ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 251 เจ้าช่างน่ารักใสซื่อจริงๆ
เมื่อนึกถึงรัชทายาทแห่งซีเฉียน ก็ปรากฏเงาของตัวร้ายผู้อวดดีในหัว
ตอนที่เพิ่งมาถึงซีเฉียน พวกเขาสองคนเคยขัดแย้งและต่อสู้กันบนถนน
จากนั้นนางเก็บตัวฝึกฝนอย่างหนักในสถาบันไป๋หยวนจึงลืมคนผู้นี้ไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะเฉียนจวิ้นแกว่งเท้าหาเสี้ยนต่อหน้านาง เกรงว่าสองพี่น้องนี่คงลืมนางไปหมดสิ้นแล้ว
แต่ทว่า รัชทายาทแห่งซีเฉียนตามหานางเพื่ออะไร
อีกทั้งยังมาตามหาหลังจากสอบเสร็จแล้ว
“เจ้านายของพวกเจ้าคือรัชทายาทแห่งซีเฉียนใช่หรือไม่” เจียงหลีหยั่งเชิงถามอีกครั้ง
“แม่นางช่างฉลาดนัก” เมื่อเห็นว่านางเดาถูก หลิงไซว่ทั้งสี่ก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป
“ไท่จื่อแห่งซีเฉียนอย่างนั้นหรือ”
เขาขมวดคิ้วถามเจียงหลี “เขาตามหาเจ้าเพื่ออะไร หรือการต่อสู้ของพวกเจ้าคราวก่อนยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ หนึ่งปีแล้วเขายังไม่หายแค้นเจ้าอีกหรือถึงได้มาหาเรื่องอีก”
เจียงหลีกระตุกมุมปาก ยอมให้กับความคิดในหัวสมองของลู่เสวียน
แต่นางก็ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของรัชทายาทซีเฉียนที่ตามหานาง ถึงอย่างไรการปะทะระหว่าสองคนอย่างที่ลู่เสวียนกล่าวมาอาจเป็นเหตุผลเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
“ข้าจะไปกับพวกเจ้า” ด้วยความสงสัยในใจ เจียงหลีจึงเปลี่ยนใจไปตามนัดหมาย
“ไม่ได้!” ลู่เสวียนรีบหยุดยั้ง
เจียงหลีส่งสายตาให้เขา ลู่เสวียนผงะ ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายที่เจียงหลีสื่อทันที
“รัชทายาทเทียบเชิญข้าคนเดียว ไม่ต้องให้เขาไปหรอกกระมัง” เจียงหลีชี้ไปที่ลู่เสวียน
หนึ่งในหลิงไซว่กวาดสายตาสำรวจลู่เสวียนแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “แน่นอน”
“ไปสิ” เจียงหลีพยักหน้า
การให้ความร่วมมือของนางจึงทำให้หลิงไซว่ทั้งสองคนยอมหลีกกายเบิกทางให้ จากนั้นปรากฏรถม้าทรงเตี้ยจอดอยู่ด้านหลัง แววตาของเจียงหลีเป็นประกายวูบไหว ดูท่าทางรัชทายาทอวดดีผู้นี้หาตัวจับยาก ไม่อยากให้ใครรู้ว่านัดเจอกับข้า
เจียงหลีขึ้นรถม้าตามสี่คนนั้นไป
ลู่เสวียนยืนอยู่ที่เดิมมองจนรถม้าลับตาไปจากนั้นจึงรีบวิ่งกลับสถาบันไป๋หยวน ซ้อเล็กถูกรัชทายาทซีเฉียนพาตัวไป ที่จริงข้าต้องไปบอกให้พี่ใหญ่ช่วย แต่การที่พี่ใหญ่มาเมืองอู๋อิ๋นก็เป็นความลับอยู่แล้ว สถานะของเขาตอนนี้ละเอียดอ่อนมาก มิอาจให้คนในราชวงศ์ซีเฉียนล่วงรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ดูแล้วคงทำได้เพียงไปตามคนที่สถาบันไป๋หยวน! ไปหาท่านอาจารย์เฟิง!
ในขณะที่กำลังมองเจียงหลีขึ้นรถม้า ลู่เสวียนก็วิเคราะห์ในใจชัดเจนแล้วว่าควรจะตามใครไปช่วย
เจียงหลีไม่ให้เขาตามไป ไม่ใช่เพราะจะให้เขาหาโอกาสไปตามคนมาช่วยหรือไง!
ลู่เสวียนวิ่งทะยานสู่สถาบันไป๋หยวน
เจียงหลีที่อยู่บนรถม้าก็รู้สึกว่าเสียงวุ่นวายของตลาดด้านนอกค่อยๆ เงียบลง แล้วเอ่ยขึ้นในใจ ดูท่าทางน่าจะพ้นเขตเมืองแล้ว
รถม้าได้รับการปกป้องอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เจียงหลีรู้ว่ามันไปที่ไหน
แต่ทว่า นอกจากเจียงหลีจะเป็นหลิงซือแล้วยังเป็นเนี่ยนซืออีกด้วยจึงแอบใช้พลังอ่านจิตเงียบๆ ในรถม้าออกไป และ ‘มองเห็น’ สภาพภายนอกทุกอย่างอยู่ในสายตา
อีกทั้งนางยังควบคุมก้อนกรวดก้อนหินข้างถนนและทำเครื่องหมายอย่างไม่ชัดเจนนักเอาไว้
เช่นนี้ลู่เสวียนก็จะตามคนมาช่วยได้สะดวก
หลักจากอ้อมวนอยู่นาน ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง
เจียงหลีเรียกพลังจิตกลับคืนมา เมื่อลืมตาขึ้นประตูรถม้าก็ถูกเปิดออกพอดี หลิงไซว่ด้านนอกเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “ลงมา”
น้ำเสียงไร้ซึ่งมารยาททำให้แววตาของเจียงหลีวูบไหวแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นางลุกขึ้นโน้มตัวกระโดดลงจากรถม้า จากนั้นสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างสนใจ
นี่คือทะเลสาบที่สวยงามพร้อมตำหนักหลังงามที่สร้างขึ้นริมทะเลสาบ
และมีป้อมปราการทั้งสี่ด้าน
ช่างเป็นการป้องกันที่แน่นหนาจริงๆ! เจียงหลีหัวเราะเยาะในใจและหันสายตากลับมา
รัชทายาทพระองค์นี้ต้องการพบนางอย่างเงียบเชียบแต่กลับก็ยังอดถือตัวสูงส่งมิได้ คนคุ้มกันที่นี่เยอะขนาดนี้ไม่รู้ว่าคุ้มกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าใกล้หรือบอกให้คนอื่นรู้ว่าอย่ามาเข้าใกล้กันแน่ว่าข้ากำลังวางแผนทำเรื่องลับๆ ที่นี่
“เชิญ”
เจียงหลีเข้ามาในตำหนักโดยการนำทางของหลิงไซว่
ในขณะที่หลิงไซว่กำลังนำทางนางก็แอบสำรวจอยู่หลายครั้ง เมื่อเห็นนางเดินเอ้อระเหยทั้งยังมัวแต่มองสำรวจตำหนักอีก
ท่าทางที่ไม่กังวลเรื่องใดสักนิด พฤติกรรมแปลกเกินไปแล้ว
“รออยู่ตรงนี้”
เมื่อมาถึงประตู หลิงไซว่ก็หยุดเดินแล้วหันมาออกคำสั่งกับเจียงหลี
ใยหน้าของเจียงหลีประดับรอยยิ้มแทบไม่มีความรู้สึกต่อต้าน
หลิงไซว่สบถก่อนจะผลักประตูเข้าไป แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นความเย็นในดวงตาที่ยิ้มของเจียงหลี
หลิงไซว่ไม่ปล่อยให้เจียงหลีรออยู่ข้างนอกนานนักและในไม่ช้าก็ออกมาอีกครั้งและพูดเอ่ยกับนาง “เข้าไปสิ”
เจียงหลีก้าวขาข้ามประตูเข้าไป
ประตูปิดตามหลังจากที่นางเข้าไปแล้ว
เพียงแต่เมื่อเข้าไปแล้ว นางก็ได้กลิ่นเหม็นคาวซึ่งเกิดจากการผสมกันของลมหายใจของสัตว์ร้ายหลายชนิด
แกร่กๆ
เสียงดังของโซ่ทำให้เจียงหลีต้องเงยหน้าขึ้น
ในตำหนักที่ดูเหมือนธรรมดานี้มีกรงที่ทำจากเหล็กชั้นดีอยู่รอบๆ ตัวนาง
ในกรงทั้งแปดนั้นสัตว์ร้ายต่างๆ ถูกขัง ลำคออุ้งเท้าและหลังของพวกมันทั้งหมดถูกมัดด้วยโซ่และยึดติดกับผนัง สาเหตุที่สัตว์ร้ายไม่สามารถส่งเสียงคำรามได้เพราะพวกมันถูกเหล็กครอบปิดปากเอาไว้
“เจ้ามาแล้วหรือ” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากข้างหน้า
เจียงหลีช้อนสายตาขึ้นไปมองและเห็นชายร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากเงามืดช้าๆ
ในมือของเขาเขาถือสิ่งที่เปื้อนเลือดด้วย เมื่อเขาเข้าไปใกล้ เจียงหลีก็ตระหนักว่าเขากำลังถือศีรษะของมนุษย์
ทันใดนั้นเขาโยนศีรษะในมือทิ้งและศีรษะก็กลิ้งไปบนพื้นจนในที่สุดก็หยุดอยู่ตรงหน้าเจียงหลี
“…” เจียงหลีก้มมองหน้าคนนั้นที่เหลือเพียงความน่าหวาดกลัวเอาไว้ ‘ไม่รู้จัก’
เจียงหลีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและสบตากับผู้ชายคนนั้น “รัชทายาท นี่หมายความว่าอย่างไร”
เฉียนลี่กระตุกมุมปากดูเหมือนจะยิ้มให้แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้คนรู้สึกเย็นวาบ “ข้าช่วยเหลือเจ้า เจ้าก็ควรขอบใจข้าสักหน่อยใช่หรือไม่”
ช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ
เจียงหลีขมวดคิ้ว รัชทายาทพระองค์นี้ช่วยเหลือนางเรื่องอะไรหรือ
เฉียนลี่ก้าวเข้ามาหาเจียงหลี เขาคนนี้อาจจะเป็นเพราะไอสังหารมากเกินไป ทันทีที่เขาเดินเข้าใกล้มันทำให้คนอื่นรู้สึกว่าอุณหภูมิโดยรอบลดลง
เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเจียงหลีแล้วค่อยๆ โน้มตัวลงมากระซิบข้างใบหูนาง “การแสดงของเจ้าที่สถาบันไป๋หยวนสร้างความเดือดร้อนให้เจ้า เมื่อเจ้ากลับไปจะได้รับพระราชโองการให้เข้าวังในอีกสามวัน”
ลมหายใจของเฉียนลี่ปะทะเข้าจมูกของเจียงหลีจึงทำให้นางรู้สึกขยะแขยง
การรักษาระยะห่างระหว่างทั้งสองโดยไม่ทิ้งร่องรอย นางแสร้งทำเป็นไม่รู้และถามว่า “การเข้าวังเป็นสิ่งที่ดีจะมีปัญหาได้อย่างไร”
เฉียนลี่ยกยิ้มและเป็นรอยยิ้มประชด “เจ้านี่ช่างใสซื่อจริงๆ” พูดพลางยื่นมือที่เคยหิ้วหัวคนมาลูบสัมผัสแก้มของนาง
เจียงหลีหลบหลีกทันควัน ดวงตาเย็นชาและฉายแววขยะแขยงอย่างปิดไม่อยู่ “จะพูดก็พูดไป แต่มือเท้าไม่ต้องขยับก็ได้”
เฉียนลี่ประหลาดใจไม่ใช่เพราะโกรธที่นางทำท่ารังเกียจแต่กลับชี้ไปที่ศีรษะของคนนั้นแทน “รู้ไหมว่าเขาคือใคร”
………………….