ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 93 เลือดเนื้อเชื้อขัยของตระกูลลู่ ขอฝากไว้กับเจ้าแล้ว
หรือว่า…พลังลึกลับนั้น ไม่ใช่แค่เมื่อขณะที่ลู่เจี้ยป่วย จึงจะปล่อยออกมาในปริมาณที่เพียงพอ แต่เมื่อจิตใจของเขาไม่เสถียร ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาเหมือนกันอย่างนั้นหรือ ดวงตาของเจียงหลีเปล่งประกายราวกับว่าเขาได้ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่!
หากการคาดเดาเป็นอย่างนั้นจริง จากนี้ไปนางก็ไม่ต้องรอให้ลู่เจี้ยป่วย เมื่อใดที่ต้องการ เพียงแค่หยอกล้อแกล้งเขา พยายามหยอกล้อและแกล้งเขาอย่างเต็มที่! และเมื่อทำให้เขารู้สึกจิตใจปั่นป่วน นางก็จะสามารถรับพลังแบบนั้นได้!
ฮ่าๆๆ—-!
เจียงหลีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในใจ การค้นพบครั้งนี้ น่ายินดียิ่งกว่าการได้รับการเลื่อนขั้นสามระดับติดต่อกัน
เป็นอย่างที่คิดหรือไม่ แค่ลองดูก็รู้แล้ว!
คิดแล้วก็ต้องทำเลย
เจียงหลีกะพริบตา หันหน้าไปทางลู่เจี้ยที่ดวงตาค่อยๆ ปิดลง
นางรู้สึกได้ถึงร่างกายที่แน่นหนาของชายหนุ่ม นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นว่าเขาหายใจอย่างอดกลั้น
“เจียงหลี ปล่อยมือ” ลู่เจี้ยกัดฟัน สีหน้าดูไม่ได้ เขาไม่กล้ายอมรับว่าเขาถูกล่อลวงโดยหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ยังไม่โตเต็มที่นี้
แต่ว่าเจียงหลีเองก็กล้ามากยิ่งขึ้น เกาะอยู่บนตัวเขาเหมือนอย่างปลาหมึกยักษ์ “ไม่ปล่อย ให้ตายก็ไม่ปล่อย”
“เจ้าคิดจะทำอะไร” ลู่เจี้ยพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง
บนขมับของเขา มีเส้นเลือดสีเขียวที่เริ่มกระตุกแล้ว
“ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่อยากเข้ามาใกล้ๆ ท่าน” เจียงหลีตอบอย่างตรงไปตรงมา นางซื่อสัตย์มาก!
แน่นอนว่าคำพูดที่นางพูดมานั้นเป็นความจริง แต่กลับทำให้ลู่เจี้ยกัดฟันและเตือนว่า “อย่ามาเล่นกับไฟ!”
เจียงหลีใช้กำลังเพื่อพลิกตัว เมื่อลู่เจี้ยถูกพลิกตัว นางก็กดเขาไว้ใต้ร่างกาย วางมือบนหน้าอกของเขา รู้สึกได้ว่าเขาหายใจรัวเร็ว เจียงหลีอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ พลังลึกลับนี้ เป็นยาบำรุงชั้นยอดสำหรับนาง!
“เจียงหลี!” ลู่เจี้ยกัดฟัน
เขาไม่เคยอับอายขนาดนี้มาก่อน หญิงสาวคนนี้ ช่างกล้าจริงๆ! ไร้การฝึกอบรมเสียจริง!
“อืม”
เจียงหลีใช้เสียงจมูกตอบออกมาหนึ่งคำ
เสียงแห่งความปีติยินดีนี้ ทำให้ร่างกายของลู่เจี้ยสั่นสะท้าน เขาพบว่ามีผู้หญิงที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษซ่อนอยู่ในร่างเล็กๆ นี้!
แต่ว่า แท้จริงแล้วเจียงหลีไร้เดียงสามาก เสียงที่รู้สึกเสียวซ่านของนาง เป็นเพียงเพราะนางได้ดูดซับพลังนั้น และรู้สึกสบายมาก พอดีกับที่เขาเพิ่งเรียกนาง นางจึงตอบสนอง
ให้ตายสิ!
ลู่เจี้ยสาปด่าไปหนึ่งประโยค ทันใดนั้นก็พลิกตัวและกดเจียงหลีลงให้อยู่ใต้ร่างกายของเขา เขาพูดด้วยความโกรธ “นี่ เจ้าอย่าพยายามมากระตุ้นข้า”
จากนั้น เขาผลักเจียงหลีออกอย่างรุนแรง และลุกขึ้นด้วยความโกรธแล้วเดินจากไป
เจียงหลีไม่ได้สนใจเขาในตอนนี้ นางกังวลเพียงเรื่องการดูดซับพลังที่เหลืออย่างรวดเร็ว
และพลังจิตของนางก็รวมตัวและเป็นจริงโดยไม่รู้ตัว ในสติสัมปชัญญะ ก็กลายเป็นดั่งมือน้อยๆ ของทารก
ทันใดนั้น เจียงหลีลืมตาขึ้น และลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ในดวงตาที่สุกใสของนาง ดูเหมือนจะมีแสงที่สุกใสเจิดจ้าส่องออกมา
นางจ้องมองผ้าที่ปูอยู่บนเตียง ผ้าผืนนั้นขยับหนึ่งที ลอยขึ้นอย่างช้าๆ และลอยขึ้นไปในอากาศ
ข้างนอกผ้าม่านคลุมเตียง ลู่เจี้ยยืนอยู่หลังเสา จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยความตกใจ
เจียงหลีที่เพิ่งสัมผัสกับเนี่ยนลี่ และได้กลายเป็นเนี่ยนซือในระดับแรก! ความสามารถของนางช่างน่าทึ่งจริงๆ นอกจากนี้เหตุใดนางจึงดูดซับพลังเหล่านั้นเอาไว้ใช้เองได้!
ลู่เจี้ยไม่ได้โง่ ภายใต้การยั่วยุที่เจตนาของเจียงหลี เขารู้สึกได้ถึงการปลดปล่อยพลังลึกลับนั้น
สำหรับนางแล้ว ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกครั้งที่ดูดซับพลังนี้!
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ลู่เจี้ยงงงวยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม ตามข้อตกลงแล้ว เจียงหลียิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดีสำหรับเขามากเท่านั้น
เพียงแต่ว่า——
ลู่เจี้ยหันกลับและจากไปอย่างเงียบๆ
หากนั่นจะเป็นการทรมานตัวเขา และเป็นประโยชน์ต่อเจียงหลี เขาก็ยินดีที่จะเห็นมันเกิดขึ้น สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจก็คือ ทุกครั้งที่เจียงหลีดูดพลังงานของเขาเข้าไป ร่างกายจะเป็นเหมือนเมื่อครู่หรือไม่
หากไม่ใช่เพราะการควบคุมตนเองที่น่าทึ่งของเขา เกรงว่าภายใต้การหยอกล้อที่เย้ายวนใจนี้ จะทำบางอย่างที่ต่ำช้ากว่าสัตว์ร้ายออกมา
ลู่เจี้ยจากไป และเจียงหลีก็ไม่ได้สนใจ หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝนแล้ว รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ ของนาง “เนี่ยนซือ! ในที่สุดข้าก็ได้เป็นเนี่ยนซือ!” ได้เข้าใกล้การควบคุมเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อไปอีกระยะหนึ่งแล้ว
……….
เมื่อหนานอู๋เฮิ่นจากไป ได้บอกเจียงหลีว่าจะต้องไปรายงานตัวที่สถาบันไป๋หยวนภายในเดือนหน้า
ระยะทางระหว่างเมืองซูหนานกับซั่งตูห่างกันหลายพันลี้ แม้จะใช้ม้าเร็วแค่ไหน ก็ต้องเดินทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นเวลาหลายวัน
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับการเดินทางไปซั่งตูครั้งนี้ นายน้อยผู้บอบบางก็จะเดินทางไปด้วย
เพื่อหลีกเลี่ยงการกระแทกบนท้องถนน ตระกูลลู่จึงออกเดินทางก่อนเวลา และใช้เวลาครึ่งเดือน ในที่สุดก็ส่งลู่เจี้ยไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
“จวนตระกูลลู่ที่ซั่งตู?” เจียงหลีกระโดดลงจากรถม้า ยืนอยู่หน้าประตูที่สูงตระหง่าน เงยหน้าขึ้นและมองไปที่แผ่นโลหะใต้ชายคานี้
ลู่เจี้ยออกเดินทาง พร้อมด้วยผู้ติดตามอย่างมากมาย
แม้แต่ลู่จ้านเองก็ออกเดินทางมาด้วย
ในเวลานี้ กองพลได้รวมตัวกันใหม่ และลู่เจี้ยก็ก้าวลงจากรถม้า ทุกคนรู้สึกว่าดวงตาของพวกเขาสว่างขึ้น ราวกับว่ามีฉากที่สวยงามอยู่ตรงหน้า
“เจี้ยเอ๋อร์”
ทันใดนั้นมีเสียงเรียกเบาๆ ดังมาจากประตู
เจียงหลีที่ยืนอยู่ข้างลู่เจี้ยก็ได้หันมา เห็นหญิงสาวที่สง่างามเดินออกมาจากประตูเรือนที่เปิดอยู่ รีบเดินลงบันไดและมาหาลู่เจี้ย โดยไม่คำนึงถึงสาวรับใช้ที่คอยพยุงอยู่เบื้องหลัง
เจียงหลีสังเกตเห็นว่า เมื่อลู่เจี้ยเห็นหญิงสูงวัยที่งดงามผู้นี้ ดวงตาที่สงบและไม่เปลี่ยนแปลงนั้นก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย “ท่านแม่!”
นางคือแม่ของลู่เจี้ย! พระชายาลู่! เจียงหลีแอบตกใจกับตัวตนของหญิงงามตรงหน้า
“ดี ดี!” พระชายาลู่มองไปที่ลู่เจี้ยอย่างตื่นเต้น พยักหน้าและพึมพำซ้ำๆ “เดินทางมาเหนื่อยหรือไม่ รีบเข้าไปในเรือนและพักผ่อนเถอะ”
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไป” ลู่เจี้ยตอบกลับแม่ของเขา ในเวลานี้สายตาของเขาเคลื่อนออกไป และมองไปที่เจียงหลีทำให้คนข้างหลังสะดุ้งอยู่ในใจ
ทันใดนั้น ความรู้สึกไม่ดีก็เกิดขึ้นในใจของเจียงหลี
ไม่ทันที่นางจะคิดมากไปกว่านี้ ก็เห็นลู่เจี้ยแสดงรอยยิ้มที่ลึกซึ้ง และพูดกับพระชายาแห่งตระกูลลู่ว่า “ท่านแม่ นางก็คือหลีเอ๋อร์”
เจียงหลีกะพริบตา ไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงแนะนำตัวนางอย่างจงใจ
แน่นอนว่า ท่าทีของพระชายาลู่ทำให้วิญญาณของนางตกใจจนกระเจิงไป
“ที่แท้เจ้าก็คือหลีเอ๋อร์! เจ้าดูงามจริงๆ!” หลังจากที่พระชายารู้จักตัวตนของเจียงหลีแล้ว ก็ปล่อยลู่เจี้ยออกไปทันที แล้วเดินไปจับมือของเจียงหลีด้วยความรักใคร่ ดวงตาจับจ้องไปที่ร่างกายของนาง หลังจากนั้นก็ถอนหายใจ “อายุยังน้อยไปบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจี้ยเอ๋อร์ชอบ หลีเอ๋อร์ เจ้าต้องดูแลร่างกายให้ดี เลือดเนื้อเชื้อขัยของตระกูลลู่ ขอฝากไว้กับเจ้าแล้ว”
หะ?
ตูมมม!
จู่ๆ เจียงหลีรู้สึกเหมือนถูกฟ้าฝ่า คิดว่าตัวนางเองได้ยินผิดไป หรืออาจเข้าใจความหมายในคำพูดของพระชายาลู่ผิดไป
แต่ทันใดนั้น หางตาของนางก็กวาดไปเห็นใบหน้าที่กระหยิ่มยิ้มย่องของลู่เจี้ย
ไอ้คน…^&*()!