ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 183 สัตว์เลี้ยงส่วนบุคคล ห้ามแตะต้อง
ภายในห้องสุสานของเว่ยจี๋ เจียงหลีอุ้มเจ้าเปี๊ยกนั่งบนเตียงหินด้วยจิตใจเหม่อลอย
แต่ทว่า สีหน้าของนางนั้นกลับดูอิ่มเอิบ
ประเดี๋ยวแง่งอน ประเดี๋ยวหวานหยดย้อย ประเดี๋ยวก็หน้าซีด ประเดี๋ยวก็แก้มแดง
นางกำลังคิดถึงเรื่องราวมากมายหลังจากที่ได้เจอกับเจ้าเปี๊ยก ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพราะหลังจากได้รู้สถานะที่แท้จริงของเจ้าเปี๊ยก ถึงได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่มนสถานการณ์อึดอัดขึ้นมา แ แก้มนวลของเจียงหลีเห่อร้อน แกล้งน่ารักอะไรกัน เจอในความฝันอะไรกัน เอาเปรียบอะไรกัน…นางนี่ช่างโง่เขลาจริงๆ ที่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย!
นางคิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไรหลังจากที่โชคชะตานำพานางมาติดเกาะร้างแล้วเจอสัตว์น่ารักตัวหนึ่ง ทั้งยังเป็นสัตว์ในบรรพกาลที่หายากอีกด้วย
ที่แท้…ที่แท้ชายหนุ่มได้วางแผนทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว
ทำเอานางมีช่วงหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเกิดความรักต่างสายพันธุ์ ตกหลุมรักสัตว์น่ารักตัวหนึ่งเข้า!
ลู่เจี้ยเอ๋ยลู่เจี้ย ท่านนี่มักชอบทำให้ตัวเองตกอยู่ในเงื้อมมือข้าเสมอ ชอบแปลงกายเป็นสัตว์เลี้ยงน่ารักนักใช่ไหม เช่นนั้นก็แปลงกายต่อไปเสียเถอะ เจียงหลีเลิกคิ้วขึ้นแล้วยก กยิ้มที่มุมปาก
ทันใดนั้น เมื่อนึกถึงบางอย่างที่น่าสนใจได้ เจียงหลีจึงหลุดขำออกมา “อุ๊บ”
เช่นนั้นจึงทำให้เว่ยจี๋ที่เพิ่งก้าวขาเข้ามาตกใจจนต้องชักขากลับไป “เจ้ากำลังคิดอะไรพิเรนทร์ๆ อยู่รึ หัวเราะได้น่าเกลียดอะไรขนาดนี้”
เมื่อได้ยินเว่ยจี๋เอ่ยหยอกล้อ เจียงหลีจึงเก็บสีหน้าทันที จากนั้นจึงเหลือบมองเขา “น่าเกลียดอะไรกันเล่า อย่างข้าเรียกว่างามเลิศในปฐพีต่างหาก”
“น่าเกลียด” ใบหน้ารูปงามขาวสะอาดของเว่ยจี๋เผยให้เห็นสีหน้าหยามเหยียด
เจียงหลีทำหน้าบูดบึ้ง “หากรังเกียจเดียดฉันท์ข้านัก เจ้าก็ควักลูกตาเจ้าออกมาสิ!”
“ประทานโทษ ข้าควักไม่ได้” เว่ยจี๋ทำหน้าช่วยไม่ได้
“เอ๊ะ” ทันใดนั้นดวงตาของเว่ยจี๋ก็เป็นประกาย สายตาจ้องไปที่อ้อมกอดของเจียงหลี “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสัตว์บรรพกาล เด็กคนนี้โชคดีไปแล้วกระมัง”
เขาพูดพลางเอื้อมมือออกไปเพราะต้องการสัมผัสมัน
แต่ทว่าเจียงหลีกลับเอาเจ้าเปี๊ยกลู่กลับเข้าไปในกระเป๋าวิเศษได้ทันท่วงที แล้วประกาศิตเป็นเจ้าของอย่างยืนกรานหนักแน่น “สัตว์เลี้ยงส่วนบุคคล แม้แต่คนใกล้ชิดก็ห้ามแตะต้อง”
“ขี้งกชะมัด” เว่ยจี๋มองค้อนนาง “ข้าลูบหน่อยเดียวใช่ว่าเนื้อมันจะหลุดออกไปหนึ่งชิ้นเสียเมื่อไหร่เล่า”
“ข้าไม่ยินยอม” เจียงหลีมีสีหน้าเย่อหยิ่ง
พูดอะไรไร้สาระ ผู้ชายของนาง ยกเว้นนางที่ได้สัมผัส ใครก็ตามที่กล้าแตะต้อง นางจะตัดมือทิ้งเสีย!
“ชิ!” เว่ยจี๋ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก
“เจ้ามาทำไมรึ” เจียงหลีเงยหน้าถามเขา
เว่ยจี๋กลับยิ้มชั่วร้ายออกมา “เจ้าไปหาเรื่องใครที่ข้างนอกมารึเปล่า คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเข้ามาแก้แค้นเจ้าในดินแดนผนึกมาร”
“หืม” เจียงหลีหรี่ตา สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา
“สงสัย เจ้าคงจะยังไม่รู้สินะ” เมื่อเห็นสีหน้าของนาง เว่ยจี๋จึงหัวเราะสะใจยิ่งขึ้น
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เจียงหลีเอ่ยถาม
เว่ยจี๋เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ทุกหนทุกแห่งในดินแดนผนึกมารต่างก็มีวิญญาณชั่วร้ายอาศัยอยู่เต็มไปหมด และไอดุร้ายที่แผ่กระจายพวกนี้คอยเป็นหูเป็นตาให้กับวิญญาณชั่วร้ายระ ะดับสูง”
เจียงหลีหรี่ตาและถามอีก “นอกจากคนที่ต้องการฆ่าข้าเข้ามาแล้ว ยังมีข่าวคราวอะไรที่เกี่ยวกับข้าบ้าง”
“นอกจากคนที่ต้องการปลิดชีวิตเจ้าแล้ว ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มาเพื่อเจ้า” เว่ยจี๋กล่าว
ฉิบหาย!
เจียงหลีกระโดดพรวดลงจากเตียงแล้ววิ่งออกไปข้างนอกสุสาน
“นี่ เจ้าจะไปไหน” เว่ยจี๋หันตัวมองเงาหลังของนาง “เจ้าไม่กลัวว่าออกไปจากที่นี่แล้วจะโดนตามฆ่าหรือ”
เจียงหลีหยุดชะงัก ผินหน้ามองเขาเผยรอยยิ้มซุกซน “ในดินแดนผนึกมารแห่งนี้ ข้ายังต้องกลัวพวกมันตามมาฆ่าข้าอีกหรือ”
เอ่อ!
เว่ยจี๋อึ้งกิมกี่ ในใจรู้สึกถึงลางสังหรณ์ขึ้นมาทันที
ผลคือ เมื่อเจียงหลีออกไปอีกครั้ง และคำพูดที่ทิ้งเอาไว้ก็ทำให้เว่ยจี๋รู้สึกเหมือนกำลังขุดหลุมฝังตนเอง
“ไปเรียกพวกผีเฒ่าสักสี่ห้าตนออกมาอาบแดดดีกว่า ถือเสียว่าได้หาอะไรทำยืดเส้นยืดสายสักหน่อย”
…
ภายในอาณาเขตจื๋อจั้ง บรรดาผู้ที่สับสนในตอนแรกดูเหมือนจะรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ และถอยห่างออกไปอย่างเงียบๆ
“หึ! ไอ้คนพวกนี้แหละที่แย่งจำนวนรายชื่อพวกเรา!”
“ชู่ว เบาเสียงหน่อย มองไม่เห็นหรือว่าตอนนี้พวกเขากำลังเตรียมตะคุ่มเหยื่ออยู่”
“พวกป้อมปราการเฟยอวิ๋นและพวกฮวงเสินมีความแค้นอันเก่าก่อน ตอนนี้เผชิญหน้ากันแล้ว ทั้งยังถูกกักขังไว้ที่นี่อีก ต้องไม่ผ่านไปได้ง่ายๆ แน่นอน”
“เช่นนั้นพวกเราควรทำเยี่ยงไร”
“ยังต้องทำอะไรอีก ดูละครกันไปเงียบๆ อย่างไรเล่า”
“…”
หลังจากเข้าใจโดยมิได้นัดหมาย ผู้คนจากหลายกลุ่มอำนาจก็รวมตัวกันและถอยห่างออกไป
เมื่อรับรู้การเคลื่อนไหวของพวกเขา กงเสวี่ยฮวาก็หันศีรษะและมองอย่างตลกขบขัน และเตือนอย่างใจดีว่า “พวกท่านควรแยกจากกัน”
หืม
เสียดาย ทุกคนไม่เข้าใจในคำเตือนของเขา
กงเสวี่ยฮวาไม่ได้อธิบายเรื่องนี้มากไปกว่านี้ แต่เพียงแค่ยิ้มและถอนสายตากลับไป
ทางด้านอวิ๋นเซียวเคลื่อนไหวแล้ว เขาพาคนของป้อมปราการเฟยอวิ๋นขยับเข้าไปใกล้เจียงเฮ่า
“คนที่พาป้อมปราการเฟยอวิ๋นเข้ามา ชื่อว่าอวิ๋นเซียว ฝึกฝนอยู่ในระดับหลิงหวังขั้นห้า จึงสามารถอนุญาตเข้ามาฝึกฝนในดินแดนผนึกมาร เขาพาคนอื่นๆ มาด้วย แต่ล้วนเป็นเพียงหลิงจ จง ดังนั้นไม่ต้องกลัว”
กงเสวี่ยฮวากระซิบข้างหูเจียงเฮ่า
ไหวปี้เอ่ยเสริม “อวิ๋นเซียวมีชื่อเสียงได้เร็วกว่าอวิ๋นซู่ ในป้อมปราการเฟยอวิ๋น เข้ามีความสามารถมากกว่าอวิ๋นซู่เสียอีก”
“ข้าจะรับมือเขาเอง” เจียงเฮ่าเอ่ยเรียบนิ่ง
กงเสวี่ยฮวาหันมามองเขา แล้วพินิจพิจารณาระดับการฝึกฝนของเจียงเฮ่าอย่างละเอียด จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นแปลกๆ “หลิงหวังขั้นสาม! โอ้โห นี่เจ้ากินยาเพิ่มสมรรถภาพหรือไร! เจ้าเพิ่งบร รรลุอาณาเขตหวังได้ไม่กี่ปี ก็บรรลุหลิงหวังขั้นสามแล้ว!”
“…” เจียงเฮ่าไม่ได้อธิบาย เขาฝึกฝนได้รวดเร็วมาก เป็นเพราะเขามีร่างกายที่พิเศษ
“ถึงแม้จะเป็นหลิงหวังขั้นสาม แต่ก็ยังห่างกันอยู่สองขั้น” ฉินเทียนอีเอ่ยเตือน แล้วพูดกับเจียงเฮ่าต่อ “ตอนที่ข้าอยู่ในตำหนักหลีหั่ว ก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของอวิ๋น นเซียว”
“เจียงเฮ่า พี่ใหญ่ของเจียงหลี” อวิ๋นเซียวหยุดก้าวเดิน สายตาเย่อหยิ่งของเขามองไปที่เจียงเฮ่า
เขามองปราดเดียวก็จำเจียงเฮ่าได้แล้ว นี่ก็อธิบายได้ว่า ไม่กี่ปีมานี้ พวกเขาป้อมปราการเฟยอวิ๋นก็ได้สืบสาวราวเรื่องสองพี่น้องคู่นี้มาชัดเจนดีแล้ว
เจียงเฮ่าเม้มริมฝีปาก แววตาแข็งกร้าว
มุมปากของอวิ๋นเซียวเผยรอยยิ้มเย็นชาหยามเหยียด เขาไม่มองคนอื่นเลยสักคน จากนั้นจึงเอ่ยเสียงนิ่งขรึม “ผู้ใดที่ไม่เกี่ยวข้อง ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าหนีเป็นครั้งสุดท้าย”
กงเสวี่ยฮวาไม่พอใจ แล้วลุกออกมา “อวิ๋นเซียว ชื่อนี้ช่างเหมาะกับสีหน้าผยองของเจ้าเสียจริง”
“วังเทียนอู่กงก็เข้าร่วมกับเขาที่นี่ด้วยหรือ” อวิ๋นเซียวยังคงไม่แลตามองกงเสวี่ยฮวา
ราวกับว่า ในสายตาของอวิ๋นเซียว ตำแหน่งนายน้อยแห่งวังเทียนอู่กงนี้เปรียบเสมือนมดแมลงก็มิปาน
กงเสวี่ยฮวาหรี่ดวงตาทั้งคู่ สายตาเย็นชาคมกริบไม่มีสิ่งใดเปรียบ “ป้อมปราการเฟยอวิ๋นกำเริบเสิบสานเยี่ยงนี้ ข้า…กงเสวี่ยฮวาจะไม่สนใจได้อย่างไรเล่า”
ในที่สุด อวิ๋นเซียวก็ชายตามองกงเสวี่ยฮวา “เช่นนั้นข้าก็จะมองว่าวังเทียนอู่กงของเจ้าประกาศสงครามกับป้อมปราการเฟยอวิ๋นของข้าแล้วกันนะ”
แววตาของกงเสวี่ยฮวาเย็นเยียบ ในดวงตาวูบไหวไปด้วยความดุร้าย “เจ้ายังไม่คู่ควร”
นี่ไม่คู่ควร ซึ่งหมายความว่าอวิ๋นเซียวไม่คู่ควรที่จะเป็นตัวแทนของป้อมปราการเฟยอวิ๋น หรือหมายความว่าไม่คู่ควรที่จะให้วังเทียนอู่กงลงมือ
อย่างไรเสีย ก็ไม่มีใครรู้
เพราะหลังจากที่กงเสวี่ยฮวาพูดประโยคนั้นจบ เขาก็พุ่งเข้าใส่อวิ๋นเซียวแล้ว
จากนั้น อวิ๋นเซียวยกมือขึ้นตวัด พลังอันน่าหวาดกลัวออกมาจากแขนของเขา แล้วปล่อยพลังจนกงเสวี่ยฮวาลอยละลิ่ว
“วันนี้ เป้าหมายของข้าไม่ใช่เจ้า” เมื่อสิ้นเสียง อวิ๋นเซียวก็เข้ามาประชิดเจียงเฮ่า