ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 466 เมืองซู่หยา
“เจ้าคิดดีแล้วหรือว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ” เจียงเฮ่าถามซ้ำอีกหน
“อืม” มู่ชิงเหยียนพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ระหว่างพวกเขาสองคนภายนอกเหมือนไม่มีอะไร แต่ภายในใจกลับเหมือนเก็บซ่อนอะไรไว้อยู่ ราวกับว่ามีกำแพงมาขวางกั้นตรงหน้าระหว่างพวกเขาไว้
สิ่งที่สามารถพูดได้ก็มีเพียงไม่กี่ประโยคพวกนั้น
บางประโยคที่มิใช่สิ่งที่คิดไว้แต่แรกก็กลับพูดออกมาอย่างอดมิได้
“หากเจ้าไปจากที่นี่ บางทีอาจจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ก็ได้” เจียงเฮ่าพูดจบก็มานึกเสียใจทีหลัง อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ เสียจริง
มู่ชิงเหยียนช้อนตามองเขาด้วยความตกใจและแฝงไว้ด้วยความผิดหวัง
นางไม่เอ่ยคำใด เจียงเฮ่ายิ่งใจไม่ดี กลัวว่านางจะเปลี่ยนใจจากไปจริงๆ ภายหน้าก็คงจะมิอาจพบนางได้อีก
จากนั้นมู่ชิงเหยียนก็สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ฝืนยิ้มกล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหากข้าอยู่ต่อจะไม่มีอนาคตที่ดี”
ประโยคนี้แฝงไว้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและความดื้อรั้นทำเอาเจียงเฮ่าใจหล่นวูบ
เขาตอบเสียงไม่พอใจไปว่า “ตามใจเจ้า” แล้วก็หันหลังเดินจากไป
มู่ชิงเหยียนเห็นแผ่นหลังเขาเดินจากไปก็วิ่งหนีไปด้วยความพ่ายแพ้ทั้งน้ำตานองหน้าโดยไม่ไตร่ตรองอันใด
“เรื่องแค่นี้เอง! อย่าร้องสิมู่ชิงเหยียน! มิใช่ครั้งแรกที่ไอ้บ้านั่นโกรธเจ้าเสียหน่อย” มู่ชิงเหยียนบอกกับตัวเองแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
…
เจียงเฮ่าและมู่ชิงเหยียนกลับมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เพียงแต่ว่ายามที่มู่ชิงเหยียนมาถึงนั้นขอบตานางแดงก่ำ
ทุกคนล้วนเห็นกันหมดแต่กลับไม่ได้ซักไซ้อันใด
เจียงหลีเหลือบตามองพี่ชายของตนคราหนึ่งแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเหยียนว่า “หลังจากนี้สามวันเราจะไปที่ที่เจ้าขึ้นฝั่งมาในคราแรก”
มู่ชิงเหยียนชะงัก นางรู้ว่าเจียงหลีจะไปตรวจสอบเรื่องการค้ามนุษย์จึงได้พยักหน้ารับ
“เรื่องอันใด” เจียงเฮ่าเอ่ยถาม
เจียงหลีจึงได้เล่าเรื่องที่เจอมู่ชิงเหยียนคราแรกให้ฟัง “…มีคนจากหนานฮวงมาซีฮวงเพื่อค้ามนุษย์โดยแอบอ้างว่าเป็นเรือสินค้า เรื่องนี้เดิมทีข้ายังไม่มีเวลาไปตรวจสอบ แต่ในเมื่อยามนี้ที่นี่ต้องใช้เวลาในการปรับปรุงพักหนึ่ง ก็ถือโอกาสนี้ไปดูเสียหน่อย”
“นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ลู่เสวียนเอ่ยด้วยความโมโห
เหวินเหรินชิ่งชิ่งเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดีจึงกล่าวว่า “คนพวกนี้เลวทรามนัก คิดไม่ถึงว่าจะเห็นคนเป็นสินค้าเช่นนี้ ยังดีที่ตอนนั้นชิงเหยียนหนีออกมาได้”
เจียงเฮ่าจ้องมู่ชิงเหยียนเขม็งด้วยสายตาเกรี้ยวกราดที่ยังคงไม่จางหายไป สีหน้าเขาบูดบึ้ง เขาไม่รู้มาก่อนว่านางเกือบจะถูกขายไปแล้ว!
เขาจะต้องหาคนพวกนั้นที่กล้าขายนางให้เจอแล้วหั่นศพพวกมันเป็นหมื่นๆ ชิ้นให้ได้!
“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” เจียงเฮ่าเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
“ข้าก็ด้วย!”
“ข้าก็ด้วย!”
ลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่งต่างเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เดี๋ยวๆ พวกเจ้าไปกันหมดแล้วทางนี้จะทำอย่างไร” กงเสวี่ยฮวาเอ่ยเตือนขึ้น “แต่เจ้าเป็นถึงหลิงหวังที่มีเพียงผู้เดียวเชียวนะ!”
เจียงเฮ่าถลึงตามอง “เจ้ามิใช่นายน้อยแห่งวังเทียนอู่กงหรอกหรือ มีเจ้าเป็นผู้ปกครอง ผู้ใดยังจะกล้าก่อเรื่องได้อีก” เจียงเฮ่ามองเขาคราหนึ่ง
เขาจะปล่อยให้เจียงหลีกับมู่ชิงเหยียนเดินทางกันเพียงลำพังได้อย่างไร
“เอ๋” กงเสวี่ยฮวาลุกขึ้นถกแขนเสื้อ “ข้าชักจะโมโหแล้วนะ! ข้าช่วยเหลือผู้คนด้วยความยินดี เหตุใดกลายเป็นหาเรื่องยุ่งยากมาใส่ข้าเสียได้”
เขาพบว่าคนกลุ่มนี้ล้วนเป็นประเภทชี้นิ้วสั่งคนอื่นส่วนตัวเองไม่ลงมือทำอันใดทั้งนั้น
“ฮวาฮวา รบกวนเจ้าหน่อย” เจียงหลีเอ่ยปากขึ้น
กงเสวี่ยฮวาพลันก้มหน้าลงอย่างหมดอารมณ์แล้วส่งเสียง “อืม” คำหนึ่ง
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขายอมเจียงหลีกันล่ะ แรกเริ่มเดิมทีเขามีชีวิตรอดจากยันต์ธาราทมิฬมาได้ แล้วตระหนักถึงทักษะการต่อสู้ของดินแดนในตำนานจากแผนที่ดาราเทพสงคราม ต่อมาก็ข้ามขั้นไปสังหารหลิงหวังขั้นสามได้ด้วยพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เขาจำเป็นต้องยอมนาง! ยิ่งไปกว่านั้น เจียงหลีมีความสามารถรักษาคนได้ หากไปยั่วโมโหนางเข้าแล้วเกิดนางเห็นเขาใกล้ตายแล้วไม่ช่วยจะทำอย่างไร
“เอาล่ะ ข้าจะตัดสินใจเอง ครั้งนี้เราไปสืบหาความจริง หากลงมือได้ก็จะได้จัดการไปให้เสร็จสิ้น หากมิได้ เราค่อยหาโอกาสลงมือ ดังนั้นจำนวนคนไม่ต้องเยอะ ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังต้องการคนอยู่ แค่ข้า พี่ใหญ่และมู่ชิงเหยียนสามคนออกเดินทางก็พอ คนอื่นๆ อยู่ที่นี่เถอะ” เจียงหลีใช้ฐานะจักรพรรดินีมาจัดแจงตัดสินเสร็จสรรพ
“อืม เจียงเฮ่ายามนี้เป็นถึงหลิงหวัง มีเขาอยู่ด้วย พวกเราก็วางใจลงได้บ้าง” หนานอู๋เฮิ่นพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
เฟิงสิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นว่า “นึกไม่ถึงว่าซีฮวงจะยังมีอำนาจไปจัดการถึงหนานฮวงได้ หลังสืบรู้เรื่องนี้ได้แน่ชัดแล้ว พวกเราก็ต้องไปรายงานที่ฮวงเสินอีก”
เหตุใดกลุ่มอำนาจฮวงเสินจึงสนใจหนานฮวงเป็นพิเศษเล่า เหตุใดพวกเจียงหลีที่มาจากเทียนเจียวจึงจะไปฮวงเสินกันหมด อันที่จริงกงเสวี่ยฮวาพอจะเดาคำตอบไว้ในใจได้แล้ว แต่ในเมื่อเจียงหลีไม่ให้เขาถาม เขาก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้
…
หลังจากคนทั้งกลุ่มปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้วก็ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน
สามวันต่อมาต่างยุ่งกันให้วุ่น ยุ่งเสียจนเจียงหลีเท้าไม่ติดพื้น ซ้ำยังทิ้งเจ้าเปี๊ยกไว้ที่ห้องอีก เมื่อสร้างอำนาจกลุ่มใหม่ขึ้นจึงมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย
นางไม่เกี่ยงงอนในฐานะผู้นำของกลุ่มอำนาจ
ลูกศิษย์ที่รับเข้ามาใหม่ต่างเรียกนางว่า ‘ผู้นำเซียน’ ส่วนมู่ชิงเหยียนที่เป็นผู้ดูแลก็กลายเป็นรองผู้นำเซียน
สามวันต่อมาพวกเจียงหลีก็ออกเดินทาง
มีนกปี้อวิ๋นจากวังเทียนอู่กงเป็นพาหนะเช่นเดิม มุ่งหน้าไปยังเมืองซู่หยาที่มู่ชิงเหยียนขึ้นฝั่งมาในตอนนั้น
นกปี้อวิ๋นรวดเร็วมาก ไม่ถึงสามวันดีก็มาถึงเมืองซู่หยาแล้ว
หากนั่งรถม้ามาล่ะก็ เกรงว่าระยะทางเท่านี้จะต้องใช้เวลาราวๆ เดือนหนึ่งเห็นจะได้
…
เมืองซู่หยาเป็นเมืองที่ดูแล้วเหมือนเมืองธรรมดาทั่วไปเมืองหนึ่ง
ภายในเมืองมีโรงเตี๊ยมหอสุราและร้านรวงเรียงรายมากมาย ผู้คนก็คึกคัก มีทั้งคนที่ฝึกฝนตนและคนธรรมดา
พวกเจียงหลีสามคนหาโรงเตี๊ยมพักได้ที่หนึ่ง ส่วนเจียงเฮ่าออกไปสืบหาข่าวคราว
ไม่นานนักเขาก็กลับมาบอกกับเจียงหลีและมู่ชิงเหยียนว่าเมืองซู่หยาแห่งนี้เป็นเมืองขึ้นของแคว้นที่ชื่อว่าลั่ว
และกลุ่มอำนาจเบื้องหลังของแคว้นลั่วนี้เป็นของหลีหุนจงที่มีเป็นกลุ่มอำนาจระดับกลาง
“หลีหุนจงหรือ” เจียงหลีที่อยู่ภายในห้องพักถอนใจให้ตัวเองที่ไม่เข้าใจกลุ่มอำนาจในซีฮวงเท่าใดนัก หลีหุนจงเป็นกองกำลังที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อนอีกแล้ว
“กลุ่มอำนาจในซีฮวงมีมากมาย ข้าที่มาที่นี่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ยังล่วงรู้ถึงอำนาจทั้งหมดของที่นี่ไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับอาหลี” เจียงเฮ่าปลอบนางคำหนึ่ง
“ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน” มู่ชิงเหยียนเอ่ยขึ้นตาม แล้วเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยคในขณะนั้นว่า “หากนายน้อยกงอยู่ที่นี่ล่ะก็ อาจจะบอกข่าวคราวเกี่ยวกับหลีหุนจงให้พวกเราก็ได้”
เหอะ!
เจียงเฮ่าได้ยินมู่ชิงเหยียนพูดถึงชายอื่นก็พลันไม่ชอบใจ
“จะไปพึ่งพาแต่เขาก็ไม่ได้” เจียงหลีเอ่ยขึ้นแล้วถามพี่ชายตนว่า “พี่ใหญ่ ท่านได้สืบรู้เบื้องหลังของหลีหุนจงคนนี้มาหรือไม่”
เจียงเฮ่าส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่ไหนแต่ไรมาหลีหุนจงผู้นี้ทำตัวลึกลับ น้อยนักที่จะปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะชน แต่ชื่อเสียงกลับโด่งดัง พอคนที่นี่ได้ยินเข้าสีหน้าก็พลันเปลี่ยน ข้าจึงสืบข่าวอันใดมิได้เลย”
“ไม่รู้ว่าเรื่องค้ามนุษย์นี่จะเกี่ยวข้องกับหลีหุนจงด้วยหรือไม่” มู่ชิงเหยียนขมวดคิ้วเอ่ยเสียงขรึม
เจียงเฮ่าพลันเงยหน้าขึ้น “จริงสิ เมืองซู่หยาแห่งนี้แม้จะอยู่ในความดูแลของหลีหุนจงก็จริง แต่กลับตั้งอยู่ในพื้นที่ระหว่างหลีหุนจงกับกลุ่มอำนาจระดับกลางอีกกลุ่มหนึ่ง”
“กลุ่มอำนาจใด” เจียงหลีถาม
“วังเวิ่นฉิง” เจียงเฮ่าตอบ