ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 391 แขกผู้มาเยือนเกาะ
ดูเหมือนว่าคนพวกนี้ตายก่อนที่เรือชนโขดหินเสียอีก
เจียงหลีขมวดคิ้วเม้มริมฝีปาก นางไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คนบนเรือเจออะไรมาบ้าง แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใครและต้องการไปที่ไหน
“เสียดายจังเลย ยังหนุ่มยังสาวกลับต้องมาตายที่นี่” เจียงหลีลุกยืนขึ้นแล้วทอดมองรูปพรรณสัณฐานของหญิงสาว
นางยังดูสวย แต่ถ้านางยังมีชีวิตอยู่จะต้องเป็นสตรีรูปงามมากแน่ๆ
หลังจากที่ครุ่นคิด เจียงหลีจึงผลักร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวออกทะเล นางไม่เคยรู้จักกันและนางไม่ใช่คนประเภทที่จะขุดหลุมฝังศพให้ใครด้วย
สำหรับเจียงหลี คนที่ตายไปแล้วจะฝังดินหรือจมลงทะเลก็เหมือนกันทั้งนั้น
“คนบนเรือพวกนั้นคงจะเป็นญาติของเจ้ากระมัง ถ้าเช่นนั้นก็ให้เจ้าได้กลับไปอยู่พร้อมหน้าซะเถิด” เจียงหลีเฝ้าดูหญิงสาวถูกน้ำซัดและจมลงทะเลเงียบๆ
นางไม่สนใจสืบหาความจริงของเรื่องนี้ สำหรับนางแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ
สิ่งเดียวที่ทำให้นางเสียใจก็คือกว่าจะเห็นเรือสักลำไม่ใช่ง่ายๆ แต่ทว่าเรือลำนี้กลับกลับล่ม…จมไปแล้ว
สายตาของเจียงหลีทอดมองบนเรือที่จมลงไปในทะเลเหลือเพียงโครงร่างเล็กน้อยและหัวใจของนางก็ปวดร้าวในใจ ถ้าเรือไม่จมก็ไม่มีคนตาย บางทีนางอาจจะออกจากเกาะด้วยการล่องเรือลำนี้
“ไปกันเถอะหลิวหลี เรากลับกันเถอะ” เมื่อสิ้นสุดการถอนหายใจเจียงหลีก็หันไปมองเจ้าก้อนขนที่นางวางไว้บนชายหาด
เมื่อนางมองย้อนกลับไปก็ถึงกับผงะ ทันใดนั้นนางก็พูดอย่างเดือดดาล “ข้าเพิ่งอาบน้ำให้เจ้าไปเมื่อครู่นี้เอง ทำไมเจ้าถึงสกปรกมอมแมมอีกแล้วล่ะ”
“…” เจ้าเปี๊ยกไร้คำพูดใดๆ
สภาพมันเปียกม่อล่อกม่อแลกถูกทิ้งไว้บนชายหาดจะไปสะอาดได้อย่างไร
“เฮ้อ ช่างเถอะๆ เดี๋ยวค่อยอาบใหม่ก็ได้” เจียงหลีส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแล้วแอบคิดร้ายในใจ เลี้ยงสัตว์เลี้ยงนี่มันวุ่นวายจริงๆ ไหนจะต้องกินต้องดื่ม ไหนจะต้องอาบน้ำอีก!
อีกอย่างจนถึงตอนนี้เจียงหลีก็ยังไม่รู้เลยว่าสัตว์ที่นางเลี้ยงนี่มันคือตัวอะไรกันแน่!
เมื่อยอมรับชะตากรรมในความมอมแมมก็อุ้มมันขึ้นมา คราวนี้เจียงหลีมีสำนึกพอที่จะไม่โยนมันลงทะเลให้ตาย แต่กลับพามันไปที่สระน้ำเล็กๆ ที่พวกเขาเจอกัน
น้ำตกที่ตกลงมาในสระน้ำขนาดเล็กนี้มีคุณภาพน้ำที่ใสซึ่งสบายกว่าน้ำทะเลที่เค็มมาก
“ฮ่าๆๆ…หลิวหลี คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะว่ายน้ำเป็น มาเร็ว รีบว่ายมาหาพี่สาว อย่าแอบสิ…”
ในเสียงน้ำสาดกระเซ็นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะมีความสุขของเจียงหลี
ในสระน้ำที่ไม่ใหญ่นักมีหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวที่กำลัง ‘เล่น’ สนุกสนาน
เฮ้อ…
“ไม่ต้องกลัว!” เจียงหลีไล่ตามจับเจ้าเปี๊ยก
แต่เจ้าเปี๊ยกกลับหลบหนีอย่างว่องไว หนีให้ห่างไกลไม่อยากเข้าใกล้หญิงสาวที่กำลังเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่ง
“หลิวหลี ทำไมเจ้าต้องหนีข้าด้วย” เสื้อผ้าบนตัวเจียงหลีเปียกไปหมด เส้นผมเปียกชื้นปล่อยสยายกลางหลัง ลำตัวครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในน้ำแล้วกำลังถามเจ้าก้อนขนที่อยู่ไกลๆ
“…” เจ้าก้อนขนหน้าดำ
แม้ว่าสีขนของมันจะปิดบังใบหน้าทั้งหมดของมันเอาไว้ แต่สายตาของมันในตอนนี้กลับเย็นชา
สมควรตาย สภาพมันในตอนนี้จะสามารถถูกหญิงสาวเลือดร้อนกอดเอาไว้ในอ้อมอกได้หรือ
เขาไม่ใช่พวกชอบความเจ็บปวดที่อยากจะทรมานตัวเองให้ตาย!
อยู่ห่างๆ อย่างน้อยก็สามารถหักห้ามใจตัวเองได้
“เอาล่ะๆ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว เจ้าอาบเสร็จรึยัง ถ้าอาบเสร็จแล้วเราก็ไปกันเถอะ” เจียงหลีเล่นไปสักพักก็รู้สึกเหนื่อยในที่สุดก็ปล่อยเจ้าก้อนขน
เมื่อได้ยินคำสั่ง ‘นิรโทษกรรม’ ของหญิงสาว เจ้าเปี๊ยกก็กระโดดขึ้นจากน้ำ ฟิ้ว… และหายวับไปในพงหญ้าทันที
“…” มุมปากของเจียงหลีกระตุกอย่างรุนแรงแล้วบ่นออกมาหนึ่งประโยค “ต้องขนาดนี้เลยรึ”
เจียงหลีไม่เข้าใจวิธีการของเจ้าเปี๊ยกเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นกังวลมากเกินไป มาถึงเกาะน้อยไม่กี่วัน นอกจากพวกนางก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตตัวที่สามเลย ฉะนั้นบนเกาะน้อยน่าจะไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดที่สามารถข่มขู่ได้อีกแล้ว
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เจียงหลีแปลกใจคือพ่อแม่ของเจ้าเปี๊ยกอยู่บนเกาะนี้หรือไม่ ถ้าหากอยู่แล้วตลอดเวลาทำไมถึงไม่ออกตามหาล่ะ
ถ้าหากไม่ได้อยู่แล้ว เช่นนั้นเจ้าเปี๊ยกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“เสียดายที่เจ้าพูดไม่ได้ มิฉะนั้นคงทำอะไรได้ชัดเจนกว่านี้” เจียงหลีถอนหายใจอย่างจนปัญญาแล้วลุกขึ้นมาจากน้ำ
หลังจากนางใช้พลังวิญญาณทำให้ผ้าแห้งนางก็ไม่ได้ไปตามหาเจ้าก้อนขนและเก็บผลไม้ระหว่างทางเดินไปถ้ำที่พักอาศัยอยู่
เมื่อกลับมาถึงถ้ำภูเขาเจียงหลีก็กินผลไม้บางส่วนและนำส่วนที่เหลือวางบนใบตองของเจ้าเปี๊ยก จากนั้นจึงเริ่มฝึกบำเพ็ญ
รอจนนางออกจากการฝึกฝนถึงพบว่าเจ้าเปี๊ยกกลับมาตอนไหนก็ไม่รู้กำลังกินผลไม้อยู่เงียบๆ
“หลิวหลี เจ้าทันกลับมาเมื่อไหร่”
เมื่อเห็นเจ้าก้อนขนกลับมาแล้ว เจียงหลีก็อดยิ้มไม่ได้
พอตอนกลางคืนเจ้าก้อนขนก็ปีนขึ้นมานอนตักเจียงหลีเอง ส่วนเจียงหลีก็นอนกอดมันไว้ในอ้อมอกอย่างเป็นธรรมชาติ
“หลิวหลี ตลอดเวลาทำไมเจ้าถึงไม่ส่งเสียงร้องสักนิดเลยล่ะ หรือว่าเจ้ามิอาจส่งเสียงได้ ให้ข้าดูให้เจ้าดีไหม” เจียงหลีโอบเจ้าเปี๊ยกเอาไว้และแปลกใจเล็กน้อย
ถึงมันจะพูดภาษาคนไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะส่งเสียงร้องได้บ้าง ตั้งแต่อยู่ด้วยกันกี่วันมันกลับไม่ส่งเสียงร้องเลยสักนิด
เจ้าก้อนขนที่มีความง่วงซึมหลังจากได้ยินคำพูดของนางก็ส่ายหัวช้าๆ เพื่อปฏิเสธความหวังดีของนางที่จะช่วยตนตรวจดู
เมื่อเห็นว่ามันยืนกราน เจียงหลีก็ไม่ฝืนบังคับอีก
หนึ่งคนหนึ่งขนเผื่อแผ่ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงเข้าสู้ห้วงนิทรา
จะพูดไปก็ถือว่าแปลกประหลาด ค่ำคืนนี้เจียงหลีนอนหลับสนิทไร้สิ่งรบกวนภายนอก แล้วก็ฝันเหมือนเดิม ฝันถึงชายหนุ่มผู้นั้นที่นางคร่ำครวญคะนึงหา
เช้าตรู่ นางก็ตื่นจากฝันที่กำลังหยอกล้อกับชายหนุ่ม
เจียงหลีที่ลืมตาขึ้นในห้วงอารมณ์สับสน แม้กระทั่งเจ้าเปี๊ยกกระโดดออกจากอ้อมแขนนางไปแล้วยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“เจ้าใช้วิธีการนี้เพื่อเข้ามาเจอกับข้าในฝันรึ”
เจ้าเปี๊ยกที่เพิ่งวิ่งออกจากถ้ำไปได้ยินเจียงหลีพึมพำ ร่างทั้งร่างก็หยุดชะงักอยู่กับราวกับโดนกระแสไฟ
…
วันนี้เจียงหลียังคงต่อแพไม้ของนาง
เจ้าก้อนยืนเงียบอยู่ข้างๆ ดูท่าทางเงอะงะของนางตอนที่กำลังเจาะแพโดยไม่พูดอะไรสักคำและไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
จู่ๆ เจียงหลีก็เงยหน้าขึ้นมามองไกลไปที่ทะเลแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น
เจ้าเปี๊ยกก็มองไปที่ทะเลเช่นเดียวกับนาง ในระดับน้ำทะเลที่พร่ามัวภาพเงาของเรือค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“มีเรือ!” ดวงตาของเจียงหลีเป็นประกาย นางที่ติดเกาะมาหลายวันพอได้เห็นความหวังอีกครั้งก็อดตื่นเต้นไม่ได้
เดิมทีเจียงหลีก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าเรือลำนี้อาจแค่แล่นผ่านไปมองไม่เห็นนาง นางกำลังคิดว่าจะจุดสัญญาณไฟดีหรือไม่ แต่เรือลำนั้นก็แล่นเข้ามาทางเกาะนี้พอดี
เรือมีความเร็วมาก เร็วกว่าเรือลำนั้นตอนที่เจียงหลีออกเดินทางจากหนานฮวงเสียอีก
ในขณะที่เรือเข้ามาใกล้เกาะน้อยก็มีเงาร่างสามคนเหาะออกมาจากเรือเพื่อมายังเกาะน้อย
ลมหายใจทั้งสามไหลลงมาในเวลาเดียวกันและพวกเขาทั้งหมดมีพลังอันแข็งแกร่ง
เจียงหลีที่ยืนตรงชายหาดรู้สึกได้ถึงลมหายใจของทั้งสาม นางหรี่ตามองและสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา “หลิงจง!”
คิดไม่ถึงว่าสามคนนี้จะเป็นหลิงจงผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับเดียวกับนาง ลมหายใจของหนึ่งในนั้นยังคงแผ่วเบาอยู่เหนือนาง…