ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 181 เมฆปีศาจผืนใหญ่
“ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่”
เว่ยจี๋มองเจียงหลีอย่างหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าฉากเมื่อครู่นี้ทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริด
“ข้า…” เจียงหลีก็อึ้งไปเหมือนกัน นางไม่สามารถตอบคำถามนี้ของเว่ยจี๋ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ หรือว่า…เป็นเพราะวิญญาณจักรพรรดินั่น หรือว่าจะเป็น…
เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น และส่ายศีรษะ ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ได้
“นี่…”
เมื่อเห็นว่านางเอาแต่ส่ายหน้า แล้วก็เอาแต่ครุ่นคิดเงียบๆ เว่ยจี๋จึงตั้งสติแล้วขยับเข้ามาใกล้นาง
เจียงหลีเงยหน้ามองเว่ยจี๋ที่ขยับเข้าใกล้ แต่นางกลับถอยหนีไป
ยากนักที่จะเห็นท่าทางตกใจสั่นเหมือนลูกนกของเว่ยจี๋แบบนี้
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เว่ยจี๋ถามต่ออย่างไม่ท้อถอย
“ไม่รู้” เจียงหลีส่ายหน้า
ถึงจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่คิดเอาความอีก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ ทันใดนั้นเจียงหลีก็หัวเราะขึ้นมา แล้วแกว่งไหสุราเปล่าในมือเล่นอย่างนึกสนุก “สงสัย เจ้าคงออกไปจากดิน นแดนผนึกมารกับข้าได้แล้วล่ะ”
“ข้าไม่ไป!” ดวงตาทั้งคู่ของเว่ยจี๋หดลง แล้วรีบถอยออกไปไกลอย่างรวดเร็ว
“เจ้าคิดว่าข้าต้องการคำยินยอมจากเจ้าหรือไร” รอยยิ้มของเจียงหลียิ่งยั่วยวนบาดใจมากขึ้น
“…” เว่ยจี๋ทำหน้าบูดบึ้ง แล้วจ้องไหสุราเปล่าที่อยู่ในมือเจียงหลี อันที่จริง เขาก็ไม่ได้คิดจะต่อต้านอยู่แล้ว
“จริงสิ เจ้าคิดว่า ข้าควรจะพาวิญญาณชั่วร้ายออกไปด้วยสักกี่ตัวดีล่ะ” อยู่ๆ เจียงหลีก็นึกขึ้นได้
เว่ยจี๋กลอกตาขาวใส่นาง แล้วพูดกระแนะกระแหนอย่างไรความปรานี “เจ้ารู้จักประมาณตนไหม ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าใช้มนต์ใดถึงยัดข้าลงไปในไหสุรา แต่นี่อาจเป็นอุบัติเหตุก็ได้ แล้วคงไม่เก กิดขึ้นอีก มิฉะนั้นดินแดนผนึกมารแห่งนี้ต้องวุ่นวายเป็นแน่”
“อย่างไรก็ต้องลองดูถึงจะรู้” เจียงหลีไม่ยอมถอดใจ
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูสิ” เว่ยจี๋ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับนางแล้ว ตอนนี้จิตใจเขาไม่สงบ ต้องการดื่มสุราสักหน่อย
เจียงหลีขมวดคิ้ว แล้วพูดกับตัวเอง “ข้าต้องลองอยู่แล้วล่ะน่า”
…
เจียงหลีออกมาจากห้องกลั่นสุราของเว่ยจี๋ แล้วกลับไปที่ห้องพักที่เรียบง่ายของนาง
จากนั้นวางไหสุราที่ดูดเว่ยจี๋เข้าไปเมื่อครู่นี้ลงบนโต๊ะหิน เจียงหลีจ้องไปที่ไหสุราลายดอกไม้สวยงามแล้วเข้าสู่ห้วงแห่งความคิด
เว่ยจี๋เล่าว่า กลองศิลาจารึกคือของวิเศษของเจ้าผู้สร้างจิ่วฮวงหรือดินแดนทั้งเก้า แต่ว่าตามตำนาน กล่าวว่าเพราะกลองศิลาจารึกหล่นลงมาจากฟ้า แล้วจึงทำให้ปฐพีแยกเป็นเก้าส่วนมิใ ใช่หรือ
ซือจุนยังเคยบอกอีกว่า จิ่วฮวงในปัจจุบัน ดำรงอยู่สามเผ่าพันธุ์ ปกครองดินแดนที่ต่างกัน หนึ่งในนี้จะมีส่วนที่เชื่อมโยงกันหรือไม่
อีกอย่าง เหตุใดข้าถึงสามารถพาเว่ยจี๋ออกไปได้
ข้าไม่ใช่ผู้ที่สร้างโลกใบนี้ขึ้นมาแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่ภรรยาหรือบุตรธิดาของเขาด้วยนี่นา!
เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น เรื่องแบบนี้ต้องใช้สมองคิดเยอะๆ หน่อย ถึงอย่างไร การคิดแผนการชั่วร้ายไม่ใช่วิธีการที่เด็ดขาดของนาง หากให้วิเคราะห์และสรุปก็ไม่ใช่เรื่องที่นางโปรดปรานเ เช่นกัน
อยู่ๆ นางก็ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเอง สิ่งที่สามารถมีส่วนเกี่ยวข้องที่ยิ่งใหญ่พอๆ กับเทพเจ้าผู้สร้างโลกก็คือวิญญาณจักรพรรดิที่หลอมรวมอยู่ในร่างกายนาง และยังมี…รอยประท ทับพระชายาของเซ่าตี้!
“จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้หรือไม่” เจียงหลีไม่แน่ใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ สุดท้ายนางก็เลิกคิด ทิ้งความสงสัยนี้ไปพร้อมกับความคิดที่จะใช้ทหารกั้นน้ำด้วยดิน
“ลองไปหาวิญญาณชั่วร้ายสักตนดีกว่า” เจียงหลีลุกยืนขึ้น แล้วหยิบไหสุราออกไปจากห้องสุสาน
…
เป็นดั่งที่เว่ยจี๋กล่าวเอาไว้ ไม่ว่าเจียงหลีจะทดลองกับวิญญาณชั่วร้ายที่สนิทด้วยไม่กี่คนอย่างไร ก็ไม่ปรากฏเหตุการณ์เหมือนดั่งเว่ยจี๋แบบนั้น
เจียงหลีทดลองอยู่สามครั้งก็ท้อใจเสียแล้ว
อย่างไรเสีย คนที่นางอยากพาออกไปด้วยมากที่สุดก็คือเว่ยจี๋ วิชาปลุกเสกหุ่นเชิดไม่ได้เรียนรู้กันได้ภายในชั่วข้ามคืน ดังนั้นช่วงนี้ นางจึงทุ่มเทใจไปกับการศึกษา แต่ก็ทำได้เพ พียงสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ความทะเยอทะยานของนางก็คือสามารถเสกหุ่นเชิดระดับสูงในแบบที่เว่ยจี๋เคยกล่าวเอาไว้
วันต่อๆ มา เจียงหลีก็ไม่ได้สนใจ แล้วเริ่มฝึกฝนอีกครั้งภายในดินแดนผนึกมาร นางยังคงพักอาศัยอยู่ที่ห้องสุสานของเว่ยจี๋ ตั้งอกตั้งใจศึกษาวิชาปลุกเสกหุ่นเชิด เมื่อเหนื่อยก็หัน นไปฝึกบำเพ็ญเนี่ยนซือต่อ เมื่อนั่งบำเพ็ญนานเข้า ก็เปลี่ยนไปฝึกฝนทักษะการต่อสู้ ถือเป็นการยืดเส้นยืดสายไปในตัว บางครั้งก็ลาก
เว่ยจี๋ออกมาเป็นคู่ฝึก หากศึกษาขาดตกบกพร่อง ก็ฝึกศาสตร์ลับ ปรับเปลี่ยนนิดๆ หน่อยๆ
สรุปก็คือ เจียงหลีใช้เวลาช่วงนี้ได้อย่างเต็มที่มากๆ อีกอย่างการฝึกฝนของนางก็ไม่ได้ลดลงเลยสักนิด
…
ขณะนี้ เหล่าผู้ฝึกฝนใหม่ที่เข้ามายังดินแดนผนึกมาร ต่างก็กำลังเข้าสู่การฝึกประสบการณ์ ซึ่งก็เหมือนกับพวกของเจียงหลีในคราวนั้น พยายามคลำหาทำความคุ้นเคยกับวิญญาณชั่วร้ายแล ละเข้าใจวิธีการต่อสู้ของพวกเขา
แต่ในที่นี้ ยังมีคนอีกสองกลุ่มที่ไม่ได้มาเพื่อฝึกประสบการณ์
กลุ่มแรก ก็คือพวกของเจียงเฮ่าสี่คน
ส่วนอีกกลุ่ม ก็คือคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นอีกสิบคน
และที่บังเอิญก็คือ เป้าหมายของพวกเขาก็คือเจียงหลี!
ในดินแดนผนึกมารไม่มีสีสันอื่นใด ทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวเทาและซ้ำซากจำเจ ในป่าเขา มีผู้ฝึกฝนคนหนึ่งกำลังวิ่งอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาตื่นตระหนก ราวกับว่ามีวิญญาณร้ายกำลังวิ่ งไล่ตามหลังเขาอยู่
ทันใดนั้น บริเวณโดยรอบของเขาก็มืดลงราวกับถูกเงาปกคลุมทันที
เขาเริ่มแข็งทื่อ เงยศีรษะขึ้นโดยไม่รู้ตัวและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่เห็นเพียงเมฆสีดำขนาดใหญ่เคลื่อนผ่านศีรษะของเขา
“นี่มันอะไรอีกเนี่ย!” เขาร้องเสียงหลง
แต่ในชั่วพริบตา เงาที่ปกคลุมเขาเคลื่อนไปข้างหน้าและข้ามผ่านเขาไปไม่สนใจเขาอีก
แต่ทว่า สีหน้าของเขากลับยิ่งดูย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพูดกับตัวเองด้วยความสะพรึงกลัว “ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่! ข้าอยากออกไป ข้าจะออกไป!”
…
เจียงเฮ่าที่รีบวิ่งไปที่จุดศูนย์กลางอย่างไม่หยุดหย่อน แต่อยู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า
เมฆปีศาจกลุ่มนั้นซึ่งเต็มไปด้วยไอน่าสะพรึงกลัวค่อยๆ เคลื่อนผ่านศีรษะของเขาไป เจียงเฮ่าขมวดคิ้ว นี่มันอะไรกัน
คราวก่อนเขาไม่เคยเจอสิ่งนี้ในดินแดนผนึกมาร
ที่เขาสนใจ เป็นเพราะว่าเขารู้สึกถึงไออันน่าหวาดกลัวบางอย่างที่ออกมาจากเมฆปีศาจนั่น
แต่ทว่า ถึงแม้จะไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้น เจียงเฮ่าก็ไม่อยากคิดมาก แล้วรีบเดินหน้าต่อไป การเข้ามายังดินแดนผนึกมารเป็นครั้งที่สอง เจียงเฮ่าก็คุ้นเคยกับวิญญาณชั่วร้ายที่นี่เป็นอย ย่างดีแล้ว จึงสามารถหลบหลีกสถานที่ที่อันตรายไปได้อย่างดาย
เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ในชั่วพริบตา หนึ่งเดือนครึ่งผ่านไปนับตั้งแต่การเปิดดินแดนผนึกมาร
ในช่วงเวลานี้ ทุกคนทำตามกฎกติกาและมุ่งหน้าเข้าสู่ศูนย์กลาง
แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนที่เจอเข้าด้วยกัน
ยกตัวอย่างเช่น…
ท่ามกลางป่ารกทึบ คนประมาณหกเจ็ดร่างผุดขึ้นจากทุกทิศทุกทาง มาบรรจบกันที่พื้นที่ว่างตรงกลาง ในที่โล่งนี้ มีคนยืนไพล่มืออยู่ข้างหลัง เมื่อมีคนหลายคนเดินเข้ามา พวกเขาทักท ทายเขาทีละคน และเรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่อวิ๋นเซียว’
คนเหล่านี้ซึ่งสวมชุดคลุมสีขาวและสีน้ำเงิน ล้วนเป็นศิษย์ของป้อมปราการเฟยอวิ๋นทั้งสิ้น
“มีข่าวคราวหรือไม่” ใบหน้าของอวิ๋นเซียวดูเย็นชา โครงหน้าเด่นชัด มีความเย่อหยิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้ในสายตาของเขา
หลายคนมองหน้ากันและส่ายหน้าช้าๆ
คำตอบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นเซียวต้องการ เขาขมวดคิ้วและสูดลมหายใจด้วยความเย็นเยียบ “พวกสวะ!”
คนพวกนี้ไม่กล้าตอบโต้ในขณะที่เขากำลังด่ากราด ต่างก็พากันก้มหน้าเงียบๆ โดยไม่พูดสิ่งใดออกมา ทันใดนั้น เงาสีดำก็ปกคลุมพวกเขาไว้ อวิ๋นเซียวและคนอื่นๆ มองขึ้นไปก็เห็นเมฆปีศ ศาจผืนใหญ่เคลื่อนตัวผ่านศีรษะของเขาอย่างช้าๆ