ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 177 ดินแดนผนึกมารเปิดขึ้นอีกครั้ง
พลังอันน่าสะพรึงกลัวโจมตีไปที่ช่วงท้องของหุ่นกลสัตว์
เจียงหลีเห็นเพียงช่วงท้องของหุ่นกลสัตว์แตกและเกิดเสียง ร่างของมันลอยลิ่วออกไปแล้วตกกระทบพื้นอย่างแรง มีรอยขูดขีดร่องลึกบนพื้นแข็ง
ตึง ตึง ตึง ตึง…
อัศวินเกราะทองถือโอกาที่จะชนะการต่อสู้ ทิ้งเสียงก้าวขาหนักแน่นไว้บนพื้น เมื่อมันทะยานขึ้นไป สองมือชูดาบขนาดใหญ่ฟันหุ่นกลสัตว์ที่อยู่บนพื้นอย่างแม่นยำ
ตู้มต้าม!
เสียงดังสนั่น ดูเหมือนหุ่นกลสัตว์จะร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ภายใต้การสยบทุกความเคลื่อนไหวในฝุ่นคละคลุ้ง เมื่ออัศวินเกราะทองทำภารกิจสังหารเสร็จสิ้น ก็ยืนข้างๆ รอคอยเงียบๆ ๆ
สมรภูมิรบอื่นๆ ยังคงทำให้คนมองจนตาพร่า
ถึงอย่างไรก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ในใจของเจียงหลี ขณะนี้ หุ่นเชิดที่นางเห็นช่างร้ายกาจยอดเยี่ยมกว่าศพหุ่นเชิดของสำนักหลีหุนจงเป็นไหนๆ!
ไม่สิ เทียบกันไม่ติดเลยต่างหากล่ะ! เจียงหลีอทานในใจ
ขณะนั้นเอง เสียงของเว่ยจี๋ก็ค่อยๆ พูดออกมา “หุ่นเชิดกับคนนั้นไม่เหมือนกัน เพราะไม่มีเนตรญาณ และก็ไม่มีวิญญาณยุทธ์ ทั้งยังไม่มีพลังวิญญาณอีกด้วย พลังที่พวกมันดูดซับก็มาจาก ใจกลางของมัน”
เขากวักมือ อัศวินที่สำเร็จภารกิจแล้วก็รีบวิ่งมาหาคนทั้งสอง จนสุดท้ายมายืนอยู่ตรงหน้าเว่ยจี๋ คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นแสดงความเคารพ
เจียงหลีมองด้วยความตื่นตะลึงโดยไม่พูดสิ่งใด
นางเห็นแค่นิ้วเรียวยาวของเว่ยจี๋จิ้มลงไปบนร่างคล่องแคล่วสง่างามของอัศวินเกราะทอง ทันใดนั้นหน้ากากของมันก็เปิดออก เผยให้เห็นแสงกะพริบสีม่วง ราวกลับผลึกของหินแก้วใส
“หินแก่นวิญญาณ!” เจียงหลีประหลาดใจเล็กน้อย
เว่ยจี๋พยักหน้า “ใช่แล้ว มีเพียงหินแก่นวิญญาณเท่านั้นที่สามารถรองรับการทำงานของหุ่นเชิดระดับหลิงหวังได้ หินแก่นวิญญาณหนึ่งก้อนเช่นนี้ สามารถรองรับอยู่ได้นานเป็นสองเท่าของ งการต่อสู้เมื่อครู่นี้”
“…” เจียงหลีกระตุกมุมปาก แอบก่นด่าในใจ หุ่นพวกนี้กินจุมาก ข้าเลี้ยงไม่ไหวๆ
“อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงหุ่นเชิดระดับต่ำสุดเท่านั้น”
ห้ะ!
คำพูดของเว่ยจี๋ ทำให้เจียงหลีล้มเลิกความคิดที่จะเรียนวิชาปลุกเสกหุ่น “หุ่นเชิดระดับต่ำสุด ก็คือระดับหลิงหวังอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ได้กำหนดระดับขั้นของหุ่นเชิดแบบนี้หรอก” เว่ยจี๋ส่ายศีรษะ “หุ่นเชิดที่เจ้าเห็น เป็นหุ่นเชิดที่อยู่ในระดับต่ำที่สุด ส่วนหุ่นเชิดที่อยู่ในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภ ภายนอกหรือความคิดก็เหมือนคนจริงๆ อย่างไม่เป็นที่สงสัย”
เมื่อเจียงหลีได้ยินก็เบิกตาอ้าปากค้าง
“หุ่นเชิดแบบนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านพลังของพวกเขา พวกเขาสามารถเปรียบเสมือนมนุษย์ที่ดึงดูดพลังวิญญาณด้วยตัวเองและกักเก็บไว้ในคลังได้ ทั้งยังมีสติปัญญาเฉี ยบคม สามารถใช้ความคิดได้” เว่ยจี๋พูดเสียงเรียบ
“นี่มัน…”
เจียงหลีตะลึงพรึงเพริดไปเสียแล้ว
เว่ยจี๋มองนางแล้วเอ่ยแซว “ช่วงเวลานี้ที่เจ้าอยู่ในดินแดนผนึกมาร ก็เอารัดเอาเปรียบไม่น้อย เรียนรู้ทักษะการต่อสู้ตั้งมากมาย แต่ทว่าทักษะการต่อสู้พวกนี้ ไม่มีประเภทไหนที่เหมาะ ะสมกับเจ้าเลย เจ้าสามารถเลือกทักษะการต่อสู้บางประเภทที่ไม่เหมาะสมกับเจ้า โดยใช้วิธีพิเศษประทับเข้าไปในหุ่นเชิด พวกเขาสามารถควบคุมทักษะการต่อสู้ประเภทนี้ได้ แน่นอน หากเจ้าใช้จ จนชินแล้ว ก็สามารถประทับได้ พวกเขาไม่เลือกหรอก”
เหอะๆ!
ความรู้เรื่องหุ่นเชิดของเจียงหลีได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงโดยเว่ยจี๋ เวลานี้ นางก็เห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเว่ยจี๋ที่มีต่อศพหุ่นเชิดของสำนักหลีหุนจง
ศพหุ่นเชิดของสำนักหลีหุนจง ดูแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก แต่ทว่า พวกมันกลับเทียบหุ่นเชิดเหล่านี้ของเว่ยจี๋ไม่ได้สักกระผีก!
“แม้ว่าหุ่นเชิดจะไม่มีวิญญาณยุทธ์ ไม่มีพลังวิญญาณ แต่พลังความสารมารถในการป้องกันของพวกมันนั้นยอดเยี่ยมเด็ดขาดมาก หากวัสดุที่ใช้ยิ่งดี พลังการป้องกันก็จะยิ่งแข็งแกร่ง สามรถ เป็นโล่กำลังให้เจ้าในยามจำเป็น อีกอย่าง ในด้านความเร็วและพลังคนธรรมดาก็เทียบไม่ได้”
เจียงหลีฟังสิ่งที่เว่ยจี๋พูดแล้วรู้สึกคอแห้งผาก นางสนใจหุ่นเชิดมากขึ้นจริงๆ
“แล้วจะต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถปลุกเสกหุ่นระดับสูงได้” เจียงหลีมีใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน
แต่กลับแลกมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะของเว่ยจี๋ “แม้กระทั่งหุ่นเชิดระดับต่ำเจ้ายังไม่รู้ว่าต้องปลุกเสกอย่างไร เจ้าก็ริอาจจะปลุกเสกหุ่นระดับสูงแล้วหรือ”
“…” เจียงหลีอึ้งไปชั่วขณะ ไม่มีคำโต้ตอบ
“เช่นนั้น…แล้วหุ่นเชิดระดับต่ำล่ะ” เจียงหลีเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมอีกครั้งเพื่อขอเล่าเรียน
เว่ยจี๋ถือโอกาสคว้าหุ่นกลสัตว์มาหนึ่งตัว แล้วโยนใส่อ้อมแขนเจียงหลี เจียงหลีรับเอาไว้แล้วมองเขาอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก
“เจ้าต้องถอดชิ้นส่วนของหุ่นกลสัตว์เสียก่อน แล้วค่อยประกอบเข้าไปใหม่ ดูสิ ว่าจะสมบูรณ์เหมือนตอนแรกหรือไม่ หากเจ้าสามารถทำได้ ก็พิสูจน์ได้ว่าเจ้ามีพรสวรรค์ที่จะเรียนวิชาปลุก กเสกหุ่น”
ในระหว่างที่เว่ยจี๋อธิบาย อัศวินเกราะทองอีกสี่ตัวก็หยุดการต่อสู้ แล้วกลายร่างเป็นถัวสีทองห้าเม็ดเหมือนเดิม แล้วลอยกลับเข้ามาในมือของเว่ยจี๋
ส่วนเขา ดูเหมือนจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจียงหลีแล้ว ก็อ้าปากหาวแล้วพลิกตัวลงไปนอนเหมือนเดิม
“…”
เสียงกรนของเขา ทำให้เจียงหลีไม่มีสิ่งใดจะเอื้อนเอ่ย จึงพึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้ “ตัวก็เป็นวิญญาณชั่วร้ายอยู่แล้วยังจะทำนิสัยชั่วร้ายตามไปด้วย! นี่ทั้งเป็นขี้เมา ทั้งยังนอนก กรน ช่างเป็นวิญญาณร้ายที่ยั่วโมโหคนได้ดีจริงๆ นี่มันถ่วงเวลาคนเป็นชัดๆ”
บ่นไปก็เท่านั้น เจียงหลีก็ยังคงเชื่อฟัง โดยการหยิบหุ่นกลสัตว์ขึ้นมาแล้วกลับไปที่ห้องของตนเอง จากนั้นจึงเริ่มศึกษาอย่างละเอียด
ใช้เวลากว่าครึ่งเดือนเต็ม เจียงหลีจึงทำให้ได้มาตรฐานที่เว่ยจี๋เรียกร้อง
แล้วก็เริ่มตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เจียงหลีมุ่งมั่นตั้งใจฝึกวิชาปลุกเสกหุ่นภายใต้การชี้นำของเว่ยจี๋ คัมภีร์วิชาปลุกเสกหุ่นของสำนักหลีหุนจงเล่มนั้นถูกเว่ยจี๋ขว้างติดกำแพง ไปแล้ว และก็ไม่มีใครถามถึงอีก
วันเวลาหมุนเวียน ก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
เจียงหลีเรียนวิชาปลุกเสกหุ่นกับเว่ยจี๋ในดินแดนผนึกมาร โดยไม่รู้วันเวลาเลยสักนิด
ในขณะที่ข้างนอกนั้น ก็มาถึงวันที่ต้องเปิดดินแดนผนึกมารแล้ว
คราวนี้ ก็ยังมีกลุ่มอำนาจอีกเจ็ดกลุ่มที่ถึงคราวเข้ามา ซึ่งมีกลุ่มอำนาจระดับสูงสามสำนัก และกลุ่มอำนาจระดับกลางสี่สำนักเช่นเดิม
กลุ่มอำนาจระดับสูงที่มาครั้งนี้ได้แก่ วังต้าเหยี่ยน สำนักจินกวงเหมิน สำนักจื่อเซียวไจ ส่วนกลุ่มอำนาจระดับกลาง มาเพียงสถาบันอู๋ซั่งเท่านั้นที่มีชื่ออยู่ในลำดับต้นๆ อีกสามส สำนักที่เหลือเป็นกลุ่มอำนาจระดับกลางที่มีความสามารถค่อนไปทางลำดับท้ายๆ
แต่ว่าไม่รู้เพราะเหตุใด วันเปิดดินแดนผนึกมาร แนวโขดหินด้านนอกทางเข้าก็ดูคึกคักมีชีวิตชีวามาก นอกจากกลุ่มอำนาจทั้งเจ็ดที่มาแล้ว มีกลุ่มอำนาจอื่นติดตามมาด้วยเช่นกัน
บางคนตามีแววเฉียบคมจึงรู้จักคนของวังเทียนอู่กง ตำหนักหลีหั่ว ป้อมปราการเฟยอวิ๋น และยังมีคนของฮวงเสินอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้น พวกเขามาได้อย่างไร ครั้งก่อนก็ถึงตาพวกเขาไปแล้วมิใช่หรือ” หนึ่งในกลุ่มอำนาจทั้งเจ็ดที่ต้องเตรียมตัวเข้าไปเอ่ยวิจารณ์เสียงเบา
“ข้าก็ไม่แน่ชัดเท่าไหร่หรอกนะ! แต่เขาเล่ากันว่าคราวที่แล้วมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในดินแดนผนึกมาร และมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเช่นกัน”
“ใช่ ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ดูเหมือนคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจงต่างก็ตายในนั้น ส่วนกลุ่มอำนาจอื่นๆ ก็สูญเสียไปไม่น้อย ที่ออกมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ก็มีเพียงคนข ของวังเทียนอู่กงและตำหนักหลีหั่ว”
“พูดแบบนี้ หมายความว่ากลุ่มอำนาจอื่นเช่นวังเวิ่นฉิง สำนักฝัวหมัว และยังมีคนของฮวงเสินต่างก็เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“ถึงอย่างไร ก็เกิดเรื่องกับคนของวังเวิ่นฉิงและสำนักฝัวหมัว แต่ทว่า คนๆ นั้นของฮวงเสิน…”
“ฮวงเสินทำไมหรือ”
“ได้ยินมาว่า เป็นศิษย์จากตำหนักเย่าที่เพิ่งมาใหม่ ไม่ได้ออกมาในช่วงสุดท้าย ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
“เอ๋ พวกท่านดูสิ นั่นคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไหวปี้แห่งวังเวิ่นฉิงใช่หรือไม่ นางก็มากับเขาด้วยหรือ!”