ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 464 ให้เรียกว่าจยาเซียน
เจียงหลีมีสีหน้ามึนงง
แต่ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย นางคิดว่าตนเองควรจะพูดอะไรสักอย่าง
“เจ้าหมายความว่า…” นางมองกงเสวี่ยฮวา
กงเสวี่ยฮวาเผยมืออย่างไม่ยี่หระ “ข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอรึ กลุ่มอำนาจของซีฮวงต่างแบ่งแยกกันทั้งหมด ล้มไปหนึ่งก็ผุดขึ้นมาอีกหนึ่ง หากไม่มี แคว้นที่ถูกล้มล้างอำนาจการปกครองก็จะถูกกลุ่มอำนาจอื่นในระดับเดียวกันคว้าไปครอง ตอนนี้ข่าวการล่มสลายของสำนักพรตเสวียนหมิงยังไม่เผยแพร่ออกไป เจ้ายังสามารถนำแย่งชิงก่อนได้หนึ่งก้าว” พูดจบเขายักคิ้วให้อีกด้วย
สามารถก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตนเองในซีฮวงได้ด้วยหรือ
เจียงหลีขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนอื่นเลย…
นางหันไปทางหนานอู่เฮิ่นและเฟิงสิงอวิ๋นซึ่งทั้งสองก็เข้าใจความหมายของนาง หนานอู๋เฮิ่นจึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ายังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มอำนาจฮวงเสินอย่างเป็นทางการ ไม่ถือว่าขัดต่อกฎเกณฑ์”
เฟิงสิงอวิ๋นยังกล่าวอีกว่า “ที่นี่ไกลจากฮวงเสินมาก ภูมิศาสตร์ก็ทุรกันดาร ถึงแม้เจ้าจะก่อตั้งกลุ่มอำนาจขึ้นมาก็ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องอะไร”
หากทางด้านฮวงเสินไม่มีปัญหา เจียงหลีก็สามารถคลี่คลายไปได้หนึ่งเปราะ
แต่นางกลับหันไปหากงเสวี่ยฮวาแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ทั้งสองมือของข้าว่างเปล่า ข้าจะเอาอะไรไปก่อตั้งกลุ่มอำนาจ”
“กลุ่มอำนาจระดับต่ำจำเป็นต้องมีหลิงหวังนั่งปกครอง” กงเสวี่ยฮวาพูดจบก็หันไปมองที่เจียงเฮ่า
เจียงเฮ่าชัดเจนในใจ เขาเม้มริมฝีปากเงียบหันไปมองสายตายืนยันของเจียงหลี เพียงแค่เอ่ยปากเขาก็ไม่สนสิ่งใดทั้งนั้น
“แต่พี่เฮ่าเป็นลูกศิษย์เป็นหัวใจสำคัญของฮวงเสินนี่นา!” ลู่เสวียนเอ่ยเตือน
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ ไม่ได้เป็นเจ้าสำนักสักหน่อย เสนอชื่อเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ก็ได้กระมัง” กงเสวี่ยฮวามองไปที่หนานอู๋เฮิ่นกับเฟิงสิงอวิ๋นแล้วหัวเราะ
ในซีฮวงเมื่อผู้คนจากหลายมหาอำนาจเดินทางออกไป พวกเขาจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ปกครองกิตติมศักดิ์ของกลุ่มอำนาจอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ตราบใดที่พวกเขาไม่ขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจเดิม โดยพื้นฐานก็มักจะไม่สนใจ
“ถูกต้อง เพียงแค่เสนอชื่อผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ ฮวงเสินก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว” เฟิงสิงอวิ๋นกล่าวยืนยัน
“เช่นนั้นข้าก็อยากเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์” ลู่เสวียนเอ่ยหัวเราะ
กงเสวี่ยฮวากลับปราดตามองเขาอย่างดูถูก “เจ้ารึ เป็นแค่หลิงจงขั้นหก ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ”
“นี่! ชักจะเกินไปแล้ว!” ลู่เสวียนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ลู่เสวียนเป็นผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมและเขามีสายเลือดพิเศษที่สามารถยกระดับได้ อย่างไรก็ตาม ผลสืบเนื่องจากความบกพร่องสายเลือดนี้มากเกินไป ซึ่งทำให้ฐานการบำเพ็ญของเขาต่ำกว่าคนรอบข้าง
“มีหลิงหวังนั่งครองเมือง แทบจะถือว่าเป็นกลุ่มอำนาจได้ แต่ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่นานได้ พี่ใหญ่ก็เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วกลุ่มอำนาจนี้จะกลายเป็นเปลือกที่ว่างเปล่า” เจียงหลีพูดอย่างช่วยไม่ได้
สิ่งที่นางต้องทำมีมากเกินไป ไม่มีทางที่จะอยู่ที่นี่ได้นานตั้งแต่แรก
อีกอย่างคนรอบกายนางเหล่านี้ต่างมีเรื่องที่ตนเองต้องทำเช่นกัน ไม่สามารถขอร้องให้พวกเขาเสียสละทุกอย่างเพื่อนางได้ ไม่มีใครอยู่รอบตัว แม้ว่าความคิดในการสร้างกลุ่มอำนาจจะยอดเยี่ยม เจียงหลีจึงทำได้เพียงส่ายศีรษะด้วยความเสียดาย
ตำแหน่งของสำนักพรตเสวียนหมิงคือกลุ่มอำนาจระดับต่ำทางตอนใต้ดินแดนตะวันตกซีฮวง พูดได้ว่าอยู่ใกล้หนานฮวง หากมีกลุ่มอำนาจของตัวเองในที่แห่งนี้ เช่นนั้นก็สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่าซีฮวงและหนานฮวงได้ ก่อนที่ปัญหาเรื่องกลองศิลาจารึกของหนานฮวงยังไม่คลี่คลาย คนของหนานฮวงถึงจะสามารถแอบส่งคนมาฝึกฝนที่นี้ได้
ดังนั้น ไม่ว่าจะมาจากการพิจารณาของตัวเองหรือคนของซีฮวง ข้อเสนอของกงเสวี่ยฮวานั้นถือว่าดีเยี่ยม น่าเสียดายที่ไม่มีใครอยู่ในมือของเจียงหลี และเป็นเรื่องยากสำหรับสตรีที่ฉลาดในการทำกับข้าวโดยไม่มีข้าว!
“ให้ข้าอยู่เถอะ” จู่ๆ มู่ชิงเหยียนก็เปิดปากพูด
เจียงหลีเงยหน้ามองนาง ดวงตาเจียงเฮ่าก็วูบไหวด้วยความประหลาดใจ ส่วนคนอื่นก็พากันมองนาง
เมื่อมู่ชิงเหยียนได้รับความสนใจจากทุกคน นางยิ้มเล็กน้อย “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่คนของกลุ่มอำนาจใด แล้วไม่มีที่ไหนที่อยากไปเป็นพิเศษ อยู่ที่นี่ดูแลแทนทุกคนก็ไม่เลวนัก”
“เจ้าไม่คิดจะไปฮวงเสินพร้อมกับพวกข้าหรือ” เจียงหลีถามจบก็หันไปหมองเจียงเฮ่าที่มีสีหน้าตึงเครียด
“ไม่ล่ะ” มู่ชิงเหยียนส่ายหน้าช้าๆ นางเองก็กวาดสายตามองไปทั่วใบหน้าของเจียงเฮ่าโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว “ข้าคิดว่าอยู่ที่นี่คงจะดีมากๆ”
เมื่อพูดจบนางก็หันไปมองเจียงหลี “เจียงหลี เจ้ายอมเชื่อใจข้าหรือไม่”
ยอมเชื่อใจมู่ชิงเหยียนหรือ
เจียงหลียิ้ม
บางทีโชคชะตาระหว่างคนเรานั้นช่างวิเศษยิ่งนัก สำหรับมู่ชิงเหยียนตอนแรกเจียงหลีไม่เคยมองนางเป็นคนในตระกูลมู่เลย แต่คิดว่านางเป็นคนในตระกูลเจียงมาโดยตลอด
นางเหลือบสายตามองผู้เป็นพี่ชายของตนเอง แล้วถามอย่างหยอกล้อ “พี่ใหญ่ ข้าสามารถเชื่อใจนางได้หรือไม่”
หลังของเจียงเฮ่าตั้งตรงแข็งทื่อ ในหัวสมองของเขาสับสนไปหมด เขามองมู่ชิงเหยียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จู่ๆ ก็ก้าวออกมาจับข้อมือของมู่ชิงเหยียนแล้วบีบบังคับให้นางออกไปด้วยกัน “เจ้ามากับข้า”
“อันที่จริง พี่ชิงเหยียนเป็นคนดีคนหนึ่ง” ลู่เสวียนมองหลังทั้งสองที่ออกไปแล้วอุทานออกมา
“เหอะๆ” เจียงหลีแสร้งหัวเราะแล้วเอ่ยกับคนที่เหลือ “เช่นนั้นพวกเรามาหารือกันต่อเถิด เช่น ชื่อของกลุ่มอำนาจใหม่แล้วจะก่อร้างสร้างอำนาจขึ้นมาอย่างไร”
“ตั้งชื่อก่อนดีกว่าไหม!” ลู่เสวียนเอ่ยขึ้นอย่างให้ความสนใจ
กงเสวี่ยฮวาก็พยักหน้าเห็นด้วย
กลุ่มคนเริ่มการสนทนาที่ดุเดือดที่นี่ แต่เจียงเฮ่าลากมู่ชิงเหยียนออกไปก่อนที่จะปล่อยมือของนาง
แรงของเขาไม่เบาเลย เขาจับข้อมือของมู่ชิงเหยียนจนขึ้นรอยแดง แต่มู่ชิงเหยียนกลับไม่ส่งเสียงร้องเพียงแต่ยอมรับมันเงียบๆ เท่านั้น
เจียงเฮ่าสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “ทำไมเจ้าต้องลำบากตัวเองด้วย”
“ข้าเปล่านะ” มู่ชิงเหยียนอธิบาย
นางเงยหน้าขึ้นและมองดูผู้ชายที่นับวันยิ่งหล่อเหลา นี่เป็นการสนทนาครั้งแรกระหว่างทั้งสองหลังจากการพบกันอีกครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้สนทนากันเป็นการส่วนตัว เขาจะไม่อ่อนโยนกับนางสักนิดเลยหรือ
“แต่เจ้าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเสียสละเพื่อพี่น้องของข้าเลย” เจียงเฮ่ายังคงมีน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ข้าไม่ได้เสียสละสักหน่อย” แววตาของมู่ชิงเหยียนเป็นประกายโศกเศร้า
เจียงเฮ่าหันหน้าไปมองนาง ในขณะที่กำลังจะโมโหแต่เขากลับเห็นน้ำตาของนางจึงทำให้เขาใจอ่อน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เช่นนั้นเจ้าทำแบบนี้ทำไม”
“สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง และข้าไม่ได้ฝืนตัวเองเพื่อส่วนรวมด้วย” มู่ชิงเหยียนปกป้องตัวเองอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง เพราะชื่อของกลุ่มอำนาจใหม่ กงเสวียฮวาเถียงกับลู่เสวียนจนเจียงหลีปวดหัวตุ้บๆ นางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงล้มหมากทั้งกระดานแล้วเอ่ยว่า “ก็ให้เรียกว่าจยาเซียนก็แล้วกัน”
“จยาเซียน?” กงเสวี่ยฮวาอึ้งค้าง ไม่เข้าใจความหมายของชื่อนี้
แต่ลู่เสวียนกลับหัวเราะขึ้นมา “จยาเซียนก็ดีน่ะสิ ก็ให้เรียกว่าจยาเซียนแล้วต่อท้ายว่าอะไรดีล่ะ วังจยาเซียน ตำหนักจยาเซียน โรงเตี๊ยมจยาเซียน ไม่มีชื่อไหนเพราะเลย”
“สำนักจยาเซียนดีไหม” กงเสวี่ยฮวาเอ่ยขึ้น
“ไม่เพราะสักนิด เขาจยาเซียนล่ะ”
“ยิ่งไม่เพราะไปกันใหญ่ หอจยาเซียนล่ะ”
“เมืองจยาเซียนดีไหม”
“โรงจยาเซียน”
“…”
“พอได้แล้ว!” เจียงหลีกระตุกมุมปาก อยากหยุดความคิดของพวกเขา “ข้าบอกแล้วไงว่าให้เรียกว่าจยาเซียน” นางใช้ชื่อดินแดนและอาณาจักรเดียวกัน หากต่อท้ายด้วยคำใดๆ จะถือว่าขัดอำนาจของนาง
“อืม ใช้ชื่อจยาเซียนเถอะ เพิ่มมาอีกตัวอักษรมันดูลดทอนอำนาจ” หนานอู๋เฮิ่นพยักหน้าเห็นด้วย
เฟิงสิงอวิ๋นก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าใช้ชื่อจยาเซียนก็ดี”