย ทำไมไม่มีใครออกมาสักคน!”
คนสองทั้งสองครอบครัวของป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลินจงถูกเจียงหลีฆ่ากวาดล้างทั้งหมดในดินแดนผนึกมาร แน่นอนว่าตอนนี้ไม่เหลือเลยสักคน
คนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นและตำหนักหลีหุนจงต่างสบตากัน แววตาพลันเย็นเยียบและเฉียบคมดุจมีดปราดมองไปที่กลุ่มอำนาจอื่นๆ
ส่วนที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง นอกจากพวกตำหนักหลีหั่วที่หนีไปตั้งแต่แรกแล้ว กลุ่มอำนาจอื่นๆ ต่างก็เข้าร่วมด้วย เวลานี้ ใครจะพูดมากอีก
แม้กระทั่งกงเสวี่ยนฮวาก็ทำได้เพียงสบถเย้ยหยัน เดินโฉ่งฉ่างสง่าผ่าเผยกลับไปหาผู้อาวุโสของตระกูลตนเอง
ส่วนทางด้านสำนักฝัวหมัว เมื่อได้ฟังพระอินฮูอธิบายคร่าวๆ แล้ว ก็ส่งเสียงคำว่า “อิสระไร้ขอบเขต”
ด้านวังเวิ่นฉิง ไหวปี้ได้นำเรื่องที่ตนเองประสบพบเจอข้างในนั้นเล่าให้ลูกศิษย์ที่เหลือฟัง ดังนั้นผู้อาวุโสของวังเวิ่นฉิงจึงปราดตามองสำนักหลีหุนจงด้วยสายตาเฉียบคม
“ศิษย์น้องเล็กล่ะ” ทางด้านนี้ คนของฮวงเสินก็หายไปอีกคนเช่นกัน คุนอู๋เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
สีหน้าของเจียงเฮ่าดูย่ำแย่ ส่ายหน้าพร้อมพูดเรื่องที่เจียงหลีหายไปออกมา
หลังจากได้ยินดังนั้น เสิ่นฉงทั้งสามคนก็ไม่แสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด “สงสัย ศิษย์น้องคงมีโอกาสและโชคชะตาอื่นกระมัง” เสิ่นฉงเอ่ยขำ
“นั่น…” เจียงเฮ่ามองเขาอย่างเป็นกังวล
คุนอู๋เอ่ยขำ “ไม่เป็นไรหรอกน่า น้องเล็กก็แค่ต้องอยู่ในดินแดนผนึกมารต่ออีกไม่กี่ปีเอง รอครั้งหน้าเปิดขึ้นมาใหม่ นางและคนอื่นๆ ที่เข้าไปก็จะออกมาพร้อมกันอีกครั้งเองนั่น นแหละ”
“แต่ว่า…” เจียงเฮ่ายังคงไม่วางใจ
แต่ซีไหลกลับเอ่ยว่า “ไม่มีแต่แล้ว พวกเจ้าต่างทำลายกิเลสแล้วออกมาได้แล้ว นับประสาอะไรกับศิษย์น้องเล็กล่ะ”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ เจียงเฮ่าถึงได้สบายใจขึ้นมาบ้าง
“พวกเรากลับไปก่อนเถอะ” เสิ่นฉงเอ่ยยิ้ม
เมื่อรับคนกลับแล้ว ทุกคนต่างเตรียมตัวกลับเป็นธรรมดา
แต่ทว่า ยังไม่ทันที่พวกเขาจะกลับไป เสียงจากคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นก็ดังขึ้นมาเสียก่อน “ช้าก่อน ก่อนที่ทุกท่านจะหลับไป สามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่า อวิ๋นซู่และศิษย์คนอื่นๆ จาก กป้อมปราการเฟย
อวิ๋นของข้า เผชิญกับสิ่งใดกันแน่ ถึงทำให้พวกเขามิสามารถออกมาได้”
…
ในดินแดนผนึกมาร เจียงหลียังคงถูกเว่ยจี๋จงใจขังเอาไว้ในห้องสุสาน โดยไม่รู้กาลเวลาผ่านไปเท่าใด นางลืมแม้กระทั่งต้องทำลายกิเลสของเว่ยจี๋ให้สำเร็จถึงจะสามารถออกไปจากที่แห่ง นี้ได้
ที่สำคัญ เว่ยจี๋ไม่ให้โอกาสนางเลยสักครั้งตั้งแต่วันนั้นเขาก็แกล้งหายไป ไม่เห็นแม้แต่เงา ต่อให้นางส่งกระแสจิตขยายไปกว้างเพียงใด ก็ไม่มีทางทำลายกิเลสของเว่ยจี๋ได้เลย
ไม่กี่วันมานี้ เจียงหลีอ่านตำราที่เสิ่นฉงและคุนอู๋มอบให้จนรู้แจ้งทะลุปุโปร่งหมดแล้ว น่าเบื่อชำมัด นางจึงหยิบวิชาปลุกเสกหุ่นที่ได้มาจากสำนักหลีหุนจงในตอนนั้นออกมาพินิจ ดู
นางไม่ถึงกับอยากฝึกเสกหุ่นอะไรหรอก นางก็แค่เบื่อไม่มีอะไรทำเท่านั้น
อ่านอยู่หลายวัน เจียงหลีกลับรู้สึกว่า วิชาปลุกเสกหุ่นของสำนักหลีหุนจงค่อนข้างวิเศษ แต่วิธีการนั้นโหดร้ายเกินไปหน่อย
“ถ้าหุ่นเชิดพวกนี้สามารถไต่ไปถึงระดับทองคำขาวสูงสุดได้จริงๆ ก็จะสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้ไม่น้อย ต่อให้เจอศัตรูมากแค่ไหน ข้าก็ไม่กลัวว่าสองกำปั้นจะหนักกว่าสี่มือ อีกอย่าง ง ในสถานที่ที่เลวร้ายมากพวกนี้ ก็สามารถให้หุ่นเชิดออกไปสำรวจได้” เจียงหลีพูดเองเออเอง
“เจ้าฝึกปลุกเสกหุ่นอย่างนั้นหรือ” จู่ๆ เสียงของเว่ยจี๋ก็ดังขึ้นมา