ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 109 เรียกข้าว่าพี่ชาย แล้วข้าจะให้เจ้า
พฤติกรรมแปลกๆ ของท่านผู้เฒ่า ทำให้มุมปากของเจียงหลีกระตุกขึ้น
“ท่านผู้เฒ่า ท่านทำให้ศิษย์น้องหญิงของข้าตกใจ” ชายหนุ่มผู้สง่างาม รีบเดินมาที่ฝั่งข้างกายของเจียงหลี แล้วดึงนางเข้ามาใกล้ตน
“…” แม่เอ้ย!
บริเวณขมับของเจียงหลีกระตุกเล็กน้อย
ท่านผู้เฒ่ามองมาทางเขาอย่างดูถูก แล้วเอ่ยกับเจียงหลี “นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า มีนามว่าเสิ่นฉง”
“ถึงตาข้าแล้ว ศิษย์น้องเล็ก ข้านามว่าซีไหลเป็นศิษย์พี่รองของเจ้า” สง่างามดุจปีศาจ เป็นชายหนุ่มที่มีความแตกต่างไม่เหมือนใคร เขาเดินใกล้เข้ามาตรงหน้าเจียงหลี รอยยิ้มสดใสปรากฏอยู่บนใบหน้าชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกตนเองแล้วแนะนำตัว
“ถึงเวลาของข้าแล้ว!” เมื่อซีไหลพูดจบ ก็โดนชายหนุ่มที่งดงามผู้นั้นผลักออก “ศิษย์น้องเล็ก ข้ามีนามว่าคุนอู๋ เป็นศิษย์พี่สามของเจ้า คนที่ท่านอาจารย์เอ่ยถึงว่าเด็กที่สุด คนผู้นั้นก็คือข้าเอง”
“เจ้าคนไม่เอาไหนทั้งสาม ไปให้พ้น!” เมื่อโดนลูกศิษย์แย่งบทพูดของตนเอง ท่านประมุขก็เดือดดาลขึ้นมาจริงๆ
“ท่านอาจารย์ เรื่องของศิษย์น้องเล็กมอบหน้าที่ให้พวกข้าทั้งสามเถิด พวกข้ารับประกันว่าจะให้ศิษย์น้องเรียนรู้เกี่ยวกับตำหนักเย่าและประวัติความเป็นมาของกลุ่มอำนาจฮวงเสินให้เร็วที่สุด” เสิ่นฉงยิ้มกริ่มเอ่ยออกมา
ต่อมา จึงเบี่ยงสายตาหันมามองทางเจียงหลี เอ่ยถามขึ้นมาด้วยใบหน้าที่สุภาพอ่อนน้อม “ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าศิษย์น้องเล็กมีนามว่าอะไร”
“เจียงหลี” เจียงหลีเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
แต่ไม่รู้ทำไม นางถึงรู้สึกว่าคนในตำหนักเย่า ล้วนแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ยังมีอีกจุดหนึ่ง…ก็รู้สึกว่าพวกเขาต่างมีพลังที่เก่งกาจ ไม่ต้องพูดถึงท่านประมุข แค่สามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก็ทำให้นางมีความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่บนปากเหวลึก
พฤติกรรมเช่นนี้ของนาง ที่อยู่ต่อหน้าของเขา ดูเหมือนจะไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย
“เจียงหลีรึ แซ่เจียงของเจ้า มีความหมายว่าต้นน้ำที่สายน้ำไหลผ่านเป็นทางยาว หลีนั้นมีความหมายว่าสีสันของอัญมณี โปร่งแสงเป็นประกายแวววาว งดงามและหลากสี เป็นชื่อที่ดีจริงเชียว!” ซีไหลรีบแย่งพูดขึ้นมาก่อน
ชายทั้งสาม ค่อยๆ ล้อมเจียงหลีไว้ จนดันท่านประมุขผู้เฒ่าไปอีกด้านหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ ท่านอายุมากแล้ว ไม่ควรที่จะเหน็ดเหนื่อย ท่านรีบกลับไปพักเถิด” คุนอู๋ไม่ลืมที่จะเอ่ยประโยคที่รนหาที่ตายขึ้นมาก
“…” เจียงหลี
“…” ท่านประมุข
ต่อมา เพื่อไม่ให้ท่านประมุขมีโอกาสได้พูด เขาทั้งสามรีบกรูไปทางเจียงหลีให้ออกจากตำหนักที่งดงามและโอ่อ่าตระการตา ตรงออกไปด้านนอก
“ไป ศิษย์น้องเล็ก พวกข้าจะพาเจ้าไปดูที่ที่เจ้าจะต้องพักอาศัย”
ซ้ายขวาของเจียงหลี โดนซีไหลและเสิ่นฉงขนาบอยู่ คุนอู๋ที่ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่เดินอ้อมไปด้านหน้าเพื่อนำทาง
“อย่างนั้น พวกท่านเล่าเรื่องเกี่ยวกับตำหนักทั้งสี่เย่า เย่ว์ ชิงและเฉินในฮวงเสินให้ข้าฟังหน่อยเถอะ” เจียงหลีโดนพวกเขาล้อมอย่าไม่มีทางเลี่ยง จึงเอ่ยถามขึ้น
นางพอจะได้หายใจอีกครั้ง และเป็นครั้งที่แรกที่ไม่อาจรับมือกับความเป็นมิตรเช่นนี้ได้!
“ก็ได้” เสิ่นฉงพยักหน้า
ในช่วงเวลาที่เขาเตรียมตัวที่จะพูด ซีไหลก็ได้แย่งเขาพูด “เมื่อพูดถึงฮวงเสินก็ต้องย้อนกลับไปถึงอดีตที่นานแสนนาน แต่เรื่องเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่เก่าและเก็บสะสมมาเนิ่นนาน ศิษย์น้องเล็กไม่มีความจำเป็นต้องสนใจ เจ้าเพียงต้องรู้ว่าในฮวงเสิน ลูกศิษย์ของทั้งสี่ตำหนักต่างฝึกฝนอยู่ในพื้นที่ของตนเอง และในทุกปีจะมีการจัดงานครั้งใหญ่ของทั้งสี่ตำหนัก ในงานผู้ที่ได้ที่หนึ่งถึงสาม จะได้รับโอกาสหนึ่งครั้งเพื่อย้ายตำหนัก แต่ว่าการย้ายตำหนักนั้นต้องอยู่ในตำหนักเย่ว์ ซิงและเฉินเท่านั้น ส่วนตำหนักเย่าของเรานอกจากคนที่ท่านอาจารย์จะเห็นว่าเหมาะสม ไม่เช่นนั้น ก็ไม่สามารถเข้ามาได้”
เจียงหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นึกไม่ถึงเลยว่าตำหนักเย่าจะเข้ามายากเช่นนี้ มิน่าล่ะหันเหยากวงถึงปรารถนาที่จะเข้านัก
“แล้วก็ ตำหนักเย่าถือว่าเป็นของท่านประมุข ขอเพียงเป็นคนของตำหนักเย่า ลูกศิษย์ข้างนอกของทั้งสามตำหนัก ก็ต้องเรียกพวกเราว่าท่านรองประมุข นั่นหมายความว่า หลังจากท่านอาจารย์สิ้นชีพไป เจ้าสำนักคนใหม่ของฮวงเสิน ก็จะเป็นหนึ่งในพวกเราสี่คนที่ได้รับช่วงต่อ” เสิ่นฉงใช้โอกาสนี้ เพื่อรับช่วงพูดต่อในหัวข้อนี้
“…” เจียงหลีฟังแล้วก็ตกตะลึงจนตาค้าง
“คนจากทั้งสี่ตำหนัก มีเพียงคนจากตำหนักเย่าที่สามารถเข้าออกห้องเก็บของล้ำค่าของทั้งสี่ตำหนักได้ตามสะดวก เรียนรู้ศาสตร์ลับและทักษะต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ ผู้นำตำหนักเย่ว์ ซิงและเฉินทั้งสามท่าน ล้วนเป็นบุคคลที่เก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง ฝึกฝนได้ระดับหลิงหวัง ส่วนรองผู้นำตำหนักทั้งหกท่าน ล้วนเป็นหลิงหวังระดับสูง” ซีไหลพูดต่อ
“หนึ่งสำนักสี่ผู้นำ!” เจียงหลีตกใจอย่างที่สุด คล้ายกับนางประเมินศักยภาพของฮวงเสินผิดไป
“ผิดแล้ว” คุนอู๋หันหน้ากลับมา ยิ้มให้นางอย่างสดใส
“ผิดหรือ” เจียงหลีไม่เข้าใจ
เสิ่นฉงก้มหัวลง พูดเสียงเบาข้างหูนาง “ท่านอาจารย์ของพวกเรา เป็นผู้นำเพียงหนึ่งเดียว”
ฟู่!
ดวงตาคู่นั้นของเจียงหลีเบิกโต มองไปทางพวกเขาอย่างตกใจ
แต่เสิ่นฉงกลับยกนิ้วขึ้นมา ตรงบริเวณบนริมฝีปากของตนเอง “ชู่ว! เรื่องนี้แพร่งพรายไปไม่ได้”
ในใจเจียงหลีเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ดูเหมือนว่า เรื่องที่ท่านประมุขเป็นผู้นำสูงสุด จะเป็นความลับกับคนภายนอก แม้กระทั่งคนในฮวงเสินที่รู้เรื่องนี้ยังมีน้อยคนนัก
เมื่อคิดดูแล้วในตอนแรกสำนักพรตเสวียนหมิง มีเพียงหลิงหวังระดับล่างเพียงสองคน ก็ทำให้นางเกือบจะตายแล้ว ฮวงเสินที่ยืนอยู่ตอนนี้ ทำให้นางรับรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความยิ่งใหญ่
อำนาจที่ซ้อนเร้นอยู่ภายในมาเนิ่นนาน ไม่อาจมีสิ่งใดมาเทียบได้โดยง่ายอย่างแท้จริง
ในเวลานั้น เจียงหลีคิดถึงจุดอื่น ฮวงเสินแข็งแกร่งเช่นนี้ แล้วศักยภาพด้านอื่นล่ะ ความสามารถในการป้องกันการรุกล้ำระดับสูงสุดจะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน
แม้ว่านางจะเคยไปวังเทียนอู่กงมาแล้ว แต่ทว่า เวลาส่วนใหญ่นั้นสูญเสียไปกับแผนที่ดาราเทพสงคราม สิ่งซ้อนเร้นอยู่ในวังเทียนอู่กงนั้น นางไม่ได้ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ่ง ดังนั้นในเวลานั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มอำนาจระดับสูง ก็ยังไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก
“ศิษย์พี่ทั้งสาม ในตอนนี้ทักษะของพวกท่านอยู่ในระดับใด แล้วทำไมตำหนักเย่าของเราถึงไม่มีรองผู้นำตำหนักหรือ” เจียงหลีกดความตกตะลึงไว้ในใจ แล้วถามออกมาแบบอยากรู้อยากเห็น
ชายทั้งสามคนสบตามองกัน ให้เสิ่นฉงเป็นคนเปิดปากพูด “ตัวข้านั้นติดอยู่ในระดับหลิงหวัง ศิษย์พี่รองกับศิษย์พี่สามของเจ้าล้วนเป็นหลิงหวังระดับสูง สำหรับเรื่องอื่น…ในตำหนักเย่า มีเพียงพวกเราห้าคน วัตถุประสงค์ในการรับศิษย์ของท่านอาจารย์คือการเน้นที่ฝีมือมากกว่าเน้นที่จำนวนคน ในช่วงพันปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์ที่รับทั้งหมด ก็มีเพียงพวกเราสี่คน ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ที่จะมีรองผู้นำตำหนักเพื่อมาจัดการเรื่องราวต่างๆ ในตำหนัก แต่ถ้าหากท่านอาจารย์สละอำนาจ หนึ่งในสี่ของพวกเราจะมีหนึ่งคนที่ได้รับตำแหน่งประมุขคนต่อไป ที่เหลืออีกสามคนก็จะกลายเป็นผู้นำตำหนักทั้งสาม และในตอนนี้ผู้นำตำหนัก รองผู้นำตำหนัก ก็ต่างเป็นผู้อาวุโส”
มุมปากเจียงหลีค่อยๆ เหยียดตรง เอ่ยถาม “ตอนนี้ฮวงเสินของเรามีผู้อาวุโสอยู่กี่ท่านหรือ” พวกผู้เฒ่าเหล่านี้แหละ คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด!
ซีไหลยกมือขึ้นมาแสดงให้นางเห็นเลข “สิบ”
“…” เจียงหลีไม่รู้จะเอ่ยอะไรแล้ว นางคิดไปถึงขั้นว่า หากไม่ใช่ว่าในการชุมนุมของเหล่าผู้นำอนุญาตให้เพียงผู้นำเข้าร่วมได้เท่านั้น หากมองความสามารถของฮวงเสินแล้ว คงไม่โดนลดจากกลุ่มอำนาจระดับสูงนานเช่นนี้
อำนาจขาดการสืบทอดเป็นคำพูดหนึ่งที่น่ากระอักกระอวนใจเหลือเกิน
“ศิษย์น้องเล็ก ตำหนักเหล่านี้ยังว่างอยู่ เจ้าดูว่าชอบหลังไหน ก็อยู่หลังนั้น หากเจ้าพอใจ จะย้ายทุกวันก็ยังได้” เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักที่เหลืองอร่ามงามตา” คุนอู๋ยิ้มแล้วเอ่ยกับเจียงหลี
เรื่องที่อยู่อาศัย เจียงหลียังให้ความสำคัญอยู่บ้าง
ถึงอย่างไร นางก็เป็นคนที่ได้เสวยสุขจนเคยตัว หากมีปัจจัยที่เอื้ออำนวย นางย่อมไม่ปล่อยให้ตัวเองลำบาก
“ขอบคุณศิษย์พี่ทั้งสามเป็นอย่างมาก” เจียงหลีไม่ได้เร่งรีบที่จะเลือกตำหนัก และหันกลับมาหาพวกเขาทั้งสาม
เสิ่นฉงเอ่ย “ศิษย์น้องเล็กอย่าได้เกรงใจ เจ้าเข้ามาช้าสุด และศิษย์สำนักเราก็มีเจ้าเพียงคนเดียวที่เป็นสตรี ศิษย์พี่ทั้งหลายดูแลเจ้า เป็นสิ่งที่สมควรทำ”
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเรียกว่าพี่ชายสักที ข้าจะให้ผลึกหินวิญญาณกับเจ้าจำนวนมาก!” ทันใดนั้น คุนอู๋เข้าใกล้มาประจบ
เจียงหลีตกตะลึง
“ก็แค่ผลึกหินวิญญาณ ศิษย์น้องเล็กเรียกข้าว่าพี่ชาย ข้าจะสอนทักษะที่น้อยคนนักถึงจะรู้ให้กับเจ้า” ซีไหลเอ่ยขึ้นโดยไม่ยอมให้ผู้อื่นเห็นว่าด้อยกว่า