ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 209 หุ่นเชิดตัวแรกของเจียงหลี
เมื่อติดอยู่ในดินแดนผนึกมาร เจียงหลีอุทิศตนเพื่อการฝึกฝนและถึงเวลาที่จะทะลุทะลวงเข้าระดับหลิงหวังมานานแล้ว แต่เนื่องจากยังปรับตัวเข้ากับวิญญาณยุทธ์ไม่ได้ ดังนั้น ช่วงนี้ จึงทำได้เพียงยั้งไว้และสะสมการฝึกฝนไปเรื่อยๆ ก่อน
บัดนี้ เมื่อโอกาสมาถึง นางก็ยิ่งชำนาญขึ้น
ณ ห้องลับ พลังแก่นวิญญาณอันบริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ถูกเจียงหลีดูดซึมจนหมด
ทันใดนั้น ห้องลับที่ปิดสนิท ปรากฏลมพัดแรงและแสงสีทองส่องประกาย
เนตรญาณที่กลายเป็นมังกรทองกลับคืนสู่ร่างเดิม และระหว่างนั้นเอง สัญลักษณ์ของเทียนหยาเปล่งแสงสีทองออกมา
ฮึ่ม!
ขณะที่พลังวิญญาณพุ่งเข้าใส่หลิงหวังขั้นสี่ ก็ถูกเจียงหลีสกัดและผนึกให้อยู่ในระดับอาณาเขตนี้
หลิงหวังขั้นสี่เก่งกาจกว่าเจียงเฮ่า กงเสวี่ยฮวาและฉินเทียนอีจนแทบเทียบเท่าอวิ่นเซียวแล้ว
บัดนี้ หากเจียงหลีได้พบกับอวิ่นเซียวอีกครั้ง นางมั่นใจมากว่าฝ่ายพ่ายแพ้คืออวิ่นเซียวอย่างแน่นอน
กระแสลมในห้องลับค่อยๆ สงบลง
เนตรญาณที่ห้ากลับคืนสู่ร่างกายของเจียงหลี และเหลือเพียงเศษฝุ่นบนพื้นอยู่รอบตัวนางเท่านั้น โดยสิ่งเหล่านี้คือผลของการใช้ผนึกหินวิญญาณและหินแก่นวิญญาณ
เจียงหลียังไม่ลืมตา แต่กลับค่อยๆ ดูดซึมความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและทักษะการต่อสู้โดยกำเนิดตัวใหม่อย่างละเอียดภายหลังประสานเข้ากับเทียนหยา
การเก็บตัวครั้งนี้กินเวลาสิบวันสิบคืน
ในช่วงเวลาสิบวันนี้ ร่างกายของเจียงหลีตั้งใจฝึกฝนด้วยตัวเอง คุ้นชินพลังอำนาจและการเปลี่ยนแปลงของระดับหลิงหวังอย่างสมบูรณ์ เมื่อนางลืมตาขึ้น ดวงตาอันสดใสก็เปล่งประกายเจิดจ จ้า และร่างกายโอบล้อมไปด้วยลมปราณของผู้ชนะจางๆ ซึ่งทำให้ผู้คนยอมจำนน
“ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจนัก!” เจียงหลีพึมพำ ดวงตาเป็นประกาย
เทียนหยาตัวนี้คู่ควรแก่การเป็นสัตว์ดุร้ายในอันดับที่หนึ่ง และมีทักษะการต่อสู้โดยกำเนิดถึงสองประเภท! เพียงแค่ข้อนี้ ก็สยบวิญญาณยุทธ์ตัวอื่นได้อย่างราบคาบ!
แต่ทว่า…
เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทักษะการต่อสู้โดยกำเนิดตัวที่สองของเทียนหยาใช้ได้หลังจากเข้าสู่ระดับหลิงหวงเท่านั้น”
ซึ่งเป็นทั้งเรื่องที่คาดไม่ถึงและเสียดายในคราเดียวกัน
แต่โชคดีที่เจียงหลีเป็นคนสบายๆ และไม่ยึดติด จึงไม่ได้ผิดหวังมากนัก
นางประสานมือและสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่มีเพิ่มขึ้นในทุกด้าน
ขณะนี้ ร่างกายของนางเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ และหัวใจที่ปรารถนาในการต่อสู้กำลังลุกโชน
ชอบการใช้กำลังหรอกหรือ
เจียงหลีโค้งริมฝีปากขึ้นและเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย ขณะนี้ นางต้องการต่อสู้อย่างเร่งด่วนเพื่อบรรเทาจิตวิญญาณแห่งนักสู้ที่เพิ่มขึ้นในใจ
เมื่อร่างนั้นสั่นไหว นางออกจากห้องลับ และตะโกนเรียกให้ซีไหลมาต่อสู้กับนาง
การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลาสามวันสามคืน เจียงหลีถึงรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างมาก
“ฮ่าๆๆ … ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องเล็กด้วย พอเข้าสู่ระดับหลิงหวังก็ได้เป็นหลิงหวังขั้นสี่เลย และเหนือกว่าเทียนเจียวในรุ่นเดียวหลายคน!” ซีไหลที่ฝึกฝนเป็นเพื่อนนางอยู่ ชั่วครู่ กลับไม่รู้สึกน้อยใจเลยแม้แต่น้อย
เจียงหลีรู้สึกโล่งอก อารมณ์จึงดีนัก “ขอบคุณศิษย์พี่รองมาก”
“ศิษย์น้องเล็กเรามีความสามารถเป็นเลิศ เหนือกว่าเทียนเจียวในรุ่นเดียวกันไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ” เสียงของคุนอู๋ดังขึ้น
เจียงหลีหันศีรษะและมองไปรอบๆ เห็นคุนอู๋กำลังเดินมาทางพวกนาง
ลมปราณบนร่างกายของคุนอู๋ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ซึ่งน่าเกรงขามกว่าเดิมมาก
ดวงตาของเจียงหลีเป็นประกายและยิ้มให้กับคุนอู๋ “ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่สามที่เข้าสู่อาณาเขตหลิงหวงได้แล้ว”
คุนอู๋โบกมือแล้วเอ่ย “ไม่มีอะไรให้น่ายินดี เพราะสมควรเข้ามานานแล้ว แต่กลับยั้งเอาไว้มาตลอด” ในประโยคนี้ มีทั้งความจนใจ ทั้งผิดหวังรวมอยู่ด้วย
เจียงหลีรู้ถึงสาเหตุนั้นดี จึงเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้
ณ เวลานี้ เสิ่นฉงก็มาจากสถานที่ไกลออกไป ถือสุราที่เพิ่งจะกลั่นเสร็จไว้ในมือ “ยินดีกับศิษย์น้องสามและศิษย์น้องเล็กด้วยนะ”
“ช่วงนี้ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ใหญ่จะชอบกลั่นสุรานะ!” ซีไหลช่วยสรุปเรื่องขวดเหล้าในมือและถามด้วยรอยยิ้ม
เสิ่นฉงยิ้มจางๆ ไม่อธิบายให้มากความ
เพียงแต่แววตาอันอบอุ่นของเขายังคงเต็มไปด้วยความสงสัยและความสับสน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าช่วงนี้มีคนอยู่ข้างกายเขา
แต่ทว่า ไม่ว่าเขาจะใช้พลังวิญญาณหรือศาสตร์ลับในการสืบหา ก็ไม่สามารถค้นหาคนที่ซุ่มติดตามเขาได้ มันแปลกมาก โดยเฉพาะในห้องกลั่นสุราของเขา ทุกครั้งที่เขาเทสุราลงไปในไหอัน นวิจิตร สุราในนั้นก็จะหายไป สิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้ทำให้เขาสับสนยิ่งนัก แต่เขาก็มิอาจหาคำตอบนั้นได้
อีกประการหนึ่งคือ เขารับรู้ว่ามีถ้ำมอง แต่กลับไม่รู้สึกเป็นอันตราย
…
วัสดุสำหรับการปลุกเสกหุ่น ในที่สุดก็จัดเตรียมพร้อมแล้ว
เจียงหลีก็เริ่มเสกหุ่นเชิดเป็นครั้งแรกในชีวิต
เว่ยจี๋กล่าวว่าการปลุกเสกอัศวินเกราะทองนั้นง่ายเป็นที่สุด แน่นอนว่าความง่ายที่เขาหมายถึงคือในบรรดาหุ่นศพมนุษย์ทั้งหมด แต่ไม่ได้หมายรวมถึงเดรัจฉานกับดักเหล่านั้น
หลังจากนั้น ในตำหนักของเจียงหลี ก็มีเสียงทุบเสียงตีดังขึ้นตลอดเวลา และยังมีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้บ่าวรับใช้ทั้งหลายของตำหนักเย่ามองอยู่นานสองนานด้วยความสงสัยท ทุกครั้งที่เดินผ่านตำหนักของนาง
เมื่อศิษย์พี่ทั้งสามทราบข่าวว่านางกำลังพยายามปลุกเสกหุ่นเชิด จึงไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายมากนัก
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเสียงทุบตีในตำหนักของเจียงหลีก็หายไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม เจียงหลีก็ยังไม่ปรากฏตัว และไม่มีใครรู้ว่าการปลุกเสกหุ่นเชิดของนางนั้นประสบความสำ ำเร็จหรือไม่
ณ ห้องโถงด้านข้าง มีขยะกองกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ถึงขั้นที่บนผนังยังมีร่องรอยการเผาไหม้หลงเหลืออยู่
อัศวินผู้แข็งแกร่ง สูงใหญ่ และสง่างามในชุดเกราะสีทองยืนอยู่ตรงที่นั่งตรงกลาง
ขณะที่เจียงหลีกำลังเช็ดรอยเปื้อนบนใบหน้าเขา และถอยหลังหลายก้าว เพื่อชื่นชมหุ่นเชิดตัวแรกที่ตนปลุกเสกสำเร็จ
“งดงามมากจริงๆ!” เจียงหลีอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมในขณะที่มองไปยังอัศวินเกราะทอง
แน่นอนว่าใบหน้าของอัศวินเกราะทองนั้นว่างเปล่า ไร้ใบหน้า ไม่อาจรู้ได้เลยว่า ‘งดงามมาก’ คำนี้ของนางมาจากไหน
อัศวินเกราะทองนั้นสูงกว่าเจียงหลีหนึ่งศีรษะ สวมชุดเกราะทองคำและถือดาบสีทอง
“จากไปนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้ว” เจียงหลีพึมพำกับตัวเอง หยิบผนึกหินวิญญาณที่เตรียมไว้นานแล้ววางลงในช่องเก็บพลังงานของอัศวินเกราะทอง
แควก! หลังจากเสียงกลไกการทำงานดังขึ้น ศีรษะของอัศวินเกราะทองขยับซ้ายขวาเล็กน้อย
“ขยับแล้ว!” เจียงหลีแววตาทั้งมีความสุขและตื่นเต้น
ความสำเร็จเอ๋ยความสำเร็จ! คาดไม่ถึงว่าจักรพรรดินีเจียงจะมีวันที่สามารถปลุกเสกหุ่นเชิดได้ด้วยตัวเอง!
“ตามข้าออกไป” เจียงหลีออกคำสั่งแรกกับหุ่นอัศวินเกราะทองเมื่อนางก้าวเดินออกไปด้านนอก โดยที่อัศวินเกราะทองที่อยู่กับที่ ก็หันเดินตามหลังนางออกจากตำหนักไป
แควกๆ!
เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นและเสียงเสียดสีของแร่ทองคำดังมาจากตำหนัก เมื่อเจียงหลีเดินนำอัศวินเกราะทองออกจากตำหนัก ทุกคนที่ผ่านไปมาต่างแสดงสีหน้าตกใจ
“วันนี้อากาศไม่เลว!” เจียงหลียืดตัว แหงนมองพระอาทิตย์บนท้องฟ้าและหรี่ตาลง
นางหันศีรษะมองไปยังอัศวินเกราะทองที่อยู่ด้านข้างและยิ้มขึ้น “ให้ข้าดูความสามารถของเจ้าหน่อยเถิด”
พอเจียงหลีพูดจบ อัศวินเกราะทองหันหลังกลับและเผชิญหน้ากับนาง แล้วยกดาบในมือขึ้น
“ศิษย์น้องเล็ก…”