ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 131 ทำไมคนที่เจ็บตัวมักเป็นข้าเสมอ
“นั่นเสียงอะไร”
เสียงดังขึ้นกะทันหัน ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้ว
ฉินเทียนอีที่กำลังพูดอย่างได้ใจเห็นนางทำสีหน้าเช่นนั้น ก็เก็บท่าทางกรุ้มกริ่มนั้นไว้
เสื้อคลุมพลิ้วไหวในทันใด
“ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติไป” ฉินเทียนอีเดินเข้าใกล้เจียงหลีอย่างระมัดระวัง พลังวิญญาณรวบรวมอยู่ในฝ่ามือ
เจียงหลีไม่ตอบ ผมยาวประบ่าพลิ้วไหวตามแรงลม แต่เจ้าเปี๊ยกสัตว์ในอ้อมแขนกลับนิ่งสงบเช่นเคย ยกเปลือกตาขึ้นอย่างเกียจคร้านและเหลือบมองไปที่ฉินเทียนอี
เสียงเพลงเงียบๆ ประสานกับเสียงลม
เสียงแผ่วเบานั่นยิ่งอยู่ยิ่งดังขึ้น ราวกับห้อมล้อมพวกเขาสองคนไว้
ทันใดนั้น หลุมศพเหล่านั้น มีเงาคนจางๆ ลอยออกมาจากหน้าหลุมศพ และรวมกันเป็นร่างมนุษย์ขึ้น
แคว่กกก!
ดวงตาของเจียงหลีและฉินเทียนอีหดตัวอย่างรวดเร็ว
“ใคร…กำลังเรียกหาข้า…”
“ใครเรียกหาข้า…”
“เรียกหาข้า…”
“เรียกหา…”
“…”
ร่างมนุษย์เหล่านี้ถามขึ้นตลอดเวลา ทำให้ขนลุกซู่โดยไม่รู้ตัว
เจ้าเปี๊ยกในอ้อมแขนของเจียงหลีจ้องมองไปที่ฉินเทียนอีแล้วค่อยหลับตาลงช้าๆ
“ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้เรียกว่าวิญญาณชั่วร้าย” เจียงหลีกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ฉินเทียนอีโค้งริมฝีปากยิ้มเยาะ “ไม่ให้เวลารำลึกถึงอดีตกันเลยจริงๆ”
“หาที่หลบเร็ว ว่องไวหน่อย อย่าพลัดหลงกับข้า” เจียงหลีเม้มริมฝีปากแน่นแล้วโยนเจ้าเปี๊ยกไปยังต้นไม้ด้านข้าง เจ้าก้อนขนปุยตกลงบนต้นไม้สีเทาอย่างง่ายดาย มันมองเจียงหลีด้วยดวงตาที่อบอุ่น แต่เมื่อมองฉินเทียนอีสายตากลับเย็นชาอีกครั้ง
เพียงแต่บัดนี้พวกเขาทั้งสองล้วนถูกวิญญาณชั่วร้ายดึงดูดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของมัน
“ลงมือเถิด ยิ่งอยู่ยิ่งมามากขึ้น” ดวงตาของเจียงหลีส่องประกายอันดุดัน
ปฏิกิริยาโต้ตอบของฉินเทียนอีคือจู่โจมทันที
เมื่อเสื้อสีแดงของเขาเป็นประกาย ร่างเงาได้พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับการพุ่งโจมตี
วิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นล้วนมีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับที่คุนอู๋เคยกล่าวไว้ พวกมันล้วนเป็นกิเลสของมนุษย์ ยิ่งมีกิเลสหนาก็ยิ่งกลายเป็นมาร!
กิเลสเหล่านี้เต็มไปด้วยความดุร้าย และเมื่อพวกเขาปรากฏตัว บริเวณโดยรอบจะรายล้อมไปด้วยลมปราณที่เย็นเยือกและบ้าคลั่ง
ฆ่า ฆ่า ฆ่า…!
จิตสังหารจู่โจมเข้าใส่สมองของเจียงหลีดั่งกระแสน้ำ ทำให้ดวงตาที่สดใสของนางขุ่นหมอง รูม่านตาปรากฏสีเลือดที่เกรี้ยวกราดถึงขีดสุด
จิจิ๊ด!
ทันใดนั้น เสียงของเจ้าเปี๊ยกลอยเข้าไปในหูของนาง ทำให้ปวดศีรษะจี๊ดๆ เจตนาฆ่าจางหายไป ดวงตากลับมาสว่างไสวเช่นเดิม
ยอดเยี่ยมมาก! เจียงหลีเหงื่อท่วมตัว
ชั่วครู่ หากเจ้าเปี๊ยกไม่ได้เตือนอย่างทันถ่วงที นางคงได้รับผลกระทบจากกิเลสเหล่านี้และตกอยู่ในภวังค์แห่งการสังหารอย่างบ้าคลั่ง
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองเจ้าเปี๊ยกที่กำลังนั่งอยู่บนต้นไม้
หนึ่งคนกับหนึ่งเดรัจฉานเพียงมองตาก็รู้ใจ ดังนั้นจึงไม่ต้องเอ่ยปากพูดให้เสียเวลา
เจียงหลีหันไปยังฉินเทียนอีที่กำลังต่อสู้อยู่ เขาลงมือรวดเร็ว แม่นยำ ไร้ความปรานี ใบหน้าที่สง่างามและดวงตาที่แดงก่ำเช่นเดียวกันถูกความเกลียดชังครอบงำ
“ฉินเทียนอี! ” เจียงหลีตะโกนเรียก
เสียงของนางทำให้ฉินเทียนอีสะดุ้งและหยุดกะทันหัน ดวงตาเหม่อลอย
เมื่อเขาหยุดลงมือ วิญญาณชั่วร้ายก็ลอบกระโจนเข้าใส่เขา ในยามคับขันเช่นนี้ เจียงหลีโบกมือให้จูเสียกลายเป็นแส้ยาว พันเอวของเขาแล้วดึงเขากลับมา
“ตื่นได้แล้ว!” เจียงหลีตะโกนเสียงดังฟังชัด
ร่างกายของฉินเทียนอีกระตุกอีกครั้ง ดวงตาที่เหม่อลอยจางหายไป “เมื่อ…เมื่อชั่วครู่เป็นอะไรไป…” เขาจำได้อย่างชัดเจนว่ากำลังจะไปฆ่าวิญญาณชั่วร้ายนั่น แต่กลับดูเหมือนเขาจะตกลงไปในภวังค์แห่งความสุขในการเข่นฆ่า
“เจ้าระวังหน่อย วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกเราได้” เจียงหลีเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ดวงตาของฉินเทียนอีหรี่ลงเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาในทันใด “เล่นวิธีสกปรก! ครั้งนี้เตรียมตัวพร้อมตั้งรับ พวกเขายังใช้วิธีเดิมคงยากแล้ว”
“อืม” เจียงหลีพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม นี่เป็นครั้งแรกที่นางต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณชั่วร้าย
ยิ่งไปกว่านั้น เกือบตกหลุมพรางนั่นแล้ว
ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่และกงเสวี่ยฮวาจะเป็นอย่างไรบ้าง เจียงหลีรู้สึกกังวลเล็กน้อย วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกได้ง่าย ยากที่จะป้องกัน
วิญญาณชั่วร้ายมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มโจมตีพวกเขาทั้งสอง
การโจมตีของพวกเขาก็คือทักษะการต่อสู้ที่พวกเขาเคยมีขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีวิญญาณยุทธ์และพลังวิญญาณ มิฉะนั้น วิญญาณชั่วร้ายมากมายเช่นนี้ เจียงหลีและฉินเทียนอีจะรับมืออย่างไรไหว
ปรากฏการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างพวกเขาทั้งสองกับวิญญาณชั่วร้าย แสงสีทองของวิญญาณยุทธ์ระเบิดออกมาจากร่างกายของพวกเขาทั้งสอง
ประสบการณ์จากการเผชิญหน้าครั้งก่อน ทำให้ทั้งสองระมัดระวังตัวมากขึ้น ซึ่งพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบจากวิญญาณชั่วร้ายที่เข้าครอบงำจิตใจ แต่กลับมิอาจหลุดพ้นได้ในชั่วขณะ
“ให้ตายเถอะ! ทำไมพวกเขาถึงล้อมโจมตีข้าคนเดียว” หลังจากนั้นไม่นาน เสียงที่โกรธเคืองและไม่พอใจดังมาจากทางฉินเทียนอี
เจียงหลีหันกลับไปมองและเห็นว่าวิญญาณชั่วร้ายเกือบทั้งหมดถูกฉินเทียนอีดึงดูดราวกับว่าเขามีความงามที่หาใครเปรียบไม่ได้ ซึ่งทำให้ผู้คนถูกดึงดูดโดยไม่ตั้งใจ
“…” เจียงหลีจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
ถึงขั้นที่วิญญาณชั่วร้ายเดินผ่านหน้านาง แต่กลับไม่ทำร้ายนางและไปล้อมฉินเทียนอีแทน
บนต้นไม้ เจ้าเปี๊ยกที่นอนเงียบๆ อย่างเกียจคร้านบนลำต้น กลับน่ารักจนทำให้ใจละลาย และเมื่อเห็นฉากที่ฉินเทียนอีถูกปิดล้อม แววตาส่องประกายรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยาม
“นี่ มาช่วยข้าที!” ฉินเทียนอีที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายบังกลบแทบมิดและไม่สามารถมองเห็นชุดสีแดงได้นั้น พยายามขอความช่วยเหลือจากเจียงหลี
เจียงหลีอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น ร่างเป็นประกายแล้วปรากฏตัวใกล้ฉินเทียนอี มือทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บของเลี่ยเทียนซื่อ มือแต่ละข้างคว้าวิญญาณชั่วร้ายแล้วขว้างออกไป
วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ดูมีมารยาทต่อเจียงหลี เมื่อโดนนางโยนทิ้งออกไปกลับไม่ตอบโต้และก้าวมาด้านหน้าเลย
เจ้าเปี๊ยกบนต้นไม้มองดูฉากนี้ ดวงตาสีเขียวครามอ่อนลุ่มลึก เบิกกว้างขึ้น รูม่านตาคู่นั้นดูเหมือนจะปรากฏลมปราณแห่งการส่งเสียงเรียกในบรรพกาลออกมา
อ๊าก!
ฉินเทียนอีซึ่งถูกล้อมรอบตรงกลางตะโกนขึ้นในทันใด พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งระเบิดออกจากร่างกายของเขา จนในที่สุดก็โยนวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นออกไป
“ข้าไปเหยียบหางใครเข้า! ทำไมคนที่เจ็บตัวมักเป็นข้าเสมอ” ฉินเทียนอีอดหดหู่ใจไม่ได้หลังจากรวมตัวกับเจียงหลีได้ในที่สุด
มุมปากของเจียงหลีกระตุกเล็กน้อย ดวงตาเฝ้ามองวิญญาณชั่วร้ายทั้งหลายที่การเคลื่อนไหวช้าลงกะทันหันอย่างระมัดระวัง “ข้ารู้สึกว่าวิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้กำลังถูกควบคุม”
“อะไรนะ ถูกควบคุมหรือ! ” ฉินเทียนอีประหลาดใจและครุ่นคิดทันที “หรือว่าละแวกนี้มีคนของหลีหุนจงซ่อนตัวอยู่ ต้องการยืมมือของวิญญาณชั่วร้ายโจมตีพวกเรา” กลุ่มอำนาจที่สามารถควบคุมเหล่าภูตผีได้นั้น ฉินเทียนอีนึกถึงคือสำนักหลีหุนจงเป็นกลุ่มแรก
แต่เจียงหลีกลับส่ายศีรษะ “นี่เหมือนแกล้งกันมากกว่า หากเป็นกลุ่มของหลีหุนจงจริงๆ จะมีเวลามาแกล้งพวกเราสองคนเช่นนี้หรือ”
ฉินเทียนอียิ้มอย่างเย็นชา “สำหรับเจ้าแล้ว มันอาจเป็นแค่การหยอกล้อ แต่สำหรับข้าแล้ว…มันเป็นการประสงค์ร้ายขั้นรุนแรง”
พอพูดจบ เขายกมือลูบรอยฟกช้ำที่มุมปากเบาๆ…