ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 433 ถูกดูดเข้าไปแล้ว!
พบมู่ชิงเหยียนครั้งนี้ เจียงหลีมิได้พูดอะไร เพียงแค่ชำเลืองมองแล้วถอนสายตาทันที
“หัวหน้าลูกศิษย์ของเขาเฟิ่งอู่ซานมีสองคนอย่างนั้นหรือ” เจียงหลีเหลือบมองชายและหญิงสองคนนั้นแล้วจึงมองไปที่กงเสวี่ยฮวาด้วยสีหน้าแปลกๆ
กงเสวี่ยฮวามองไปที่ชายคนนั้น “ไม่ใช่ หัวหน้าลูกศิษย์คือชายคนนั้น ชื่อของเขาคือ เฟิ่งเทียน และตอนนี้เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกฝนหลิงจงระดับเจ็ดแล้วล่ะ”
“แล้ว…แล้วหญิงสาวผู้นั้นล่ะ” เจียงหลีถามอีกครั้ง
กงเสวี่ยฮวายิ้มกว้างขึ้นอีก “นางคือเฟิ่งเซียน บุตรสาวสุดที่รักคนเดียวของหัวหน้าเขาเฟิ่งอู่ซานเป็น
หลิงจงระดับสาม และคุณหนูแห่งเขาเฟิ่งอู่ซาน”
“แซ่เฟิ่งทั้งหมดเลยหรือ” เจียงหลีประหลาดใจ
กงเสวี่ยฮวาอธิบาย “เมื่อใดที่ได้กลายเป็นแกนนำลูกศิษย์ของเขาเฟิ่งอู่ซานแล้วนั้น ก็จะได้รับแซ่เฟิ่งจากหัวหน้าเขาและกลายเป็นคนในตระกูลไปโดยปริยาย”
‘คนในตระกูล’ คำสุดท้ายในประโยคของเขานั้น ฟังแล้วราวกับกำลังล้อเล่น
เจียงหลีได้ค้นพบความแตกต่างระหว่างตำแหน่งและสถานะในเขาเฟิ่งอู่ซานแล้ว
เกรงว่ามู่ชิงเหยียนจะยังมิได้เป็นศิษย์หลักของเขาเฟิ่งอู่ซานในเวลานี้
“ว่ากันว่าหัวหน้าเขาเฟิ่งอู่ซานใคร่ยกบุตรสาวสุดที่รักของเขาให้กับเฟิ่งเทียนผู้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเขาเฟิ่งอู่ซาน และเฟิ่งเซียนก็ชื่นชมเฟิ่งเทียนเป็นอย่างมาก และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนในเขาเฟิ่งอู่ซานล้วนทราบกันดี” กงเสวี่ยฮวากล่าวอีกครั้ง
เจียงหลีมองดูเขาด้วยท่าทางแปลกๆ คนที่ถูกมองก็รู้สึกถูกมองจนหนังหัวชาไปหมด จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีอะไรหรือ”
“เจ้าเปลี่ยนมารับจ้างเป็นผู้สืบข่าวแห่งยุทธภพดีกว่า” เจียงหลีพูดหยอกล้อ
กงเสวี่ยฮวาถึงกับสำลัก “ผู้สืบข่าวอะไรกัน ไม่น่าฟังเสียจริง ที่เจ้าไม่รู้ในสิ่งที่ข้าเล่าให้ฟัง นั่นก็เพราะเจ้ามีระดับขั้นที่ต่ำเกินไป และติดต่อกับผู้คนน้อยเกินไป แถมยังเพิ่งลงเขามาด้วย”
ไม่มีการประชดในคำพูดเขาพูด เจียงหลียังรู้ด้วยว่าภูมิหลังของนายน้อยจากกลุ่มอำนาจเช่นเขานั้นต้องไม่เลวแน่นอน
ในเวลานี้ เฟิ่งเทียนและเฟิ่งเซียนก็ได้มาถึงพื้นที่ว่างนั้นแล้ว
ที่นั่น มีเบาะรองนั่งทรงกลมอยู่สองอัน จุดธูปไว้ตรงกลาง นี่ก็จัดแจงได้…อยู่นะ กับท่าทางของคนอื่นที่กล้าโกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปากนั้น พวกเขาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย กระทั่งระหว่างคิ้วของเฟิ่งเซียนยังให้ความรู้สึกเหนือกว่าปรากฏขึ้น
“ชิงเหยียน เจ้ามาทำสมาธิข้างๆ ข้าสิ” ทันใดนั้น เฟิ่งเทียนก็หันไปมองมู่ชิงเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังและพูดขึ้น
ใบหน้าของเฟิ่งเซียนนิ่งชาไปครู่หนึ่ง ดวงตาของนางมองไปที่มู่ชิงเหยียนอย่างชั่วร้าย
มู่ชิงเหยียนรีบก้มศีรษะและปฏิเสธ “ไม่ล่ะ ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าอยู่ที่นี่ดีแล้วเจ้าค่ะ”
“ชิงเหยียน” เฟิ่งเทียนพูดอย่างหมดความอดทน
สายตาที่แสดงว่าหมดความอดทนแต่กลับเจือปนไปด้วยความเอ็นดูนั้น ทำให้หญิงสาวหลายคนหลงใหล
แต่ทว่า เจียงหลีหรี่ตาของนางและพูดเยาะเย้ยว่า “เฟิ่งเทียนผู้นี้ คิดจะก่อเรื่องหรือนี่!”
กงเสวี่ยฮวาหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ดูเหมือนว่าเฟิ่งเทียนจะตกหลุมรักเพื่อนของเจ้าแล้วสิ”
“เขามีเฟิ่งเซียนแล้วมิใช่หรือ” เจียงหลีขมวดคิ้ว
กงเสวี่ยฮวากล่าว “เฟิ่งเซียนน่ะสนใจในตัวเขา แต่เขายังคงสานสัมพันธ์แบบคลุมเครืออยู่เสมอ ในขณะนี้ การแสดงความปรารถนาดีของเขาต่อศิษย์หญิงคนอื่นๆ เป็นเพียงความห่วงใยของพี่ชายที่มีต่อน้องสาวเท่านั้น ใครจะสามารถเอาผิดเขาได้”
เหอะๆ เจียงหลีหัวเราะเยาะ
กงเสวี่ยฮวาชะงักและพูดอย่างนึกขันว่า “บางที เขาอาจตั้งใจทำเช่นนั้น เพื่อให้เพื่อนของเจ้าไม่มีที่ยืนในเขาเฟิ่งอู่ซานนี้ จนต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขาก็เป็นได้นะ”
“เจ้าต้องการจะสื่ออะไร” เจียงหลีหรี่ตาและถามด้วยรอยยิ้ม
กงเสวี่ยฮวาติดตลก “เปล่าๆ ไม่มีอะไร พวกเราก็รีบไปทำสมาธิกันเถอะ”
“ที่นี่เนี่ยนะ เจ้าเป็นนายน้อยวังเทียนอู่กงเชียวนะ” เจียงหลีล้อเลียนเขา
แต่กงเสวี่ยฮวากลับกล่าวว่า “นายน้อยผู้นี้ ไม่เหมือนเทียนเจียวบางคนหรอก ที่ต้องเข้าใกล้ซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งถึงจะบรรลุได้ ด้วยความสามารถของข้าแล้วนั้น ถึงแม้จะยืนอยู่ที่ไกลโพ้น ก็บรรลุได้เช่นกัน”
โชคดีที่พวกเขายืนอยู่ที่ห่างไกล มิเช่นนั้น หากผู้คนในเขาเฟิ่งอู่ซานได้ยินสิ่งที่เขาพูดไปล่ะก็ เกรงว่าความพยายามจะสูญเปล่าไปอีกครั้ง
แต่จากคำพูดไม่กี่คำของเขา เจียงหลีก็เห็นแล้วว่าเขามีความทรงจำที่ไม่ดีต่อเขาเฟิ่งอู่ซานนี้! ไม่ดีมากๆ เสียด้วยสิ!
เมื่อมองไปที่ด้านหน้าของซากกำแพงปรักหักพัง เฟิ่งเทียนและเฟิ่งเซียนก็นั่งไขว่ห้างบนฟูกอยู่แล้ว
หลังจากที่มู่ชิงเหยียนปฏิเสธ เฟิ่งเทียนก็มิได้บังคับ และนางยังคงยืนอยู่ท่ามกลางศิษย์ของเขาเฟิ่งอู่ซานเช่นเดิม แต่ก็เพียงพอแล้วที่กล่าวได้ว่า นางได้ถูกมองข้ามไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้หญิงของพี่ใหญ่ จะให้คนอื่นดูหมิ่นได้เยี่ยงไร แสงเย็นวาบในดวงตาของเจียงหลี มองไปยังซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งอย่างตั้งใจ
เมื่อนางมองดูกำแพงที่พังทลายด้วยสมาธิอย่างเต็มที่ ตี้จวินที่อยู่ในอ้อมแขนของนางก็ลืมตาขึ้น และเหลือบมองดูกำแพงที่พังอยู่ข้างๆ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
เจียงหลียืนอยู่ห่างไกลออกไปมาก และเมื่อนางจ้องมองไปตรงซากกำแพง นางรู้สึกเพียงดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงอยู่บนกำแพงแตกหักนี้ ซึ่งดูสดใสเป็นพิเศษ
เสียงอื่นในหูของนางค่อยๆ แผ่วไป และทุกคนบนแท่นก็หายไปในสายตาของนาง รวมถึงกงเสวี่ยฮวาที่ยืนอยู่ข้างๆ นางก็ดูเหมือนจะหายไปด้วย
ดูเหมือนนางจะเปล่งประกายระยิบระยับไร้หนทาง
กำแพงอวิ๋นเมิ่งเกี่ยวข้องกับกลองศิลาจารึกจริงๆ หรือ คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของเจียงหลีขณะที่นางกำลังนั่งสมาธิอยู่
กลองศิลาจารึก…กลองศิลาจารึก…
ตำนานของกลองศิลาจารึกเป็นเรื่องจริงหรือไม่ กลองศิลาจารึกที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกดินแดน มีวิธีการสูงสุดในการทะลุมิติจริงหรือไม่ กลองศิลาจารึกที่หายไปของหนานฮวงไปตกอยู่ที่มือของผู้ใดกัน แล้วซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งจะสามารถให้คำตอบหรือเบาะแสได้หรือไม่
เจียงหลีดูเหมือนจะจมอยู่ในซากกำแพงแตกหักและค่อยๆ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกลองศิลาจารึก นี่คือจุดประสงค์ที่นางมาที่นี่
ทันใดนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงความแวววาวที่เปล่งประกายต่อหน้าต่อตา กลายเป็นรัศมีดาบที่พุ่งออกไปทุกทิศทุกทาง
เป็นวิญญาณดาบที่แข็งแกร่งยิ่งนัก! เจียงหลีประหลาดใจ
นางรู้สึกถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวและทรงพลังต่อรัศมีดาบเหล่านั้น และยังมี…พลังควบคุมจิตที่แข็งแกร่งไม่ยอมศิโรราบอีกด้วย!
สงคราม!
จิตวิญญาณแห่งดาบนั้นดุร้าย ตรงไปด้านหน้าราวจะไม่ยอมถอยกลับแม้นจะเผชิญอันตรายใดๆ ก็ตาม มีเพียงเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลและทะลุทะลวงสรรพสิ่ง
สงคราม ก็ต้องเป็นเช่นนี้!
สู้สุดความสามารถ ไม่ยอมอ่อนข้อ เพื่อให้มีชีวิตรอด
นี่คือการรับรู้ถึงพลังควบคุมจิตที่ไม่ยอมแพ้ แล้วกลองศิลาจารึกล่ะ หัวใจของเจียงหลีเต้นแรง พลังแห่งเจตจำนงทำให้นางรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่นางสนใจมากกว่าคือเรื่องของกลองศิลาจารึก
ทันใดนั้นเอง นางรู้สึกว่ามีประตูบานหนึ่งเปิดออกท่ามกลางแสงเจิดจ้าตรงหน้านาง มีแรงดึงมหาศาลกระชากตัวนางเข้าไปด้านใน
…
เฟิ่งเซียนลืมตาขึ้นและพูดขึ้นอย่างหมดความอดทนว่า “ว่ากันว่าซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งนี้เก็บซ่อนความลับไว้ และความลับนั่นก็เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝน แต่ข้าไม่รู้ว่าข้ามาที่นี่กี่หนแล้ว กลับไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วท่านล่ะศิษย์พี่”
เฟิ่งเทียนลืมตาขึ้น ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขายังคงอ่อนโยนราวกับเทพ “ข้า…เห็นเพียงเลือนลาง” แต่ความจริง เขาไม่เห็นอะไรเลย เพียงแค่ไม่อยากขายหน้าเท่านั้น
แน่นอนว่าเฟิ่งเซียนไม่สงสัยในตัวเขา เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สายตาของนางก็ปรากฏความนับถือออกมา “ศิษย์พี่ ท่านเป็นอัจฉริยะจริงๆ สามารถรับรู้ได้ถึงซากกำแพงแตกหักนี้ได้”
เฟิ่งเทียนยิ้มเล็กน้อยด้วยท่าทางสงบ
เฟิ่งเซียนรู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอ นางยืนขึ้นและเผชิญหน้ากับผู้คนนับพันที่เข้าสมาธิอยู่เบื้องหลัง โดยไม่คำนึงถึงการรับรู้ทางสมาธิของพวกเขาในตอนนี้ นางตะโกนว่า “เจ้าพวกสวะทั้งหลาย แม้ว่าพวกเจ้าจะนั่งจนบรรลุที่นี่ ก็มิอาจเทียบกับศิษย์พี่ของข้าได้!”
ฟิ้ว!
ทันทีที่เสียงของนางจบลง ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหานางและกระแทกนางลงกับพื้น จากนั้นก็ถูกกำแพงดูดเข้าไป…