ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 130 บังเอิญจังเลยนะ ได้อยู่ด้วยกันหรือนี่
กงเสวี่ยฮวาลงมืออย่างรวดเร็ว เมื่อครู่ยังคุยกับเจียงหลี แต่จู่ๆ ก็ระเบิดแรง
ผ่านไปชั่วครู่กว่าคนอื่นๆ จะมีปฏิกิริยาต่อการเคลื่อนไหวของเขา
คนจากวังเทียนอู่กงวิ่งหนีออกไปแล้วพวกเขาถึงหันไปมอง จึงได้รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติ
“หากอยากจะเข้าไป ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเปิดประตูทางเข้า!” ในขณะที่พวกเขาเตรียมตัวที่จะรีบตามออกไปด้วย ถ้อยคำที่เจียงหลีกล่าว ทำให้ฝีเท้าของพวกเขาหยุดชะงัก
ในชั่วพริบตานั้น คนจากวังเทียนอู่กงและเมืองฮวงเสินทั้งหมด ก็ได้หายวาบไปต่อหน้าต่อตาพวกคนอื่นๆ
“พวกคนสารเลว!” ไหวปี้กระทืบเท้าด้วยความโกรธ ดวงตาแสดงถึงความคับแค้นใจเป็นอย่างมาก
ฉินเทียนอีเงยหน้าหัวเราะ สะบัดแขนแล้วก้าวเท้า ใช้พลังวิญญาณทั่วกายของตนทำลายทางเข้าที่ปิดลงเมื่อครู่
“ไป!” คนนำของตำหนักหลีหั่วคือหลัวอวี่ ยกมือขึ้นบัญชาการ นำลูกศิษย์ร่วมสำนักออกไปพร้อมๆกัน
ในครั้งนี้ ไหวปี้รีบมาอยู่ตรงหน้าสำนักฝัวหมัวหันไปยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับพระมหาอินฮู “พระคุณท่าน นักบวชย่อมมีเมตตาจิต โปรดอย่าแย่งทางสตรีเฉกเช่นผู้น้อยเลยนะเจ้าคะ”
รอยยิ้มพระมหาอินฮูดุจพระศรีอริยเมตไตร “ไม่ ไม่! พระพุทธเจ้าและเทพมารเคยตรัสไว้ ความเป็นความตายตรงหน้า ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ!”
“…” ไหวปี้ชะงัก เทพมารตรัสเช่นนี้ นางยังเชื่อ แต่ว่า…พระพุทธเจ้าเคยตรัสวาจาต่ำช้าเช่นนี้เมื่อไหร่
“นักบวชต่ำตม!” ดวงตาของไหวปี้มีประกายของความโกรธ พร้อมต่อสู้กับพระมหาอินฮูโดยตรง
แรงที่ทั้งสองคนออก กลับไปช่วยหนุนฉินเทียนอีได้อีกชั่วครู่
ในขณะที่ไหวปี้กับพระมหาอินฮูต่อสู้กัน คนจากตำหนักหลีหั่ววัง เวิ่นฉิงและสำนักฝัวหมัวล้วนออกไปกันหมดแล้ว
“รีบไป!” ฉินเทียนอีตะโกนเสียงดัง
ไหวปี้และพระมหาอินฮูนั้น ขณะที่ต่อสู้ ก็รีบไปทางออกเพื่อทะลุออกไปด้วย
ในขณะที่รอยแตกกำลังจะปิดลง ทั้งสามได้เบียดเสียดกันออกไป
“…”
“…”
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว
เริ่มจากกงเสวี่ยฮวาระเบิดพลังอย่างกะทันหันเพื่อเปิดทางออก ถึงคำพูดของเจียงหลีที่ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของทุกคนแตกออก ต่อมาฉินเทียนอีลงมือ ไหวปี้และพระมหาอินฮูอินฮูช่วยหนุนแรง ทั้งหมดล้วนต่อเนื่องกันคล้ายเป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้คนไม่ทันที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง
หลังรอยแตกปิดลงอีกครั้ง คนจากป้อมปราการเฟยอวิ๋นและสำนักหลีหุนจงจึงมีท่าทีตอบสนอง
“สมควรตาย! ไอ้พวกชั่วช้าสามานย์!” อวิ๋นซู่ตะโกนอย่างโมโห
สายตาของจู๋เยี่ยนดูมืดครึ้ม
“ยังไม่รีบไปเปิดมันออกให้ข้าอีก! ใช้แรงทั้งหมด ฟังเข้าใจหรือไม่” อวิ๋นซู่ตะโกนใส่ศิษย์ร่วมสำนักอย่างเสียงดัง
ดวงตาของจู๋เยี่ยนหม่นหมอง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดสิ่งใด
…
โลกอีกใบที่ไม่เหมือนโลกใบเดิม เส้นแสงหลายสิบเส้น ดังดาวตกตกพาดผ่านสายหมอกบนท้องฟ้า แยกกันตกในทิศทางต่างๆ
ในโลกนี้ มีกลิ่นอายของความมืดมัว
ในสถานที่แห่งนี้ ล้วนเป็นสีเทา จนทำให้คนรู้สึกได้ถึงความไร้ซึ่งชีวิตชีวาและสิ้นหวัง
โครม!
แสงเส้นหนึ่ง พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ตกลงบนพื้นดิน ทำให้ฝุ่นคลุ้งกระจาย
ฝุ่นพัดหายไป เงาของเจียงหลีปรากฏขึ้น
นางยืนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้รีบร้อนไปไหน มองบรรยากาศรอบตัวอย่างถี่ถ้วน “ที่นี่คือดินแดนผนึกมารอย่างนั้นหรือ”
นอกจากสีเทาสลัวแล้ว ยังมีบรรยากาศอยู่ตรงหน้า ทำให้สายตาของเจียงหลีหรี่ลง
สิ่งที่สะท้อนมาในดวงตาของเจียงหลีคือหลุมฝังศพทรงครึ่งวงกลมแห่งหนึ่ง ดูแน่นขนัดและยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา เต็มไปทุกบริเวณนี้ และตัวนางเองตำแหน่งที่ยืนอยู่ก็คือตรงหลุมฝั่งศพหลุมหนึ่ง
หลุมศพนี้ ไม่มีป้ายสลักชื่อผู้ตายและดูเงียบจนแปลกตา
เหมือนกับนางโดนหลุมศพเหล่านี้ล้อมไว้อยู่ ไร้ซึ่งหนทาง และมองไม่เห็นเงาของคนอื่นๆ
ความมืดมัวนี้ทำให้คนที่อยู่ในบรรยากาศเช่นนี้เป็นเวลานาน รู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
เจียงหลียกมือขึ้น ปล่อยตัวเจ้าเปี๊ยกน้อยออกมา อุ้มไว้บริเวณอก ตัวเจ้าเปี๊ยกนอนขดตัวอย่างสบาย ลืมตาขึ้นกวาดสายตามอง แล้วหลับตาลงอีกครั้ง มันแสดงออกถึงความเหยียดหยามผ่านหางตา
ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่อาจจะเป็นภัยต่อมันได้เลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น บนท้องฟ้ามีลำแสงเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ลำแสงนั้นไม่เอนเอียงไปทางใด กลับพุ่งมาในจุดที่ตนเองยื่นอยู่
แย่แล้ว!
เงาของเจียงหลีสั่นไหว ออกจากจุดเดิมที่ยืนอยู่ในชั่วพริบตาเดียว
ออกมาได้เพียงครู่เดียว ลำแสงนั้นพุ่งมาในที่เดิมที่นางเคยยืนอยู่ ครั้งนี้ลำแสงนั่นทำให้เกิดหลุมขึ้น
ไม่ต้องแม่นขนาดนี้ก็ได้ เจียงหลีพูดแขวะในใจ หากนางไม่ระวังตัวเมื่อครู่คงโดนมันพุ่งเข้าใส่แล้ว
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ทำให้เจ้าเปี๊ยกลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะนั้นที่มีฝุ่นคลุ้งมีสีแดงปรากฏขึ้น จู่ๆ เจียงหลีมีลางสังหรณ์ขึ้นมา และดวงตาของเจ้าเปี๊ยกแสดงออกถึงความเย็นชา
“ฉินเทียนอี!” นางพูดโพล่งออกมา
นี่มันโชคชะตาอะไรกัน จากคนสามสิบห้าคนที่ตกลงมาตามกัน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นนางกับฉินเทียนอีที่บังเอิญมาอยู่ด้วยกันตรงนี้
หลังจากฝุ่นคลุ้งหายไปจากกาย เมื่อได้ยินเสียงตกใจของเจียงหลี ฉินเทียนอีหันตัวกลับมา ใบหน้าสง่างามที่ดูเอาแต่ใจตนเองนั้นมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น “ช่างบังเอิญเสียจริง”
“…” คำพูดประโยคนี้ ทำให้เจียงหลีไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
ฉินเทียนอีเดินตรงมาหาเจียงหลี แต่กลับรับรู้ได้ถึงความอาฆาตขึ้นมาในทันใด อธิบายไม่ถูก และสายตาของเขามองไปเห็นเจ้าเปี๊ยกที่น่ารักที่อยู่ตรงอ้อมอกของเจียงหลี “เอ๊ะ ช่างเป็นสัตว์ที่น่ารักเสียจริง”
หลังพูดจบ เขายังยืนมือไปลูบที่หัวของเจ้าเปี๊ยกอย่างไม่ถือสา
“นี่มัน…”
ฟิ้ววว!
ฟ่อ!
เจียงหลีพูดยังไม่ทันจบ ก็มีแสงกะพริบตรงหน้าฉินเทียนอี ต่อจากนั้น ก็ตามด้วยเสียงร้องที่เจ็บปวดของเขา
“จุ๊ๆ ดุอะไรขนาดนั้น!” ฉินเทียนอีปิดไปหลังมือของตนเองที่มีเลือดไหลไม่หยุด มองไปทางเจ้าเปี๊ยกทำหน้าประหลาดใจ แผลที่หลังมือลึกจนเห็นกระดูก
“เอ่อะ…” เจียงหลีเอ่ยอย่างกริ่งเกรง “มันค่อนข้างกลัวคนแปลกหน้า นอกจากข้า ใครก็จับไม่ได้”
“เอาเถอะ ข้ารนหาที่เอง” ฉินเทียนอีหัวเราะ เหมือนไม่ได้ใส่ใจ
สายตาเจียงหลีมองผ่านไปตรงหลังมือที่เขาปิดแผลไว้อยู่ คิดอยู่สักพัก จึงเปล่งแสงสีแดง ไปบริเวณบนแผลของเขา
ต่อมา แผลของฉินเทียนอีสมานตัวอย่างรวดเร็ว แววตาของเขาแสดงออกถึงความมึนงง
มองไปยังหลังมือที่หายดังเดิม ฉินเทียนอีไม่ได้ถามอะไร แต่กลับรื้อฟื้นความหลังกับเจียงหลี “นึกไม่ถึงว่าจากกันที่หนานฮวง แต่พวกเราดันมาพบกันที่ซีฮวง ตอนนั้น เจ้ายังคงเป็นแค่หญิงสาวดื้อรั้นคนหนึ่ง รักจริงเกลียดจริง แต่วันนี้กลับ…”
เมื่อจ้องมองไปตรงใบหน้าที่งดงามของเจียงหลี เสียงเขาก็เงียบลงทันที
เมื่อเห็นเขาใจลอย เจียงหลีจึงเอ่ยถาม “แต่อะไร” การพบเจอเพื่อนเก่าจากหนานหวง ทำให้เจียงหลีอารมณ์ดีไม่น้อย
แต่ทว่า เจ้าเปี๊ยกที่อยู่ในอ้อมอก เวลานี้กลับดูอารมณ์เสีย!
สายตาของมันมองไปหลุมศพเหล่านั้น สายตาที่ดูคลุมเครือนั้นซ่อนความเดือดดาลไว้อยู่ สายลมไร้รูปร่าง จู่ๆ ก็พัดโชยมา แต่ไม่ได้ดึงดูดความสนใจได้จากเจียงหลีและฉินเทียนอี
“แต่…โตแล้ว ก็งดงามกว่าเดิม งามหยาดเยิ้ม งามอย่างที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้” ฉินเทียนอีเปิดเผยความคิดที่อยู่ในใจ
เขาพบว่าความสนใจที่มีต่อหญิงสาวในอดีต หลังกลับมาพบกันในครั้งนี้ ความสวยงามกลับทำให้ใจของเขาสั่นไหว
เมื่อเจอกับคำชมของเขา เจียงหลีไม่ได้สนใจ หยอกล้อกลับไป “คุณชายฉินเจ้าสำราญที่เลืองชื่อ มาถึงซีฮวงก็ยังคงนิสัยไม่มีเปลี่ยน”
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนเอ่ยแต่ความสัตย์จริง เหตุใดเจ้าถึงไม่เชื่อ” ฉินเทียนอีจ้องมองใบหน้านางแสดงออกถึงความลำพองดีใจ
“ข้า…” เจียงหลีกำลังจะพูดยั่วโมโหเขา แต่กลับขมวดคิ้วเอ่ยถามในทันใด “นั่นเสียงอะไร”