ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 179 ข้ารู้กิเลสของเจ้าแล้ว
“เกินไปแล้ว!”
“ยังมีกฎกติกาอยู่หรือไม่”
“…”
ผู้อาวุโสของกลุ่มอำนาจทั้งเจ็ด โกรธจนควันออกหู โกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“ไป! ไปตามหาพวกไร้ยางอายพวกนี้มาตัดสิน!”
ผู้อาวุโสหลายกลุ่มอำนาจต่างมองหน้ากัน และตัดสินใจในใจทันที พวกเขาพร้อมใจกันไปด้วยกัน ที่ที่พวกเขาไปแห่งแรกก็คือป้อมปราการเฟยอวิ๋นหน้าด้านพวกนั้น
…
เมื่อได้เข้ามายังดินแดนผนึกมารอีกครั้ง เจียงเฮ่าและคนอื่นก็ไม่ได้หวาดระแวงขนาดนั้นเหมือนเมื่อก่อน ถึงแม้พวกเขาจะร่วงลงมายังสถานที่ที่แตกต่างกัน แต่ก็พร้อมใจกันมุ่งหน้าไปที่ จุดศูนย์กลาง เพราะตรงนั้นเป็นที่ที่ข่าวสารของเจียงหลีได้ขาดหายไป
และในขณะนั้นเอง เจียงหลีที่กำลังเล่าเรียนวิชาปลุกเสกหุ่นอย่างละเอียดลึกซึ้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่เข้าในดินแดนผนึกมารอีกครั้ง ครึ่งหนึ่งของคนที่เข้ามาก็เพื่อตัวนางเอง
เจียงเฮ่ากับคนอื่นๆ ไม่กี่คนไม่ว่า แต่นี่ยังมีคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นอีกสิบคนที่เข้ามาเพราะนาง
“นี่ ดินแดนผนึกมารเปิดขึ้นแล้ว หากเจ้ายังพลาดโอกาสนี้อีก เจ้าก็ต้องรอไปอีกหลายปีเลยเชียวนะ” เว่ยจี๋พิงกำแพงยกมือสองข้างขึ้นมากอดอก จึงทำให้ผิวขาวที่เคยซ่อนไว้เปิดเผยออก กมาชัดเจนเต็มสองตา
เจียงหลีช้อนสายตามองเขา แล้วก็หันไปสนใจศึกษาอัศวินเกราะทองอีกครั้ง แล้วเอ่ยเตือนเว่ยจี๋เสียวเรียบนิ่ง “ใจร้อนทำไม ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองปีมิใช่หรือ”
“เหอะ” เว่ยจี๋หัวเราะเบาๆ แล้วหมุนตัวออกไป “ไม่มีสุราให้ดื่มแล้ว”
ทันใดนั้นเอง สุราไหหนึ่งก็ร่วงลงมาจากอากาศ เขาเอื้อมมือขึ้นไปแล้วรีบคว้าเอาไว้ให้มั่น ชักมือกลับมาแล้วเปิดฝาไหสุราออก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความมึนเมา “อืม! อวี้ลู่เนี่ยงยังคงหอมรัญจวนใจที่สุด”
“เช่นนั้นเจ้ากลั่นเหล้าได้หรือยัง” เสียงของเจียงหลีที่ดังมาจากข้างหลัง ดูเหมือนจะถามเรื่อยเปื่อยตามประสา
และเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของนาง สีหน้าของเว่ยจี๋พลันเปลี่ยนไปทันที แววตาดำดิ่ง เขาหันขวับไปมองเจียงหลีที่กำลังศึกษาเจ้าหุ่นอัศวินเกราะทอง “เมื่อครู่นี้ เจ้าว่าอะไรนะ”
“ข้าพูดว่า…” เจียงหลีวางอุปกรณ์ในมือลง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พลิกตัวช้าๆ เพื่อเผชิญหน้ากับสีหน้ามืดครึ้มนั้นของเว่ยจี๋ แล้วยิ้มให้เป็นประกายสดใส “ข้ารู้แล้วว่ากิเลสของเจ้าค คือสิ่งใด”
“เป็นไปไม่ได้!” เว่ยจี๋รีบปฏิเสธพัลวัน
เจียงหลีพยักหน้า เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “แม้เจ้าจะปิดเสียมิด แม้เจ้าจะแสดงเหมือนรังเกียจสตรีที่มาเข้าใกล้ แต่ข้าก็ยังค้นพบกิเลสที่แท้จริงของเจ้าได้อยู่ดี”
เมื่อกล่าวจบ นางก็จ้องไปที่ใบหน้าของเว่ยจี๋ แล้วค่อยๆ เบนสายตามองไหเหล้าที่อยู่ในมือของเขา
เมื่อรับรู้ถึงสายตาที่เปลี่ยนไปของนาง อยู่ๆ เว่ยจี๋ก็หัวเราะออกมา “เจ้าคิดว่า กิเลสของข้าคือรักสุราเยี่ยงชีพหรือ”
“ไม่ใช่” เจียงหลีส่ายหน้า นางค่อยๆ ช้อนสายตา ดวงตาเป็นประกายของนางสบเข้ากับดวงตาหงส์คู่เรียวของเว่ยจี๋ “กิเลสของเจ้าก็คือ เจ้ากลั่นสุราไม่เป็นต่างหากเล่า”
เพ้ง!
ไหสุราในมือเว่ยจี๋ร่วงหล่นลงพื้น จนเกิดเสียงแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ทันใดนั้นกลิ่นหอมของสุราแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ สุราหมักชั้นดีหอมรัญจวน ตอนนี้กลับทำให้ใบหน้างดงามดั่งภาพวา าดของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสภาพบิดเบี้ยวเหยเก
ดูเหมือนเจียงหลีจะไม่เห็นใบหน้าเหยเกของเขาในตอนนี้แล้วพูดต่อไปว่า “เจ้ารักสุรา เข้าใจในสุรา ดังนั้น จึงมีสุราที่เจ้ารักจนไม่วางมือบนโลกนี้น้อยมาก เจ้าหวังมาตลอดว่าสามารถ ถลงมือหมักสุราด้วยตนเองออกมาหนึ่งชนิด ที่เปรียบเสมือนตัวเจ้าเองที่รูปงามมิมีใครเปรียบ ให้คนตกหลุมรักและถวิลหา แต่ทว่า เจ้ากลับคิดไม่ถึง เจ้าเป็นคนที่รู้จักและเข้าใจสุราเป็ นอย่างดี แต่ทำไมถึงหมักสุราไม่เป็นเอาเสียเลย ในขณะที่ใช้วิธีเดียวกัน แต่คนอื่นหมักและกลั่นออกมาเป็นสุรา แต่สิ่งที่เจ้าหมักออกมากลับเป็นเพียงแค่น้ำเน่าเสียเท่านั้น”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้ หากเจ้ายังพูดต่อ ข้าจะฆ่าเจ้า!” ราวกับว่าเว่ยจี๋ได้รับความสะเทือนใจมากโข เขาจึงตวาดลั่นใส่เจียงหลีอย่างดุร้าย
เจียงหลีกลับไม่เกรงกลัวความตาย แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ต่อให้เจ้าข้าฆ่าตาย ก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่เจ้าหมักเหล้าไม่เป็นไม่ได้ เจ้าเป็นคนที่หยิ่งยโสแบบนั้น จะสามารถทนรับความพ่ายแพ้ อันใหญ่หลวงในชีวิตเช่นนี้ได้หรือ นานวันเข้าก็ค่อยๆ ก่อเป็นกิเลสหนา แต่ทว่า ยิ่งเจ้าอยากหมักสุราชั้นเลิศออกมามากเท่าไหร่ สุราที่เจ้าหมักก็ยิ่งมีรสชาติแย่มากเท่านั้น”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” เว่ยจี๋ประคองศีรษะตนเองด้วยความเจ็บปวด คุกเข่าลงกับพื้นอย่างช่วยไม่ได้ “ได้…ได้โปรด เจ้าหยุดพูดสักที!”
ในที่สุดเจียงหลีก็หยุดพูด มองเขาที่นั่งคุกเข่าลงกับพื้นด้วยสายตาเห็นใจ เว่ยจี๋ที่ร้องไห้งอแงเป็นเด็กจนตรอก กิเลสแบบนี้ นางไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ
บางที นางกับเว่ยจี๋อาจจะไม่ใช่เพื่อนร่วมทางเดินเดียวกันก็ได้ ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจความรู้สึกเช่นนี้
เว่ยจี๋ร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง เดี๋ยวก็หัวเราะร่วน เดี๋ยวก็ร้องไห้อย่างหนัก สติคลุ้มคลั่ง ทำเสียจนเจียงหลีคิดว่าเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง จนสติวิปลาสไปหมดสิ้นแล้ว
โชคดีที่เว่ยจี๋เสียจริตเยี่ยงนี้ได้ไม่นาน รอจนกระทั่งเขาปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แล้วลุกขึ้นมากลับไปเป็นสภาพเดิม ซึ่งก็คือเว่ยจี๋ขี้เมาจอมขี้เกียจเป็นปกติที่เจียงหลีคุ้นเคยอย่ างดี
“มากับข้า” เว่ยจี๋สะบัดขาเสื้อแล้วหันหลังไป
เจียงหลีแววตาเป็นประกายแล้วเดินตามหลังเขาไป
เดินผ่านเครื่องกลหนักๆ และทะลุผ่านห้องสุสาน เดินขึ้นเดินลงอยู่หลายชั้น ในที่สุด เจียงหลีก็มาถึงยังที่ที่เว่ยจี๋ไม่เคยให้คนนอกเข้ามาเหยียบมาก่อน
ห้องหมักสุราของเขานั่นเอง
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เว่ยจี๋ยืนอยู่ในห้องหมักสุรา จ้องไปที่เจียงหลีแล้วเอ่ยถาม
เจียงหลีมองสำรวจห้องหมักสุรา มองไปที่อุปกรณ์หมักสุราหลากชนิด แล้วตอบคำถามของเว่ยจี๋ “เจ้าคิดว่าข้าแค่ต้องการเรียนทักษะกับพวกผีเฒ่าเท่านั้นน่ะหรือ”
เว่ยจี๋ยิ้มเย็นชาอย่างเหยียดหยาม “พวกนั้นอาจจะไม่รู้ก็ได้”
เจียงหลีพยักหน้า “พวกเขาไม่รู้ก็จริง แต่พวกเขาเข้าใจเจ้าไงเล่า” นางกลอกตา แล้วหันไปมองหน้าเว่ยจี๋ “ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นเพื่อนบ้านกันมาเนิ่นนาน บางเรื่องต่อให้เจ้าตั้งใจปิด ดบัง ก็ไร้ประโยชน์ จากการที่ข้าลองตะล่อมถาม บวกกับใช้สายตาตัวเองสังเกต ใช้จิตใจเพื่อเข้าใจความรู้สึก ใช้สมองคิดวิเคราะห์ อันที่จริงคำตอบนี้ก็ไม่ยากหรอกนะ”
“เจ้าฉลาดเกินคนจริงๆ” เว่ยจี๋เอ่ยชมด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แล้วเต็มไปด้วยความประชดประชัน “ช่างน่าขัน คนพวกนั้นเป็นเพื่อนบ้านข้ามาตั้งนาน แต่กลับคิดมาตลอดว่ากิเลส ของข้า คือความเกลียดแค้นที่มีต่อสตรี”
เจียงหลีเลิกคิ้ว “สีหน้าท่าทางของเจ้าต่อผู้หญิงที่เข้ามายั่วยวน มันดูขยะแขยงโดยไม่เหมือนการเสแสร้งเลยสักนิด”
“แน่นอนว่าไม่ได้เสแสร้ง เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงขั้นเป็นกิเลสของข้าก็เท่านั้นเอง” เว่ยจี๋แสยะยิ้มเย็นเยียบ
“พวกเขายังบอกข้าอีกเรื่องหนึ่ง” เจียงหลียกยิ้มมุมปาก สายตาเต็มไปด้วยแววหยอกล้อ
เว่ยจี๋ขมวดคิ้ว “พวกเขายังบอกเรื่องอะไรกับเจ้าอีก”
เจียงหลีเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “พวกเขาบอกว่า…เจ้าเป็นผู้ที่เก่งกาจที่สุดในหมู่พวกเขา”
เว่ยจี๋มีสีหน้านิ่งค้าง แล้วยิ้มเยาะ “ผีเฒ่าพวกนั้นโกหกเจ้า”
เจียงหลีกลับส่ายหน้า “ข้าคิดว่าพวกเขาพูดถูก วิชาปลุกเสกหุ่นอันเก่งกาจนี้ของเจ้า อยู่เหนือคนธรรมดาทั่วไป”
“ก็แค่เคล็ดวิชาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น” เว่ยจี๋กลับพูดขึ้นอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเท่าใดนนัก
“ขนาดวิชาเล็กๆ น้อยๆ ยังเก่งกาจยอดเยี่ยมขนาดนี้ แล้วถ้าวิชาใหญ่หลวงล่ะ จะขนาดไหน” เจียงหลีกะพริบตาให้อย่างเจ้าเล่ห์
เว่ยจี๋กลับไม่ตกหลุมพราง แล้วหัวเราะเย้ยหยัน “ยุให้ข้าหลงกล เพราะยังเรียนวิชาปลุกเสกหุ่นจากข้าไม่พอ หรือยังอยากทำสิ่งใดอีก”
เจียงหลียิ้มสดใสราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง “ความสามารถนั้น…เป็นธรรมดาที่ต้องเรียนรู้ให้มากขึ้นถึงจะดี”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย เอาล่ะ วันนี้เจ้าก็รู้หมดเปลือกแล้วว่ากิเลสของข้าคืออะไร แล้วเจ้าจะทำลายกิเลสของข้าอย่างไรหรือ” เว่ยจี๋มองนางอย่างนึกสนใจ
ใครจะไปรู้ว่าเจียงหลีกลับพูดว่า…