ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 134 มีความผ่อนคลายสบายใจ
ในขณะที่ฉินเทียนอีกับเจียงหลีหลบซ่อนวิญญาณชั่วร้ายอยู่นั้น ทั้งสองไม่รู้เลยว่าหลังจากที่วิญญาณชั่วร้ายออกมา าอาละวาดก็ค่อยๆ กลับสู่ความสงบ
น้ำในลำธารไม่รู้ว่าไหลไปที่แห่งหนใด ป่าทึบและหาดหินก็เงียบสงัดลงเช่นกัน
ณ ดินแดนผนึกมารแห่งนี้ ราวกับไม่มีสัตว์อาศัยอยู่ ขณะที่ทั้งสอง ผู้ที่ต้องเข้ามาฝึกฝนเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตหนึ งเดียวในที่แห่งนี้
เจียงหลีแหงนมองท้องฟ้า ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทาขาว แยกไม่ออกว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนกันแน่
หลิวหลีนั่งบนตักของนาง ขดตัวกลมอย่างเกียจคร้าน คล้ายจะนอนหลับอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ มันเหมือนจะต่อต้านกา ารนอน จึงพยายามต่อสู้กับความง่วงอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่อยากหลับตานอนเลย
“เข้ามาเกือบวันหนึ่งแล้วสินะ” เจียงหลีลองคาดเดา
พลังวิญญาณของนางฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาที่ให้ฉินเทียนอีคุ้มกัน พลังวิญญาณของนางก็ได้รับการฟื้นฟู ขณะท ที่ฉินเทียนอียังคงฝึกฝนต่อ เห็นได้ว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้แทบจะใช้พลังวิญญาณที่กักเก็บไปจนหมด
เจียงหลีกลับไม่รู้ว่าหลังจากที่พวกเขาเข้ามา ฉินเทียนอีสูญเสียพลังวิญญาณของตนเพื่อเปิดปากทางเข้า แล้วจึงเข้ ามาพบกับนาง พลังวิญญาณของเขายังฟื้นฟูได้ไม่มากเท่าไรนัก ก็พบเจอกับการลอบโจมตีจากวิญญาณชั่วร้ายอีกครั้ง
การระเบิดพลังหลายหน ทำให้พลังวิญญาณของเขาอยู่ในภาวะเหือดแห้ง การแสดงออกที่เจียงหลีมองเห็นว่าพลังอันเข็มแ แข็งเสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลายแล้ว จึงเป็นเพียงสิ่งที่เขาแสร้งทำเท่านั้น
ในความเป็นจริงสถานการณ์ของเขา แย่กว่านั้นหลายเท่ามาก
ดังนั้น การฝึกฝนของเขาในครั้งนี้ จึงสิ้นเปลืองเวลาไปมาก และตนก็ไม่อาจควบคุมได้ด้วย
ระหว่างที่รอนั้น เจียงหลีปลดปล่อยพลังจิตไปยังบริเวณโดยรอบ ผ่านไปชั่วครู่ ก็ได้รับข่าวกลับมาจากรอบๆ ทำให้แว ววตานางเย็นเยือก
วิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นหายไปแล้ว! การค้นพบนี้ ทำให้แววตาเจียงหลีเป็นประกาย
นางปลดปล่อยพลังจิตไปด้านหน้าที่ซึ่งเมื่อชั่วครู่เต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้ายเล็กน้อย ตอนนี้กลับ เงียบสงบลงแล้ว
“เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ” เจียงหลียกมุมปากขึ้น
หลิวหลีเอาหัวกระแทกที่ขานาง เพื่อให้นางก้มศีรษะมอง
เมื่อมองเห็นเจ้าเปี๊ยกพยายามดื้อดึงไม่ยอมนอน เจียงหลีจึงหัวเราะพลางเอ่ย “อยากนอนก็นอนเถิด ทำไมต้องทรมานตัว วเองด้วย”
เจ้าเปี๊ยกส่ายศีรษะสุดแรง เพื่อให้ตัวเองตื่น
เจียงหลีถอนหายใจเงียบๆ ยื่นมือไปแตะขนปุกปุยบนหัวของมัน นิ้วหัวแม่มือลูบหลังหูของมันไปมาเบา “หลับให้สบายเ เถิด ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว และข้าจะได้อ่านม้วนตำราที่ศิษย์พี่ทั้งหลายให้ข้ามา ไม่ขยันล่ะก็ เมื่อออกไปแล้ว พวก กเขาทดสอบการบ้านข้า พบว่าข้ายังอ่านไม่จบ ข้าคงต้องแย่แน่ๆ”
การลูบข้างหูที่สบายนั้น เพิ่มความง่วงให้กับเจ้าเปี๊ยก คำพูดตอนท้ายของเจียงหลี เข้ามาในหูของมัน ก็เลือนลา างไปหมดแล้ว ที่ได้ยินชัดที่สุดก็คือ นอนหลับให้สบายเถิด…ตอนท้ายนางพูดอะไรบ้าง พูดว่า…เอ่อ…ข้าจะไม่ให้ถูกค ความงามครอบงำ จะมีหลงใหลในความงามของเจ้าเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ
มุมปากของเจ้าเปี๊ยกโค้งขึ้น เผยรอยยิ้มที่พอใจ ในที่สุดก็ต้านทานความง่วงไม่ไหว หลับสนิทด้วยการลูบจากเจียงหลี
เจียงหลีนั่งบนก้อนหินข้างลำธาร มีสัตว์เลี้ยงน่ารักขนปุยนอนขดอยู่บนตัก มือข้างหนึ่งลูบขนให้กับเปี๊ยกผู้ น่ารักบนตักไปมา มืออีกข้างถือตำรา ศึกษามันอย่างละเอียดและตั้งใจ
ทุกอย่างที่นี่ล้วนเป็นสีขาวเทา
ลำแสงสีทอง ใบหน้างดงามทรงเสน่ห์ รูปลักษณ์นิ่งเงียบแต่กลับยากที่จะเก็บซ่อนความหยิ่งผยอง จนกลายเป็นสีสันหนึ่งเ เดียวบนโลกใบนี้
ฉินเทียนอีออกจากการฝึกฝน เมื่อลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นก็คือฉากอันงดงาม
ทิวทัศน์ที่มองเห็น ตราตรึงในใจของเขาอย่างไม่ตั้งใจ บางทีทั้งชีวิตอาจลบไม่ออก ตัดทิ้งไม่ได้
งดงามมาก!
เขาหลงใหลกับฉากตรงหน้า ไม่อยากทำลายมันลง แค่อยากมองดูอย่างเงียบๆ ไม่สนใจเวลาเดินผ่าน
แต่ทว่า เจียงหลีกลับไม่ได้อยากให้เขามองอยู่เช่นนี้ต่อไป
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ นางก็ค่อยๆ เหลือบมอง สายตาเปลี่ยนจากตำราในมือเคลื่อนย้ายไปสบตากับฉินเทียนอีเข้า
ดวงตาอันสดใสและเป็นประกายคู่นั้น ทำให้ฉินเทียนอีหลุดออกจากความลุ่มหลงนั่น
ดวงตาของฉินเทียนอีหรี่ลงเล็กน้อย สายตาของฉินเทียนอีชั่วครู่ ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเ เขา หากไม่ใช่เพราะเมื่อชั่วครู่สายตาของเขาลุ่มร้อน นางก็คงไม่สะดุ้งจากการใจจดใจจ่อและเงยหน้าขึ้นหรอก
เจียงหลีกะพริบตาเล็กน้อย เก็บซ่อนเรื่องทั้งหมดไว้ในใจ
บางทีชั่วครู่เป็นเพียงความลุ่มหลงของฉินเทียนอีเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่นใด นางไม่อยากไปขยี้ให้อึดอัดทั้ง งสองฝ่าย
เพียงแต่…
หลังจากนี้ต้องรักษาระยะห่างให้ดี เจียงหลีเอ่ยเงียบๆ ในใจ
ถูกเจียงหลีจับได้ ฉินเทียนอีกลับไม่ได้รู้สึกเขินอาย นิสัยปกติของเขาคือทำตัวสบายๆ ทำอะไรตามอำเภอใจอยู่แล้ว ว หากถูกจับได้ว่าตนมีใจ ก็จะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปกปิดอย่างแน่นอน
“ขอบใจมาก” ฉินเทียนอีลุกขึ้น เดินไปทางเจียงหลี
เจียงหลีส่ายศีรษะ “ไม่ต้องเกรงใจ”
“เจ้าต้องการให้ข้าคุ้มกันหรือไม่” ฉินเทียนอีเอ่ยถาม
เจียงหลีเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ต้อง ข้าฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว”
ฉินเทียนอียิ้มเอ่ย “ดูแล้ว ข้าใช้เวลาไปไม่น้อย” เขาหยุดยืนหน้าหินก้อนที่เจียงหลีนั่งอยู่ แต่ไม่ได้เข้าไ ไปใกล้มากเกินควร
“ดื่มสุราไหม” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมา
เจียงหลีโค้งริมฝีปาก เก็บม้วนตำราในมือ แล้วยื่นมือไปที่เขา
ชุดแดง สุราเลิศรส…
ต้องบอกว่าการปรากฏตัวของฉินเทียนอี ทำให้นางนึกถึงความทรงจำในอดีตบางอย่างขึ้นมา ความรู้สึกที่ไม่รังเกียจต่อ ฉินเทียนอี ตั้งแต่ในตอนแรกก็มาจากสาเหตุนี้
ฉินเทียนอีนำกาสุราสองกาออกมาจากกระเป๋าวิเศษของตน ยื่นให้เจียงหลีไปหนึ่งกา
เจียงหลียื่นมือรับไว้ แล้วเทเข้าปากไปหนึ่งอึก
กลิ่นสุราหอมชวนดมและเข้มข้นมาก เมื่อผ่านลำคอก็ร้อนดั่งไฟ
“สุราชั้นดี!” เจียงหลียิ้มอย่างชื่นชม ความจริงแล้ว นางก็ไม่ได้รักการดื่มสุรารสชาติเข้มเช่นนี้นัก เทียบกัน นแล้ว นางชอบประเภทที่รสนุ่มนวล แต่รสชาติที่ยังติดลิ้นอยู่และเข้มข้นขึ้นในตอนท้ายมากกว่า
แต่ทุกครั้งที่ดื่มสุราเข้มข้น นางก็จะหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งถือเป็นความทรงจำในอดีตประเภทหนึ่ง
“สุรารสร้อนแรงเช่นนี้ เจ้าก็ดื่มได้?” ฉินเทียนอีมีสายตาประหลาดใจ ยกนิ้วโป้งให้นาง
เจียงหลีโค้งริมฝีปากยิ้ม “ก็แค่สุรา เหตุใดจะดื่มไม่ได้เล่า”
ฉินเทียนอีตกตะลึงแล้วหัวเราะเสียงดัง “เจ้ายังพูดจาโผงผางไม่เปลี่ยนเลย”
เจียงหลีเลิกคิ้วมองเขา คล้ายกับถามว่า จริงหรือ
ทั้งสองคนนั่งคุยกันที่ริมลำธาร หากเทียบกับการต่อสู้ที่ตึงเครียดเมื่อชั่วครู่ช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ใช่แล้ว เจ้าเลือกตำหนักหลีหั่ว คงไม่ได้เป็นเพราะชุดศิษย์ของพวกเขาเป็นสีแดงเพลิงหรอกนะ” ทันใดนั้น เจียงหลี ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
นางหัวเราะเยาะฉินเทียนอีที่กางชุดสีแดงให้ดู
แต่คาดไม่ถึงว่าพอนางหยุดพูด ฉินเทียนอีก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ฉลาดมาก!”
“…”
เอิ่ม!
เจียงหลีตกตะลึงและพึมพำในใจ เหตุผลการเลือกเข้าร่วมกลุ่มอำนาจในครั้งนี้ ไม่มักง่ายไปหน่อยหรือ
“เจ้าชอบชุดสีแดงขนาดนั้นเชียวหรือ” เจียงหลีถามอย่างประหลาดใจ
“แน่นอนสิ!” ฉินเทียนอีเอ่ยอย่างแน่วแน่ เขากางแขนออก เอ่ยถามเจียงหลี “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่ามีเพียงสีแดงเท่าที่ เหมาะสมกับข้าที่สุด”
มั่นใจ ทะนงตน รักอิสระ ตรงไปตรงมา…
เจียงหลีโค้งริมฝีปากยิ้มเบาๆ เหมือนกับคนผู้นั้นๆ ไม่น้อย