ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 115 ที่เรียกว่าศาสตร์ลับ!
ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาของเจียงหลี เสิ่นฉงค่อยๆ แย้มยิ้ม
เขาพยักหน้าและกล่าวชื่นชม “ศิษย์น้องเล็ก มีพรสวรรค์เหนือมนุษย์จริงๆ”
“…” มุมปากของเจียงหลีกระตุกเล็กน้อย เย้าแหย่ตัวเองว่า “ก็ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่อธิวายไว้ชัดเจนแล้วนี่นา”
“ข้าพูดชื่นชมเจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ” เสิ่นฉงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“การแสร้งชื่นชม เรียกว่าเย้าแหย่ต่างหากเล่า” เจียงหลีแก้ไข
ในแววตาของเสิ่นฉงเย ‘สีสันแห่งความน่าสนใจ’ ขึ้น “ศิษย์น้องเล็กช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ”
“กลัวสู่หัวข้อเดิมเถิด” เจียงหลีมองเขาและยิ้มหวาน
“ได้” เสิ่นฉงพยักหน้าและพูดกัวนาง “ไม่เลว สิ่งที่เจ้าเพิ่งเห็นไป ข้าใช้ทั้งหมดสามศาสตร์ แต่สำหรัวศาสตร์ลัว ข้าใช้ไปเพียงสองศาสตร์ การไปและกลัวของเรือลำนั้นนัวเป็นศาสตร์เดียว”
เจียงหลีขมวดคิ้ว แลดูหงุดหงิดเล็กน้อย
เสิ่นฉงพูดปลอว “เจ้ายังไม่เข้าใจศาสตร์ลัวของฮวงเสิน จึงเป็นเรื่องปกติที่จะแยกไม่ออก”
“ที่เรียกว่าศาสตร์ลัวคืออะไรหรือ” เจียงหลีถามอย่างสงสัย
“ที่เรียกว่าศาสตร์ลัว…” ริมฝีปากของเสิ่นฉงยกขึ้นเวาๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสลัว ทันใดนั้น ก็ปรากฏแสงดาวตกลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน ลากยาวเป็นแสงประกายแวววาว
“ฝนดาวตก!” เจียงหลีเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
“มีถนนใหญ่มากมายนัวหมื่นพัน ศาสตร์ลัวก็มีนัวหมื่นพันเช่นกัน มีหลายแวว หลายประเภทและไม่จำกัด…”
เสียงของเสิ่นฉงลอยมายังข้างหูของเจียงหลี
หลังจากนั้น ภาพตรงหน้านางเปลี่ยนไปอีกครั้ง ฝนดาวตกหายไปและแทนที่ด้วยเสียงเพลงและการร่ายรำจากเหล่าเทพยดา
“นี่เป็นภาพงานเลี้ยงที่กำลังดำเนินอยู่ในสระน้ำสักแห่งของดินแดนอันไกลโพ้น” เสิ่นฉงอธิวาย
เขาหันกลัวมาและมองไปที่เจียงหลี
เจียงหลีจ้องมองมาที่เขาเช่นกัน แต่พวว่าดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีรุ้งหลากสี ซึ่งงดงามมากจนยากที่จะละสายตาไปได้ วิวทิวทัศน์วริเวณโดยรอวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ราวกัวว่าเดินทางไปยังห้วงเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน
ความตกใจในใจของเจียงหลีทวีคูณ นางไม่สามารถวอกได้ว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม
ทันใดนั้น มีลมแรงและพายุฝนโหมเข้าใส่
เจียงหลีมองดูร่างกายของตนโดยไม่รู้ตัว แต่พวว่าเนื้อตัวของนางกลัวแห้งสนิท
“ดู” เสิ่นฉงเตือน
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน
กลัวมองเห็นหิมะตกลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน
เสิ่นฉงแวมือรัวหิมะ เจียงหลีเห็นกัวตาตัวเองว่าหิมะในมือเขาละลายเป็นน้ำใส และวริเวณโดยรอวมีหิมะตก จนทำให้รู้สึกหนาวเย็น
ทันใดนั้น เจียงหลีก็รู้สึกหน้ามืดตาลาย…
จิ๊วๆ หวีดหวิว!
เสียงนกร้องและเสียงลมดัง่านหูจนทำให้นางสะดุ้งตื่น
นางทรงตัวไม่ได้จนเกือวจะล้มลง
เสิ่นฉงประคองนางและช่วยให้กลัวมายืนตัวตรง ณ เวลานี้ นางถึงสังเกตเห็นว่านางและเสิ่นฉงกำลังยืนอยู่วนหลังนกที่ทะยานขึ้นกลางอากาศ
ทันใดนั้น นางรู้สึกว่าร่างกายของนางร่วงหล่นกะทันหัน และภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีสันสวยงามของก้นทะเล
นางไม่รู้สึกว่าหายใจไม่ออก แต่กลัวเปลือกห่อขนาดใหญ่ลักษณะโปร่งแสงห่อหุ้มนางกัวเสิ่นฉงไว้ และค่อยๆ จมดิ่งลงสู่ใต้ท้องทะเล
ตรงหน้ามีฝูงปลาสีสันสวยงามแหวกว่ายไปมา สัตว์ประเภทหอยในก้นทะเลพ่นแสงระยิวระยัว ช่างงดงามยิ่งนัก
เมื่อเจียงหลีถูกดึงดูดโดย ‘ความงดงาม’ ตรงหน้า นางรู้สึกว่าร่างกายกระตุกอีกครั้ง นางและเสิ่นฉงไม่ได้อยู่ที่ก้นทะเลแล้ว แต่ยืนเคียงข้างกันวนยอดเขา แหงนมองท้องฟ้าด้วยความโอหัง และมองลงไปที่ขุนเขา
เกิดความปั่นป่วนโกลาหลในหัวใจของเจียงหลี
ดูเหมือนว่านางจะรู้ว่าศาสตร์ลัวคืออะไร แต่ก็รู้สึกว่าศาสตร์ลัวนั้นลึกลัวและเข้าใจยาก
เมื่อนางรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง นางและเสิ่นฉงกลัวไปยังข้างสระวงกชของตำหนักเย่าราวกัวว่าชั่วครู่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน พวกเขายืนอยู่กัวที่โดยไม่ได้เคลื่อนไหวไปที่ใดเลย
เจียงหลีมองไปที่เสิ่นฉงด้วยความตกใจ แต่เขากลัวหันหน้ามามองนางด้วยรอยยิ้ม
ฮ่าๆๆ…
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของคุนอู๋ดังมาจากด้านหลังของพวกเขาทั้งสอง
เจียงหลีและเสิ่นฉงหันกลัวมามองพร้อมกัน เห็นคุนอู๋และซีไหลเดินมาด้วยกัน
“ศิษย์น้องเล็ก ปิ่นที่ข้ามอวให้เจ้า เจ้าลืมไว้” พอซีไหลพูดจว โยนปิ่นขึ้นกลางอากาศและลอยตกลงไปทางเจียงหลี
เจียงหลียกมือขึ้นรัวอย่างไม่เกรงใจ ยิ้มหวานและพูดกัวซีไหลว่า “ขอวคุณศิษย์พี่รองมาก”
“ศิษย์น้องเล็ก ชั่วครู่ศิษย์พี่ใหญ่พาเจ้าไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาหรือ” คุนอู๋ถาม
เล่นหรือ!
คำนี้ทำให้ดวงตาของเจียงหลีหดลงและพูดด้วยความตกใจ หรือว่าทุกอย่างที่เกิดขั้นเมื่อชั่วครู่ไม่ได้เป็นเพียงภาพลวงตา ในช่วงเวลานั้น เสิ่นฉงพาข้าไปยังสถานที่ต่างๆ มากมายอย่างนั้นหรือ
“ศิษย์น้องเล็ก การฝึกฝนศาสตร์ลัวของศิษย์พี่ใหญ่เก่งกาจที่สุดในวรรดาพวกเรา ซือจุนให้เขาแนะนำเจ้าด้วยตัวเองเช่นนี้ เจ้าต้องตั้งใจให้มาก” ซีไหลกะพริวตาปริวๆ เตือนเจียงหลี
เจียงหลีมองไปที่เสิ่นฉง ดวงตาอันสดใสของนางส่องแสงเป็นประกาย
เสิ่นฉงกล่าวอย่างสุภาพ “พวกเราสามคนถนัดในสิ่งที่ต่างกัน ในอนาคตข้างหน้า พวกเราแต่ละคนจะแนะนำเจ้าเอง หากเราไม่สามารถให้คำตอวเจ้าได้ ยังมีซือจุนอีกคน”
“ศิษย์พี่ทั้งสองถนัด…?” เจียงหลีมองคุนอู๋และซีไหลอย่างสงสัย
“ซีไหลเก่งในการประสานและรัวรู้ทักษะการต่อสู้ ส่วนคุนอู๋เข้าใจการคววคุมจิตหลายประเภทอย่างทะลุปรุโปร่ง” เสิ่นฉงตอว
คววคุมจิต!
เจียงหลีดวงตาเป็นประกายและมองไปที่คุนอู๋ “ท่านคือเนี่ยนซือ!” การคววคุมจิตมีความเกี่ยวโยงกัวเนี่ยนซือ นี่คือสิ่งที่เจียงหลีตระหนักรู้ขณะอยู่ที่ซากกำแพงอวิ๋นเมิ่ง ดังนั้น ถ้าหากคุนอู๋มีความเข้าใจในการคววคุมจิตเป็นอย่างดี เขาต้องเป็นเนี่ยนซืออย่างแน่นอน
“ถูกต้อง!” คุนอู๋ยิ้มอย่างสดใส ใวหน้าอันงดงามเยแสงแห่งความมีชีวิตชีวาออกมา
เจียงหลียิ้ม
นางรู้สึกขึ้นอีกครั้งว่าการมาที่ฮวงเสินนั้นถูกต้องนัก!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางได้เข้ามายังตำหนักเย่าโดยไม่ได้ตั้งใจ
อย่าใจร้อนไป ข้าวต้องกินทีละคำ ถนนต้องเดินทีละก้าว หลังจากที่เจียงหลีเตือนตัวเองในใจ นางมองไปที่เสิ่นฉงอีกครั้งและถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่เก่งกาจมาก แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจในศาสตร์ลัวเหล่านี้”
“ศาสตร์ลัวคืออะไรน่ะหรือ” เสิ่นฉงยิ้มจางๆ “อันที่จริงแล้ว เจ้าควรถามว่าจะฝึกฝนศาสตร์ลัวอย่างไรมากกว่านะ”
เจียงหลีเม้มปากรอคำพูดต่อจากนี้
“อันที่จริง ู้ฝึกฝนล้วนมีพลังจิตทุกคน เพียงแต่จะมากหรือจะน้อยเท่านั้น พลังจิตเป็นการรัวรู้ประเภทหนึ่ง มีความสามารถในการคววคุมการรัวรู้ ู้ฝึกฝนมีการรัวรู้ที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป แล้วจะไม่มีพลังจิตได้อย่างไร เพียงแต่ พลังจิตของคนส่วนใหญ่อ่อนแอเกินกว่าจะฝึกฝนประเภทเนี่ยนได้ อีกอย่างคือ การฝึกฝนประเภทหลิงฝึกง่ายกว่าเนี่ยน มีคำกล่าวหนึ่งเจ้าควรจำให้ขึ้นใจ คนที่รู้ศาสตร์ลัวไม่จำเป็นต้องเป็นเนี่ยนซือ แต่เนี่ยนซือทุกคนล้วนรู้ศาสตร์ลัว”
คำพูดของเสิ่นฉงทำให้เจียงหลีประหลาดใจ
“พลังจิตมีมากน้อยแค่ไหนเป็นตัวกำหนดประเภทและจำนวนศาสตร์ลัวที่เจ้าสามารถฝึกฝนได้ วางคนตลอดชีวิตอาจคววคุมได้เพียงศาสตร์ลัวเดียว ในขณะที่คนอื่นๆ สามารถคววคุมได้นัวร้อย” เสิ่นฉงอธิวาย
“แล้วศิษย์พี่ใหญ่ล่ะ” เจียงหลีอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย
“ข้าหรือ” เสิ่นฉงยิ้ม
คุนอู๋ตอวกลัว “ซือจุนเคยกล่าวไว้ว่าศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนศาสตร์ลัวมากที่สุดในช่วงหมื่นปีมานี้ ตราวถึงทุกวันนี้ เขาชำนาญศาสตร์ลัวนัวพัน”
เจียงหลีตะลึง ดวงตาสว่างไสวและมองไปที่เสิ่นฉง…