ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 245 ชีวิตของเจ้าข้าช่วยไม่ได้
ลู่เจี้ย ลู่เจี้ย!
เจียงหลีเจ็บแปลบในใจ เขาวางแผนจัดการทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว
หรือเขาจะรู้ว่าที่วิทยาเขตซีเฉียนมีวิญญาณยุทธ์ถึงได้ให้ข้ามาที่นี่ เจียงหลีเริ่มคิดฟุ้งซ่าน
“ท่านอาจารย์เฟิง” เฟิงสิงอวิ๋นหันมามองนางยิ้มๆ
เจียงหลีเอ่ยอย่างจริงจัง “โปรดขยายความด้วยเจ้าค่ะ”
เฟิงสิงอวิ๋นแย้มยิ้มขว้างพัดในมือหมุนคว้างกลางอากาศ เกิดลำแสงจากพัดส่องลงมาปกคลุมไปทั่วร่างทั้งสอง
เจียงหลีมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง
เฟิงสิงอวิ๋นเอ่ยยิ้ม “มีอะไรก็พูดมาเถอะ ในที่นี่นอกจากสหายของเจ้าคนนั้นแล้ว คนอื่นก็มิสามารถได้ยินในสิ่งที่เจ้าและข้าคุยกันได้”
คำพูดของเขาทำให้เจียงหลีนึกขึ้นได้แล้วหันไปมองทางมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอยิ้มให้นางเล็กน้อย
เมื่อถอนสายตากลับมา เจียงหลีจึงหันมามองเฟิงสิงอวิ๋น “ที่ท่านอาจารย์เฟิงกล่าวไปเมื่อครู่ เกี่ยวข้องกับลู่เจี้ยทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ ข้าอยากทราบรายละเอียด”
“รายละเอียดข้าก็ไม่รู้หรอก ข้ารู้แค่ว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องกับตระกูลลู่ นายน้อยลู่เคยมาพบพี่ใหญ่ของข้าเป็นการส่วนตัว ทั้งสองพูดคุยอยู่นานสองนาน หลังจากที่นายน้อยลู่กลับไปแล้ว พี่ใหญ่ก็จัดการให้เจ้ามาที่ซีเฉียน เรื่องวิญญาณยุทธ์ในวิทยาเขตซีเฉียนก็เป็นพี่ใหญ่ที่ส่งให้ข้ามา สั่งให้ข้าช่วยเจ้าเอามันมาให้ได้ ดูเหมือนนี่คงจะเป็นประสงค์ของนายน้อยลู่ แต่ทว่า ก็ต้องอาศัยความพยายามของเจ้าเองที่สร้างผลงานได้เยี่ยงนี้ มิฉะนั้นวันนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้เปิดปากทำภารกิจที่พี่ใหญ่สั่งมาให้สำเร็จลุล่วง เกรงว่าจะต้องเปลืองสมองอีก” เฟิงสิงอวิ๋นค่อยๆ อธิบาย
ที่แท้ ลู่เจี้ยก็เป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดนี่เอง เจียงหลีนึกได้ว่ามีครั้งหนึ่งนางเคยถามลู่เจี้ยว่าตัวเองควรหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามเป็นอะไรดี ลู่เจี้ยเคยบอกว่าต้องหลอมรวมสายช่วยเหลือ หรือว่าอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น เขาจึงได้แอบวางแผนทั้งหมดอย่างเงียบๆ ใช่ไหม
หากเป็นเช่นนั้น ระหว่างเขากับท่านอาจารย์หนานตกลงอะไรกันเอาไว้ถึงสามารถทำให้หนานอู๋เฮิ่นลงแรงช่วยเหลือถึงเพียงนี้
ถามลู่เจี้ยคงไม่ได้ความแน่ ทางเดียวก็คือต้องเจอหนานอู๋เฮิ่นอีกครั้ง ไม่แน่อาจจะได้ความจากเขาสักอย่างสองอย่าง
เจียงหลีนึกเงียบๆ ในใจ
“ท่านอาจารย์เฟิง วิญญาณยุทธ์ล้ำค่าที่ซ่อนตัวอยู่ในวิทยาเขตซีเฉียน ตกลงแล้วมันคือตัวอะไร” เจียงหลีถามในสิ่งที่ทำให้นางสงสัยออกมา
เฟิงสิงอวิ๋นกลับทิ้งเป็นปริศนาต่อไป “รอเวลาเจ้าสามารถหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามได้ก่อน เจ้าก็จะรู้เอง”
“…” เจียงหลีนิ่ง
หลังจากนิ่งคิดไปพักหนึ่ง นางก็หยิบเอาดอกไม้พิศวงที่เด็ดมาจากร่างมังกรไฟแล้วเอ่ยถาม “แล้วท่านอาจารย์เฟิงพอจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร”
“ดอกปราณมังกร!” ทันทีที่เฟิงสิงอวิ๋นเห็นดอกไม้แปลกประหลาดนั่นก็ตกใจเผลออุทานเรียกชื่อของมัน
“ดอกปราณมังกร?” เจียงหลีพึมพำ
เฟิงสิงอวิ๋นส่ายหน้าทอดถอนใจแล้วเอ่ยยิ้ม “ไม่อาจไม่กล่าวว่าเด็กน้อยอย่างเจ้านั้นโชคดีจริงๆ แม้กระทั่งดอกปราณมังกรเจ้าก็ได้มาครอบครอง”
“เจ้าดอกนี้ใช้ทำอะไรได้เจ้าคะ” เจียงหลีถามด้วยสายตาเป็นประกาย
“ดอกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยลมปราณมังกรมาพร้อมกับลมหายใจมังกร ตอนเจ้าฝึกบำเพ็ญค่อยๆ ดูดซับจะสามารถช่วยเจ้าให้เจ้าฝึกได้นานขึ้น ช่วยเจ้าบรรลุระดับขั้น อีกทั้งสามารถนำพลังมังกรเข้าร่วมการประลองได้ด้วย” เมื่อเฟิงสิงอวิ๋นพูดจบก็ถามกลับไปประโยคหนึ่ง “ดอกนี้ เจ้าได้มาจากมังกรประเภทไหน”
“มังกรไฟ” เจียงหลีตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ฮ่าๆๆๆ!” เฟิงสิงอวิ๋นหัวเราร่วน หลังจากหัวเราะเสร็จก็เอ่ยขึ้น “มังกรไฟเป็นมังกรที่มีความดุดันที่สุด พลังมังกรของมันแฝงไปด้วยอำนาจ แต่ก็เหมาะสมกับเจ้าดี”
เจียงหลียิ้มเจือจางแล้วเก็บดอกปราณมังกรเอาไว้
“เอาล่ะ เจ้าก็เหนื่อยแล้ว รีบไปพักเถอะ” เมื่อเฟิงสิงอวิ๋นเห็นว่าเจียงหลีหมดคำถามแล้วก็เก็บพัดกลับคืนมา จากนั้นจึงเหาะจากไป
ขณะนั้นเองที่นางพบว่าตอนคุยกับเฟิงสิงอวิ๋น ผู้คนก็ออกไปไม่น้อยแล้ว
แม้กระทั่งเฉียนจวิ้นกับโจวยวนก็ไม่รู้ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เจียงหลีกระโดดลงมาจากแท่นสูง รีบเดินไปยืนข้างมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้น “ชิงเกอ พวกเรากลับราชวงศ์
จยาเซียนกันเถอะ” นางอยากไปหาลู่เจี้ยเพื่อบอกลู่เจี้ยว่าเขาจะไม่ตายแล้ว!
“ไม่ต้อง” มู่ชิงเกอรั้งนางเอาไว้
เจียงหลีไม่เข้าใจจึงมองนางอย่างสงสัย
ในเมืองอู๋อิ๋น ลานอันเงียบสงบซ่อนตัวอยู่ในสระน้ำของเมืองที่ดูเรียบง่าย
เงาแสงสองดวงลงมาจากท้องฟ้าหลีกเลี่ยงลานหน้าตำหนักและลงสู่ลานหลังตำหนักแทน
“เป็นใครกัน”
ผู้ที่เป็นองครักษ์ปรากฏตัวอย่างรวดเร็วเพื่อขัดขวางตรงหน้าประตูหลังตำหนัก
เมื่อแสงและเงาสลายไปและเผยให้เห็นคนสองคน องครักษ์เหล่านี้จึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “องค์หญิงเสวียนเทียน!”
เจียงหลีมองไปที่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกลับยกมือขึ้นชี้นิ้ว “คนที่เจ้าอยากพบ อยู่ในนี้”
ลู่เจี้ย!
ลู่เจี้ยมาเมืองอู๋อิ๋นแล้ว!
เขาไม่ได้ผิดสัญญา!
เจียงหลีรู้สึกราวกับฟ้าผ่ากลางใจ ไม่ทันได้คิดอะไรมากนางก็รีบวิ่งเข้าไปในตำหนัก อีกทั้งเหล่าองครักษ์ก็มิได้ขัดขวางนางแต่อย่างใด ในขณะที่นางวิ่งผ่านไปพวกเขาก็หลบหลีกไปด้านข้างและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ลู่เจี้ยยยย!” เมื่อข้ามผ่านธรณีประตู บรรยากาศอบอุ่นก็อบอวลขึ้นมา
ความอบอุ่นเช่นนี้คนทั่วไปอาจจะรู้สึกร้อน แต่สำหรับลู่เจี้ยถือว่ากำลังดี
“หลีเอ๋อร์” ในห้อง ลู่เจี้ยกำลังยืนอยู่ที่นี่ในชุดเสื้อคลุมตัวยาว ราวกับว่าเขารอการมาถึงของนางอยู่
ใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยของเขาทำให้หัวใจของเจียงหลีจมดิ่งลง “เจ้าไม่สบายอีกแล้วหรือ” เจียงหลีเพิ่มความเร็วขยับเข้าไปใกล้เขาจึงรู้สึกถึงไอเย็นที่กระจายออกมาจากร่างของเขา ข้าไม่น่าเขียนจดหมายหาเจ้าเลย ทำให้เจ้าลำบากเดินทางมา นางตำหนิตนในใจ
แม้นางจะไม่เข้าใจทักษะการแพทย์ แต่ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของลู่เจี้ยทรุดลงมาก
“หลีเอ๋อร์” ลู่เจี้ยไม่อยากเห็นนางโทษตัวเอง อยากเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของนาง
แต่เจียงหลีกลับเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ข้ามีสหายหนึ่งคนที่สามารถรักษาเจ้าได้”
ลู่เจี้ยยอมชักมือกลับไปแล้วยิ้ม “จริงหรือ”
“เจ้ารอข้าก่อน!” เจียงหลีรีบพูดแล้วหันหลังวิ่งออกไป
ลู่เจี้ยมองไปที่นางด้วยความงุนงงและอยากจะเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้ แต่กลัวว่าเขาจะเอื้อมไม่ถึง
ไม่นานนักเจียงหลีก็เข้ามาอีกครั้งพร้อมกับชายชุดแดงสง่างามที่ยืนข้างกายนาง ภาพนั้นช่างสวยงามบาดตาลู่เจี้ย
เขาอยากจะเอาเจียงหลีของเขากลับคืนมา!
“ชิงเกอ เจ้ารีบดูให้ข้าสิ” ยากนักที่มู่ชิงเกอจะเห็นสายตาเว้าวอนของเจียงหลี
มู่ชิงเกอพยักหน้าแล้วบอกนางว่า “เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน”
“…” เจียงหลีชะงักค้างไม่ยินยอม
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วหรี่ตามองนาง
เจียงหลีคลี่ยิ้ม “ก็ได้ ข้าจะรอข้างนอก มีอะไรก็เรียกข้าแล้วกัน” หลังจากพูดเสร็จนางก็ก้มหัวและก้าวออกไปช้าๆ
หลังจากนางออกไปแล้ว มู่ชิงเกอจึงหันมามองลู่เจี้ย ทั้งสองต่างจ้องมองกันและกัน
ความเฉยเมยและความเป็นศัตรูที่ซ่อนอยู่ในดวงตาที่เคลือบเงาอยู่นั้นทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกขบขัน แต่นางขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย
นางเดินไปหาลู่เจี้ยช้าๆ และเปลวไฟที่ลุกโชนก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาที่ชัดเจน
ในขณะนั้น ลู่เจี้ยก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเหมือนถูกเผาในเตาไฟ มันร้อนมากและทรมานแสนสาหัส
แต่ทว่า เขากลับอดทนโดยไม่พูดอะไรสักคำ นอกจากตกใจในพลังแข็งแกร่งของมู่ชิงเกอแล้วเขายังไม่อยากขายขี้หน้านาง
“หืม?” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็หยุดชะงักขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาเปลวไฟของนางพลันสลายไป จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ชีวิตของเจ้าข้าช่วยไม่ได้แล้ว”