ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 133 แอบชิ่งหนีไป!
“ฆ่ายังไงพวกมันก็ไม่ตาย! มีแต่จะทำให้พวกเราเปลืองพลัง!” เจียงหลีตะโกนบอกฉินเทียนอี
ฉินเทียนอีเบิกตาโพลงทันที เวลานี้เขามองเห็นหน้าวิญญาณร้ายซ้ำไปซ้ำมา แสดงรอยยิ้มมุ่งร้าย ราวกับกำลังยิ้มเย้ยพวกเขา ไม่คิดว่าจนถึงตอนนี้เพิ่งจะมาค้นพบสิ่งนี้
“น่ารังเกียจนัก!” ฉินเทียนอีหน้าผากฉายแววอำมหิต พวกเขาไม่คิดว่าจะถูกวิญญาณร้ายพวกนี้รังควาน!
สองแขนของเขาแดงฉานจนน่ากลัว พุ่งไปจับสองวิญญาณร้าย อุณหภูมิร้อนที่น่ากลัวนั้นก็ปะทะเข้ามา ชั่วพริบตาวิญญาณร้ายทั้งสองดวงก็หายไป
แต่ทว่า ทางนี้เพิ่งจะกำจัดไป จากสถานที่ไกลห่างจากเขา วิญญาณร้ายสองดวงนั้นก็ปรากฏขึ้นอีก
ภาพตรงหน้านี้ ฉินเทียนอีได้พบเห็นด้วยตาตัวเองจึงประหลาดใจอย่างมาก
“ไม่คิดว่าจะฆ่าไม่ตาย! ถ้าเช่นนั้นจะฆ่าพวกเขาให้ตายอย่างไร” ฉินเทียนอีเอ่ยอย่างโมโห
ทันใดนั้น เขารู้สึกว่ามีความผิดปกติเข้ามาใกล้ตัว
มือที่แดงฉานทันใดนั้นก็ฟันไปทางนั้น กลับถูกฝ่ามือร้ายกาจขวางไว้ ทำให้การจู่โจมของเขาถูกผลักเข้าไปอีกทาง ตกลงบนร่างวิญญาณร้าย
“เจียงหลีหรือ” ฉินเทียนอีมองอย่างสงสัยยังคนที่ปรากฏอยู่ข้างตน หากเขาจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ เจียงหลียังอยู่ห่างจากเขาอีกไกล
ส่วนเขาก็ไม่เห็นร่างนางเหาะผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้นรู้สึกถึงพลังจิตเคลื่อนไหว เหตุใดนางถึงได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาได้
“รีบไปก่อนเถิด!” เจียงหลีไม่มีเวลาจะอธิบายเรื่องเมื่อสักครู่นี้ให้ฉินเทียนอีฟังว่าที่นางใช้นั้นคือศาสตร์ลับของเมืองฮวงเสิน
จากนั้น นางเงยหน้าขึ้นมองเจ้าเปี๊ยกบนต้นไม้ ร้องตะโกนเสียงดัง “หลิวหลี!”
เจ้าเปี๊ยกบนต้นไม้ลุกขึ้นยืนทันที ไม่รีรอกระโดดลงมาจากต้นไม้โดยใช้ท่าเหินลงมาสู่อ้อมแขนของเจียงหลีแล้วเกาะไว้ เจียงหลียื่นมือรับร่างเล็กๆ ของมันไว้ ร่างเล็กไร้เรี่ยวแรง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าใช่หรือไม่” นางถามเสียงเบา
เจ้าเปี๊ยกอยู่ในอ้อมอกค่อยๆ ส่ายศีรษะ แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับมัน
เจียงหลีไม่ได้สงสัยเจ้าเปี๊ยก นางกอดเจ้าเปี๊ยกไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งจับไหล่ของฉินเทียนอีเอาไว้ แล้วจึงใช้ศาสตร์ลับ ทั้งสองคนก็หายวับไปทันทีจากตรงนั้น ทำให้วิญญาณร้ายพวกนั้นพบแต่ความว่างเปล่า
ตอนที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็หลุดพ้นจากสิ่งที่ห้อมล้อมก่อนหน้านั้นแล้ว
แต่ทว่า หลุมศพพวกนั้นยังคงอยู่ แล้ววิญญาณร้ายก็ยังลอยออกจากหลุมศพไม่หยุด
“ไป!” ฉินเทียนอีหันกลับไปเอามือคว้าเจียงหลีไว้ แล้วเหาะขึ้นฟ้ามุ่งไปยังข้างหน้า จ้องยังมือที่จับกันอยู่ หลิวหลีเดรัจฉานน้อยหลับตาลง ในยามคับขัน เจียงหลีก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยนี้ นางถูกฉินเทียนอีพาเหินไปบนท้องฟ้าไปเรื่อยๆ พอก้มมองลงไป กลับมองเห็นวิญญาณร้ายโผล่ออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่ปกติ
เมื่อมองไปยังข้างหน้าอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าดินแดนผนึกมารนี้จะกว้างใหญ่จนมองไม่เห็นขอบเขต ระหว่างภูเขาและป่า ที่รกร้าง ยอดเขา หน้าผา หน้าผาที่ยื่นออกมา ทุกสถานที่ล้วนเป็นสุสานทั้งหมด
“เจ้ารู้จักดินแดนผนึกมารนี้ดีเท่าไหร่” เจียงหลีเอ่ยถามฉินเทียนอี
เขามาจากตำหนักหลีหั่วที่เป็นกลุ่มอำนาจระดับสูง แน่นอนว่าจะต้องมีคนจำนวนหนึ่งไม่รู้จักเบื้องลึก
“ข้ารู้แต่เพียงว่า วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ล้วนเป็นเกิดมาจากโลกแห่งกิเลสครอบงำ กำจัดวิญญาณชั่วร้าย ก็เป็นภารกิจฝึกประสบการณ์ของพวกเรา” ฉินเทียนอีเอ่ยตอบ
เจียงหลีมองเขาครู่หนึ่ง ดูจากสีหน้าของเขาก็ดูออกว่าเขาไม่ได้โกหก
ขมวดคิ้วเล็กน้อย เจียงหลีรู้สึกหดหู่ ดูท่าแล้ว ยังต้องหากงเสวี่ยฮวาเจ้าเด็กที่รู้ทุกอย่างอะไรนั่น ถึงจะสามารถเข้าใจดินแดนผนึกมารนี้ได้
ไม่เสียแรงที่กงเสวี่ยได้เป็นถึงนายน้อย ความลับมากมาย เขารู้หมด
เพียงแต่…ตอนนี้กงเสวี่ยฮวาอยู่ที่ไหน อีกอย่าง พวกเจียงเฮ่าอยู่ที่ไหน
การต่อสู้เมื่อครู่นี้ ทำให้ฉินเทียนอีเสียพลังไปมาก ตอนนี้พาเจียงหลีเหาะขึ้นฟ้ามานานขนาดนี้ คงจะทนไปไม่ได้อีกนาน
เจียงหลีเลิกคิ้วขึ้นมองยังใบหน้าของเขาที่ซีดเซียว สายตาสำรวจไปรอบๆ ทันใดนั้นชี้มือไปข้างหน้ายังแม่น้ำลำธารที่ป่าห้อมล้อมไว้ “ไปพักก่อนสักครู่เถิด ทางนั้นไม่มีวิญญาณร้าย”
“ก็ดี” ฉินเทียนอีพยักหน้า ไม่ได้อวดเก่ง พาเจียงหลีไปยังทางที่นางบอก
ทุกอย่างในดินแดนผนึกมาร ล้วนมีความรู้สึกพ่ายแพ้ สีสันที่นี่ก็เป็นสีเดียว มองนานไป จะทำให้คนเกิดอารมณ์ความรู้สึกหมองหม่น
ยังดีที่ชุดตำหนักเย่าสีทองบนตัวเจียงหลี ชุดสีแดงของฉินเทียนอี ล้วนบรรเทาความเหนื่อยล้าในการมองเห็นของพวกเขาทั้งคู่ได้
เมื่อลงถึงพื้นอย่างปลอดภัย เจียงหลีจึงปล่อยมือที่ฉินเทียนอีกุมไว้ออก มือว่างเปล่าลงทันตา ทำให้ใจของฉินเทียนอีเกิดความรู้สึกหดหู่ แต่ทว่าเพียงไม่นานเขาก็กลับไปเหมือนตอนแรก รอยยิ้มของกว้างปรากฏขึ้นอีกครั้ง “หลุดพ้นจากเจ้าพวกนั้นมาจนได้”
เจียงหลีกำลังเตรียมจะพูด กลับพบว่าเพิ่งถูกฉินเทียนอีจับมือไว้จนจั๊กกะจี้
นางก้มศีรษะลงมอง พบว่าเจ้าเปี๊ยกแลบลิ้นสีชมพูออกมา แล้วเลียแผล็บบนมือของนาง
“…” เจียงหลียกยิ้ม
นางกลับไม่รู้สึกรังเกียจ เพียงแต่ความผิดปกติของเจ้าเปี๊ยกทำให้นางรู้สึกไม่ชิน “หลิวหลี เจ้าทำอะไรน่ะ”
เจ้าเปี๊ยกที่กำลังวุ่นวายอยู่ ได้ยินเสียงเจียงหลีถาม จึงเงยหน้าขึ้น แววตาของหลิวหลีแฝงความเย็นชาอยู่ มองจนเจียงหลีใจเต้นโครม ความรู้สึกเหมือนกับเด็กที่ทำผิด แล้วถูกจับได้!
หลิวหลีที่เย็นชา ไม่ตอบนาง เพียงแต่มองนางครู่เดียวแล้วจึงมุดหัวตั้งใจทำตัวติดนางตลอด
ราวกับอยากทำให้ตรงที่ฉินเทียนอีสัมผัสมาก่อน มีแต่กลิ่นของตนทั้งหมด
เจียงหลีจำยอม ทำได้เพียงปล่อยมันทำตามอำเภอใจ นางหันหลังไปเอ่ยกลับฉินเทียนอี “ยังไม่รู้ว่าวิญญาณร้ายพวกนั้นจะปรากฏขึ้นอีกหรือไม่ ต้องรีบพักฟื้นฟูพลังไว้ก่อน”
“อืม เจ้ารีบฟื้นฟูก่อนเถิด ข้าจะคุ้มกันให้” ฉินเทียนอีเอ่ยถามเอง
เจียงหลีกลับส่ายศีรษะ “เจ้าเสียพลังมากกว่าข้า ถ้าเช่นนั้นเจ้าฟื้นฟูก่อนเถิด” อันตรายยังคงมีอยู่ จึงไม่สามารถฝึกฝนพร้อมกันได้แน่นอน
ฉินเทียนอีคือกระสุนนัดสุดท้าย หากยังต้องเฝ้านางฝึกฝน ถ้าเกิดวิญญาณร้ายจู่โจมกะทันหัน พวกนางสองคนต้องแย่แน่ๆ
ดังนั้น การวางแผนที่ดีที่สุดก็ต้องให้ฉินเทียนอีฟื้นพลังก่อน
เขาก็ไม่ได้ดึงดันต่อ หลังจากที่เจียงหลีพูดจบ เขาก็พยักหน้า “ก็ดี ทำเช่นนี้ปลอดภัยกว่า”
พูดจบ เขาก็ไม่ยอมให้เสียเวลา นั่งขัดสมาธิบนหิน นำแก่นหินวิญญาณสองก้อนออกมา แบ่งถือในมือสองข้าง หลับตาลงเริ่มหายใจเอาพลังจิตเข้า
หลังจากที่ฉินเทียนอีเข้าสู่การฝึกฝน เจียงหลีจึงอุ้มเจ้าเปี๊ยกไว้ นั่งลงบนศิลาที่ถูกกัดกร่อนจนเป็นทรงกลมผิวเรียบตรงริมธาร
“พอได้แล้วล่ะ มือของข้าเหนียวเหนอะไปหมดแล้ว” มองเจ้าเปี๊ยกที่กลับไปสนใจมือของนางจนเจียงหลีทนไม่ไหว ลูบมันหัวเบาๆ
เจ้าเปี๊ยกหยุดลง แล้วเงยหน้ามองนางอีกครั้ง สายตาของหลิวหลีจ้องมองเจียงหลีอย่างไร้เดียงสา
“หลิวหลี” มันวนรอบนางครั้งหนึ่ง หยุดแล้วก็โต้ตอบอย่างไร้เดียงสา
“หลิวหลี เจ้ารู้ว่าจะสามารถจัดการวิญญาณร้ายพวกนี้ได้อย่างไรใช่หรือไม่” เจียงหลีคุกเข่าล้างมือข้างลำธารพลางเอ่ยถามขึ้น
เจ้าเปี๊ยกตาลุกวาว
มันคงจะรู้แน่นอน แต่กลับไม่สามารถบอกนางได้ ในเมื่อนี่เป็นประสบการณ์ของเจียงหลี นางจำเป็นต้องทำให้สำเร็จด้วยตนเอง
หากว่าทุกเรื่องล้วนมีทางลัด นางจะเติบโตได้อย่างไร
“แต่ว่าเจ้าก็อาจจะไม่รู้ เจ้าอายุไม่เท่าไหร่เองนี่” เจียงหลีสะบัดน้ำในมือให้แห้ง แล้วอุ้มเจ้าเปี๊ยกขึ้นมาใหม่
“…” อายุ สำหรับเขาแล้วนั้น ไม่มีความหมายใดเลย