ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 4 ฆ่าแกงกันไปใย ค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า
ฆ่า?
จะฆ่าทิ้งเลยหรือ
เจียงหลีมองไปยังชายหนุ่มอย่างตะลึง แถมมุมปากที่มีคราบเลือดติดก็ยังไม่ทันได้เช็ดเลย
หลังจากที่จบคำพูดของลู่เจี้ย มีหลายคนวิ่งเข้ามาทันที สายตาที่แต่ละคนมองนางราวกับกำลังดูของที่ไร้ชีวิต แต่เมื่อสายตาหันไปเห็นผู้เป็นนายยืนเปียกโชกอยู่ข้างสระน้ำ ล้วนตกใจเป็นอย่างยิ่ง รีบตรงเข้ามาถามไถ่อย่างเป็นห่วง
“นายน้อย เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ให้คนรีบเข้ามาเร็ว พานายน้อยไปเปลี่ยนเสื้อ แล้วอย่าลืมเชิญหมอเทวดามาด้วย” ดูทว่าพวกเขาลืมเจียงหลีเสียแล้ว แต่ว่าเจียงหลีกลับสัมผัสถึงจิตสังหารที่ยังคงหมุนเวียนอยู่รอบตัวนาง ยังไม่ทันได้คิดเรื่องคนรูปงามจนเหมือนจะไม่ใช่คน เป็นผู้ชายที่อ่อนแอ แต่กลับระเบิดพลังออกมาได้มากขนาดนี้ นอกจากความเจ็บปวดสาหัสที่นางได้รับแล้ว ยังมีพลังที่นางมองไม่เห็นโจมตีใส่ตัวนางอีก นี่มันอะไรกัน เจียงหลียังไม่ได้คำตอบ กลับโดนคนดึงขึ้นจากน้ำแล้ว พลันโยนลงพื้น
ฟิ้ว!
แสงจากใบดาบสะท้อนให้เห็นถึงความแหลมคม แต่บัดนี้วางอยู่บนหัวนาง คำสั่งของลู่เจี้ยจะไม่พูดเป็นครั้งที่สองถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นห่วงร่างกายของนายน้อยมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่ได้ขัดขวางการปฏิบัติตามคำสั่งของนายน้อย
“ช้าก่อน” เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ เจียงหลีอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว
การดึงเขาลงน้ำนั่นเป็นเพียงการลองใจ แต่เมื่อชายผู้นี้อ่อนแอกว่าที่คิดไว้ นางจึงจะจับมาเป็นตัวประกันเพื่อหนีออกจากสถานที่แห่งนี้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรือจะพลิกคว่ำในรางน้ำเสียเอง เจียงหลีกลอกตาไปมาไม่ว่าจะแอบแค้นในมากแค่ไหน นางต้องหาวิธีแก้วิกฤตครั้งนี้ให้ได้ และด้วยเรือนร่างของนางตอนนี้ ไม่สามารถต่อสู้กับคนเหล่านี้ได้ อีกทั้งร่างกายนี้ยังได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่ ทำนางกระอักเลือด เห็นได้ชัดว่าออกแรงไม่กับนางไม่น้อย
เจียงหลีเปิดปากพูดขึ้นแล้ว แต่ลู่เจี้ยกลับเพิกเฉยไม่สนใจ
ชายผู้นี้!
เมื่อผิวหนังสัมผัสถึงดาบที่กำลังจะปาดคอ รีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ผู้มีผลงานล้นฟ้าย่อมสั่นคลอนบัลลังก์ หรือเจ้าจะไม่อยากรู้ภัยที่อาจส่งผลต่อตระกูลลู่ได้”
“หยุดก่อน” ในที่สุดลู่เจี้ยก็ออกเสียง เขาหันกลับไปมองเจียงหลีอย่างเย็นชา
“นายน้อย นางเป็นเพียงแค่ทาสไร้ค่า แต่บังอาจทำร้ายท่าน ฆ่าทิ้งจะดีกว่า” ผู้อารักขาที่ถือดาบอยู่ที่เจียงหลีกล่าวขึ้นมา ผู้อารักขาที่ยืนอยู่ด้านหลังลู่เจี้ยเองก็แสดงสีหน้ากังวล “นายน้อย ท่านควรรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่เช่นนั้นจะป่วยได้นะขอรับ”
ตระกูลลู่ซึ่งเป็นตระกูลมหาอำนาจมาหลายรุ่น อาศัยอยู่เมืองซูหนาน ทั้งยังเป็นถึงขุนนางชั้นหนึ่งของราชวงศ์โฮ่วจิ้น มีอำนาจมหาศาล ทว่า มีข่าวลือว่านายน้อยตระกูลลู่นี้มีร่างกายที่อ่อนแอไม่สามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้ ดังนั้นเขาจึงพักรักษาอาการป่วย น้อยนักจะออกมาพบปะผู้คน ด้วยความที่เขาเกิดมามีหน้าตาที่หล่อเหลา จึงมีฉายาว่า ‘หนุ่มรูปงามขี้โรค’ เจียงหลีจัดเรียงข้อมูลในหัวเกี่ยวกับชายผู้นี้ทันที
แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่เคยแนะนำตัวเองเลย ที่เจียงหลีสามารถสันนิษฐานได้ เป็นเพราะที่นี่คือซูหนาน เขารูปงามแต่ร่างกายอ่อนแอ อีกทั้งตรงเอวมีสัญลักษณ์ตราตระกูลลู่
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกับคำบอกเล่าคือ พลังที่ระเบิดออกมาเมื่อครู่นี้คืออะไรกัน
เจียงหลีเก็บความสงสัยไว้ในใจ แสร้งยิ้ม “ใช่ๆ นายน้อยลู่ท่านรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ข้าไม่รีบ ถ้าเกิดท่านไม่สบายขึ้นมา มันจะเป็นความผิดของข้าเอาได้ ข้าจะรอท่านกลับมา แล้วค่อยคุยกันอย่างละเอียด”
หึ!
เสียงดูถูกถากถางอย่างเย็นชาจากผู้อารักขาเมื่อเห็นท่าทีเสแสร้งแกล้งทำของเจียงหลี
ทว่าเจียงหลีเองก็ไม่ได้ใส่ใจ อีกทั้งยังกล้ายื่นมือไปเลื่อนดาบที่อยู่บนคอให้ห่างออกไปเล็กน้อย “อย่าพูดแต่เรื่องฆ่าแกงกันสิ เรามาคุยกันดีๆ กันก่อนเถิด”
“เฝ้านางไว้” ลู่เจี้ยทิ้งคำสั่งไว้ก่อนจะเดินจากไป
เจียงหลีมองตามลู่เจี้ยที่เดินจากไปด้วยสายตาที่ชื่นชม “คนงามย่อมเป็นคนงาม ถึงจะตกอยู่ในสภาพอนาถเช่นนี้ ก็ยังดูดีไม่ใช่เล่น”
“ถ้าเจ้ายังกล้าพูดจาไร้มารยาทอีก ข้าจะสังหารเจ้าทันที” ผู้อารักขาที่เฝ้านางอยู่เอ่ยขึ้นมา เพราะคำว่า ‘หยุดก่อน’ ที่ลู่เจี้ย มีความหมายเพียงให้ไว้ชีวิตทาสน้อยนี้เพียงชั่วคราว ไม่ได้หมายความว่านางจะรอดตาย
เจียงหลีแหงนหน้ามองแวบหนึ่งแล้วเม้มปาก นั่งหลับตาทำสมาธิ ผู้อารักขาเห็นนางตอนนี้ถึงกับเบิกตากว้าง เหตุใดนางยังทำตัวเฉยได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจียงหลีไม่ได้พักผ่อนอยู่ แต่ต้องใช้เวลาอันสั้นทบทวนความทรงจำเดิมของ ‘ร่างนี้’ โชคดีที่ ‘ร่างนี้’ มีชื่อเหมือนนางอยู่แล้ว จึงช่วยลดปัญหาได้เยอะ คำพูดที่หยุดลู่เจี้ยไว้ได้ เป็นเพราะก่อนที่ตระกูลเจียงจะเกิดเรื่องขึ้น ร่างเดิมมีความจำเป็นเลิศ เมื่อพบเห็นสิ่งใดแล้วจะไม่ลืมเป็นอันขาด นางคอยช่วยบิดาจัดเก็บเอกสารต่างๆ รู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้อยู่มาก เมื่อนางสัมผัสได้ว่าลู่เจี้ยตั้งใจฆ่านาง จึงต้องช่วยหาทางช่วยตัวเองให้ได้ หากจะเอาตัวรอดได้ จำเป็นต้องแสดงคุณค่าในตัวให้เป็นที่ประจักษ์ ทว่าจนถึงตอนนี้นางก็ไม่รู้จุดประสงค์ที่เขาจับนางมา
เขา จะเป็นคนไร้ประโยชน์ดั่งคำร่ำลือหรือไม่
ดูท่าแล้ว เร็วๆ นี้ข้ายังหนีออกจากที่นี่ไม่ได้ ที่นี่คือที่ใด ใช่จวนตระกูลลู่ในเมืองซูหนานหรือไม่ หรือเป็นที่พักรักษาตัวของเขา เจียงหลีคาดเดาอยู่ในใจ
ขณะเดียวกัน นางเองก็แทบจะน้ำตาตกใน เดิมทีคิดว่าถ้ากลับไปที่โลกเดิม นางอยากกลับไปกวาดล้างกับมู่ชิงเกอ แต่ใครจะไปรู้ว่านางจะถูกทิ้งไว้ที่นี่ อีกทั้งร่างกายที่อ่อนแอนี้ ฟื้นขึ้นมาไม่ถึงวันก็ต้องเจอกับวิกฤตชีวิตอีก
เฮงซวย!
ต้องทรมานกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ
นางมีศักดิ์เป็นถึงราชินีแห่งแคว้นกู่วู นอกจากศึกที่ต่อสู้กับมู่เทียนอินแล้ว ยังไม่เคยตกอยู่สถานะที่ตกต่ำเช่นนี้มาก่อน แล้วดูร่างตอนนี้สิ ทั้งเล็กและผอมแห้ง ไร้เสน่ห์สิ้นดี
เฮ้อ! คิดถึงตัวเองในเมื่อก่อนเสียจริง เจียงหลีคิดอย่างอาลัยตายอยาก
เฮ้อ!
เฮ้อออ!
ผู้อารักขาที่เฝ้าเจียงหลี เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของนาง ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เห็นนาง ประเดี๋ยวเศร้า ประเดี๋ยวลังเล ประเดี๋ยวก็โกรธแค้น ประเดี๋ยวก็ทำหน้าเหมือนคนท้องผูก จึงกำดาบในมือแน่นกว่าเดิมอย่างไม่รู้ตัว
ทาสคนนี้ท่าจะเป็นบ้า เดี๋ยวต้องระวังไว้ไม่ให้เข้าใกล้นายน้อยเด็ดขาด ผู้อารักขานึกอยู่ในใจ
…
เจียงหลีรอนานจนนางคิดว่าที่จริงลู่เจี้ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว แต่อาจจะนอนกอดบ่าวคนสวยที่ไหนอยู่ คนงามขี้โรคก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เอ่อ…
อันที่จริง ควรพูดว่านางโดนผู้อารักขาหิ้วขึ้นเหมือนลูกไก่แล้วพามาหาลู่เจี้ยต่างหาก ทันทีที่เดินเข้าประตูมา นางก็ได้กลิ่นยาสมุนไพร ลู่เจี้ยที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกำลังนั่งอยู่กับที่ ถัดมาเป็นผู้เฒ่าผมขาวหงอกที่สวมชุดสีขาว กำลังตรวจจับชีพจรให้เขา
“คุกเข่าลง” ผู้อารักขาพูดด้วยเสียงดุดัน
เจียงหลีไม่สนใจ ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นไม่ขยับตัว เพราะตอนนี้นางก็รู้สึกว่าไม่สบายไปทั้งตัวเช่นกัน แต่เดิมเสื้อผ้าก็สกปรกอยู่แล้ว หลังจากที่เปียกน้ำมันกลับแนบชิดกับร่างนางขึ้นอีก แม้แต่สระน้ำก็ไม่ได้ช่วยทำให้นางสะอาดขึ้น แต่กลับทำให้นางดูสกปรกมากขึ้นไปอีก
“ชี้แจงสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ หากเจ้าพูดให้กระจ่างขึ้น ไม่แน่ ข้าอาจยกโทษให้เจ้า” ลู่เจี้ยนั่งอยู่ที่สูงกว่า มองมาที่นางด้วยสายตาที่เยือกเย็น