ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 173 การต่อสู้อันยอดเยี่ยม
เจียงหลีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
นางยังไม่ทันได้ดูถูกเว่ยจี๋ แต่กลับเว่ยจี๋กลับดูถูกนางก่อน
“ไอ้สารเลวนี่!” ชายชราร่างผอมบางยกมือเช็ดใบหน้าของเขา และเกือบจะพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อต่อสู้กับเว่ยจี๋
เจียงหลีรีบเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ข้ามีคนรักอยู่แล้ว ไม่มีทางชายตามองเขาแน่นอน”
หืม!
ชายชราร่างผอมบางและเว่ยจี๋หันขวับมองไปที่เจียงหลีพร้อมกัน
ทันใดนั้น ชายชราร่างผอมก็เหลือบมองเว่ยจี๋และพูดด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีวันที่โดนคนดูถูกเช่นนี้ได้”
เว่ยจี๋ยิ้มเย็นชา แล้วมองเจียงหลีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน “เจ้าอย่าไปฟังนาง สตรีมักจะปากอย่างใจอย่าง เมื่อครู่นี้เจ้ายังบอกว่าข้ารูปงาม อยากเป็นเมียข้าอยู่เลย”
เหอะๆ!
เป็นเมียแม่เจ้าสิ!
ถุ้ยยย!
เจียงหลีพยายามระงับอารมณ์โกรธที่อยากระเบิดออกมา อะไรก็สามารถทนได้ ถ้าเรื่องชื่อเสียงนางจะไม่ทน! นางไม่สนใจตนเองได้ แล้วจะไม่สนใจลู่เจี้ยได้หรือ
“เจ้าหลงตัวเองไปแล้วกระมัง” เจียงหลีมองเว่ยจี๋ด้วยสายตาไม่พอใจ “ไม่รู้ว่าคู่หมั้นของข้าหล่อกว่าเจ้ากี่สิบเท่า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่นี้ใครมองข้าจนน้ำลายไหลเล่า” เว่ยจี๋แสยะยิ้ม
เวรเอ๊ย!
เจียงหลีโมโหแล้ว “ใครมองเจ้าน้ำลายไหลกันฮะ!”
นางน้ำลายไหลหรือ มีซะที่ไหนฮะ!
อย่างมากที่สุด ก็แค่หลงใหลไปชั่ววูบ แต่เมื่อนางเห็นใบหน้าของลู่เจี้ย นางก็ต้องปราบปีศาจร้ายในใจทั้งหมดมิใช่หรือ
ทันใดนั้น
สายลมแห่งความชั่วร้ายก็พัดผ่านร่างของเจียงหลีไป
ผีเฒ่าร่างผอมบางมายืนอยู่ข้างกายนางแล้วเอ่ยถาม “แม่นาง อยากต่อยเขาสักหมัดใช่ไหมล่ะ”
อืม!
เจียงหลีพยักหน้าอย่างแรง
“แต่ว่า เขาจัดการยากนี่นา” ผีเฒ่าร่างผอมเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ
เจียงหลีขมวดคิ้ว เมื่อนึกขึ้นได้ แววตานางก็มองเขาอย่างครุ่นคิด “ผู้อาวุโส ท่านมีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ”
“แหะๆ” ชายชราร่างผอมบางลูบมือของเขาและยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เจ้ารู้ไหมว่ากิเลสของเขาคืออะไร” เว่ยจี๋เงยหน้าขึ้นและจิบสุราแล้วพูดเบาๆ
ทันทีที่เขาพูด ชายชราร่างบางก็กวาดสายตามองเขาอย่างชั่วร้าย
เจียงหลีมองเว่ยจี๋อย่างไม่เข้าใจ แล้วก็หันกลับไปมองผู้เฒ่าอีกครั้ง
เว่ยจี๋ไม่สนใจคำขู่ของผู้เฒ่าร่างบาง แล้วพูดต่อไปว่า “กิเลสของเขาก็คือต้องการหาคนผู้หนึ่งที่สามารถมาเป็นลูกศิษย์เพื่อเรียนวิชาของเขาภายในหนึ่งเดือน หากภายในหนึ่งเดือนนี้ไม่สามารถเรียนสำเร็จ ตาแก่นี้ก็จะฆ่าลูกศิษย์ของตัวเองให้ตายซะ”
ผู้เฒ่าร่างบางสีหน้ามืดครึ้ม เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “เว่ยจี๋ หากเจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”
เมื่อเจียงหลีได้ยินก็หายใจไม่ออก
นี่มันบ้าอะไรเนี่ย หากเรียนไม่ได้ภายในหนึ่งเดือนก็จะฆ่าทิ้งอย่างนั้นหรือ
ราวกับว่าเขารู้สึกถึงความสงสัยของเจียงหลี เว่ยจี๋ไม่สนใจการข่มขู่ของชายชราร่างผอมและพูดต่อ “เพราะตาแก่นี่ปักใจเชื่อว่า เนื่องจากเขาสามารถรู้เคล็ดลับนี้ได้ภายในหนึ่งเดือนกับหนึ่งวัน ลูกศิษย์ของเขาจึงต้องใช้เวลาไม่เกินหนึ่งเดือนเท่านั้น ถ้าทำไม่ได้ ก็จะไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกศิษย์ของเขา และเขาก็จะฆ่าตายจะได้ไม่ต้องอับอายขายขี้หน้า”
“ข้าฆ่าเจ้าก่อนก็แล้วกัน” ผู้เฒ่าร่างผอมทนไม่ไหวอีกต่อไป เงาร่างกะพริบไหวพุ่งเข้าใส่เว่ยจี๋
วิญญาณร้ายสองตนตรงหน้าเจียงหลีเริ่มต่อสู้กัน
แต่ว่า เว่ยจี๋เป็นฝ่ายรับ ส่วนผีเฒ่าร่างผอมเป็นฝ่ายโจมตี
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองคนก็สู้กันจนแยกไม่ออก เจียงหลีลอบสังเกตด้วยความตกใจ ผู้เฒ่าร่างบางคนนี้แข็งแกร่งมาก เว่ยจี๋ทำเพียงตั้งท่ารับไม่โจมตีตอบโต้ ถ้าแข่งขันกับเขาได้ พลังที่แท้จริงของเว่ยจี๋จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ”
วิญญาณชั่วร้ายที่เข้ามาในนี้มีพลังมากแค่ไหนกันนะ…
ระดับหลิงหวงหรือระดับหลิงเซิ่ง…
ตู้มมม!
บรรยากาศน่ากลัวเริ่มต้นขึ้น ความรู้สึกที่ดุร้าย ราวกับว่าเจียงหลีอยู่ท่ามกลางคมดาบนับไม่ถ้วน
เว่ยจี๋และชายชราร่างผอมแห้งก็แยกย้ายกันอยู่ห่างๆ เว่ยจี๋ยืนอยู่ในระยะไกล เขายังคงดูสงบและถือไหเหล้าขึ้นจิบอยู่หลายครั้ง
แต่ชายชราร่างผอมก็ยืดร่างกายที่อ่อนแอของเขาให้ตรง ทันใดนั้น เขาก็สามารถใช้ดาบที่ไม่มีฝักได้และทั้งตัวของเขานำพาซึ่งแสงเฉียบคม
เคร้งๆๆ
เสียงโลหะปะทะกันยังคงบาดแก้วหูของเจียงหลี
นางยกมือขึ้นปิดหูอย่างทนไม่ไหว แล้วค่อยๆ ถอยไปข้างหลัง
ยอดเยี่ยมจังเลย ดวงตาของเจียงหลีเต็มไปด้วยความตกตะลึง
อากาศโดยรอบดูเหมือนจะลดลงถึงจุดเยือกแข็งในทันที และพื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยอากาศที่เย็นเฉียบ พลังนั้นช่างน่ากลัวมาก
ต่อให้เจียงหลีอยู่ภายใต้พลังนั้น ก็มีความรู้สึกไร้พลังต้านทาน
การโจมตีอันทรงพลังเช่นนี้ ถ้าข้าสามารถเรียนรู้ได้ ข้าก็จะฆ่าผู้ที่อยู่ในระดับหลิงหวังได้ด้วยกระบวนท่าเดียว! เจียงหลีสะท้านในใจ
กระบวนท่าที่ชายชราร่างผอมใช้ ทำให้นางรู้สึกเหมือนกับพลังของฝ่ามือพลังปีศาจ
ทักษะการต่อสู้ระดับนั้น หาเจอได้แต่ขอกันไม่ได้!
ขณะนั้นเอง แววตาของเจียงหลีก็ปรากฏเปลวไฟโชติช่วง
ตู้มต้าม!
พลังที่น่าสะพรึงกลัวถูกบดขยี้ไปทางเว่ยจี๋
ในขณะนั้น แม้แต่เจียงหลีก็รู้สึกว่าเว่ยจี๋จะต้องตาย เพราะทันทีที่ผู้เฒ่าร่างผอมปล่อยกระบวนท่าขั้นตอนสุดท้าย โลกทั้งใบดูเหมือนจะกลายเป็นกระบี่คมในมือของเขา และกระบี่มนุษย์ก็รวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อฆ่าทุกสรรพสิ่ง
หนีหรือ สวรรค์และปฐพีคือคมกระบี่ จะหนีไปที่ไหนได้ สามารถหลบหนีจากโลกนี้ได้หรือ
เจียงหลีมองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าตาไม่กะพริบ แสงวิเศษส่องประกายในดวงตาของนาง
แน่นอนว่าหลังจากการระเบิดที่ทำลายสวรรค์และโลกสิ้นสุดลง ร่างของเว่ยจี๋ยังคงยืนอยู่ตรงจุดนั้นโดยไม่มีบาดแผลใดๆ
เจียงหลีตกตะลึง และได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นของชายชราร่างบางข้างหู
เว่ยจี๋กลับเอ่ยขำ “เจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่า เจ้าลืมไปแล้วหรือ เจ้ากับข้าอยู่ในดินแดนผนึกมารหลายปีแล้ว ไม่วิญญาณยุทธ์ ไม่มีพลังวิญญาณ กระบวนท่านี้ของเจ้า ต่อให้สะเทือนฟ้าดินแค่ไหน ก็ฆ่าวิญญาณร้ายอย่างข้าไม่ได้หรอก”
อย่างนี้นี่เอง เจียงหลีตระหนักในใจ
ที่แท้ ไม่ใช่เพราะกระบวนท่านี้ใช้ไม่ได้ผล แต่เป็นเพราะระหว่างวิญญาณร้ายด้วยกันไม่สามารถฆ่ากันตายได้
“แม้จะฆ่าไม่ตาย แต่เจ้าก็เจ็บปวดเหมือนกัน” ชายชราร่างบางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
แต่เว่ยจี๋กลับมีสีหน้าไม่สะทกสะท้านแล้วเอ่ยขึ้น “เจ็บหรือ ข้าชินตั้งนานแล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยสักนิด”
เจียงหลีสะท้านในใจ
ไม่รู้เพราะเหตุใด คำพูดของเว่ยจี๋มักเต็มไปด้วยความเหงาและโดดเดี่ยวทำให้ผู้คนรู้สึกสงสาร
ตอนที่เขามีชีวิตอยู่เขาผ่านอะไรมาบ้างนะ เจียงหลีถามตัวเองในใจ
แต่ทว่า นางก็ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งเกี่ยวกับคำถามนี้อีก และถามชายชราร่างผอมบางว่า “ผู้อาวุโส ท่านช่วยสอนกระบวนท่านี้ให้ข้าได้หรือไม่”
“เจ้าอยากเรียนกระบวนท่าสะเทือนฟ้าของข้าหรือ” ผู้เฒ่าร่างบางถามอย่างแปลกใจ
เว่ยจี๋มองเจียงหลีแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าดื่มสุรา ราวกับว่าทุกอย่างล้วนไม่เกี่ยวกับเขา
“อืม” เจียงหลีพยักหน้า
ชายชราร่างผอมบางยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าเพิ่งได้ยินที่ไอ้บ้านั่นพูดชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าเจ้าไม่เรียนรู้มันได้ภายในหนึ่งเดือน เจ้าก็จะตาย ที่นี่วิญญาณชั่วร้ายไม่ตาย แต่คนจะสามารถตายได้”
“ข้ารู้” เจียงหลีเอ่ยขึ้น
“แล้วเจ้ายังอยากจะเรียนอีกรึ หรือเจ้ามั่นใจว่าจะเรียนรู้ได้ภายในหนึ่งเดือน” ชายชราร่างผอมหรี่ตา
“ลองดูก็ได้ หากศึกษาไม่สำเร็จ ก็แค่ตาย ไม่นับว่าทำลายกฎเกณฑ์ของผู้อาวุโส” เจียงหลียิ้มไม่สะทกสะท้าน