ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 145 บ้ากันหมดแล้วหรือ
ดินแดนผนึกมารนี้ใหญ่แค่ไหนกันเชียว เจียงหลีมองเห็นสถานที่พร่ามัวรอบแผนที่แล้วแอบกลัว
เห็นได้ชัดว่าสถานที่พร่ามัวเหล่านั้นยังไม่เสร็จสิ้น
แผนที่ที่ไม่อาจวาดให้เสร็จสมบูรณ์ ก็สามารถอธิบายได้เพียงว่าสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่ที่ไม่มีใครเคยสำรวจมาก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังสังเกตเห็นว่าสถานที่ที่นางและฉินเทียนอีลงมาครั้งแรกนั้นจริงๆ แล้วอยู่ด้านนอกของแผนที่
“มิน่าล่ะ วิญญาณชั่วร้ายที่พบในครั้งแรกนั้นจัดการได้ไม่ยาก เว้นแต่จะน่ารำคาญเสียมากกว่า” เจียงหลีเข้าใจในทันที
ยิ่งเดินเข้าไปข้างในมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งพบกับวิญญาณชั่วร้ายที่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
แต่ในเวลานี้…
ดวงตาของเจียงหลีเหลือบไปเห็นที่ที่พวกนางอยู่ตอนนี้ แล้วเม้มปากเงียบ
ตอนนี้ ที่ที่นางและไหวปี้อยู่ ยังนับว่าเป็นชายขอบ แต่ยิ่งพวกนางก็อยู่ใกล้ขอบมากขึ้น ระยะห่างจากศูนย์กลางก็อีกยาวไกล จากความเร็วปัจจุบัน จะใช้เวลาประมาณครึ่งปีกว่าจะ ะถึงศูนย์กลาง นี่คือระยะเวลาในกรณีที่ทุกอย่างนั้นราบรื่น
มันไม่ง่ายเลย ที่จะพบกับผู้มาหาประสบการณ์เพียงสามสิบห้าคนในสถานที่ใหญ่ขนาดนี่
เมื่อคิดคำนวณดูแล้ว เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่นางได้เข้ามายังดินแดนผนึกมารแห่งนี้
เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่แน่ใจเล็กน้อย เวลาในดินแดนนี้คลุมเครือเกินไป
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก็ทำหน้าบึ้งตึง” ไหวปี้มองไปที่เจียงหลีตลอด ไม่พลาดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของสีหน้านาง
เจียงหลีลืมตาขึ้นมองนาง พลิกแผนที่ขึ้นมา แล้วพูดอย่างแผ่วเบา “ไม่มีอะไร เจ้าเคยเจอใครมาก่อนหรือไม่”
ไหวปี้ส่ายหน้าช้าๆ “ยกเว้นเจ้าและจู๋เยี่ยนข้าไม่ได้พบใครเลย” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ตาของไหวปี้ก็กังวลเล็กน้อยเช่นกัน “ศิษย์น้องสี่คนของข้า ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็ นอย่างไร โชคดีไปหากไม่เจอกับคนจากสำนักหลีหุนจงหากบังเอิญเจอเข้า…”
นางขมวดคิ้วจนย่น
นับว่านางโชคดีที่ได้พบกับเจียงหลี แล้วพี่น้องคนอื่นของนางเล่า
วิธีการของสำนักหลีหุนนั้นร้ายกาจเกินไปจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนจากสำนักหลีหุน หญิงสาวเหล่านี้ดูเหมือนจะมีความกลัวตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นพวกเขา มักจะนึกถึงหุ่นเชิดศพสาว ยังไม่ทันได้สู้ก็สูญเสียพลังไปครึ่งหนึ่งก่อ อนแล้ว
ไม่ ไม่ใช่หญิงสาวทุกคนสักหน่อย ไหวปี้อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เจียงหลี กระตุกมุมปากของนางเบา ๆ “เจ้าไม่กลัวสำนักหลีหุนเลยหรือ”
“ถ้าเจอเข้าจริง ก็ต้องพึ่งพาตัวเอง” น้ำเสียงของเจียงหลีเรียบนิ่งและไม่แสดงความกังวลใดๆ ไม่ใช่เพราะนางไม่คุ้นเคยกับคนจากวังเวิ่นฉิงแต่ในความเห็นของนาง ความเป็นความตายข ของตัวเองนางจะพึ่งพาคนอื่นได้อย่างไร หากตนยังไม่สามารถพึ่งพาตนได้
แทนที่จะคิดหาคนมาช่วย สู้ตายด้วยตัวเองยังจะดีกว่า
“อื้อ” ไหวปี้พยักหน้า ไม่สามารถหักล้างคำพูดของเจียงหลีได้
ในช่วงครึ่งวันนี้ พวกนางอยู่อย่างสงบสุขโดยหลีกเลี่ยงจากวิญญาณชั่วร้าย ครึ่งวันต่อมา วิญญาณชั่วร้ายก็พักผ่อนอีกครั้ง เจียงหลีและไหวปี้ก็ออกเดินทางอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ ทั้งสองได้พูดถึงเพื่อนของพวกนาง
ในเวลานี้ สิ่งที่ไหวปี้ต้องการมากที่สุดคือ รวมตัวกับพวกของตน เพื่อยืนยันความปลอดภัยและดูแลซึ่งกันและกัน
มีผู้คนมากมายที่เป็นห่วงเจียงหลี
พี่ใหญ่เจียงเฮ่า กงเสวี่ยฮวา ฉินเทียนอี แน่นอนในฐานะหัวหน้า นางยังต้องให้ความสนใจกับอีกสามคนจากฮวงเสิน
…
“ได้เวลาตื่นอีกแล้ว” หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ไหวปี้ก็เตือนอีกครั้ง
เจียงหลี ขมวดคิ้ว “เดินต่อไป”
“ตกลง” ไหวปี้พยักหน้า
เพราะความกังวลในใจ นางจึงไม่ต้องการเสียเวลาและพักผ่อนอีกต่อไป
เหนือหลุมฝังศพ เงาผีเริ่มลอยขึ้นช้าๆ ค่อยๆ กลายเป็นร่างมนุษย์
“ไปเร็ว” ร่างของเจียงหลีสั่นไหว แวบวาบไปทั่วนภาราวกับสายฟ้า
ไหวปี้เดินตามอย่างใกล้ชิด พื้นที่ก็เต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้าย ทำได้แค่สูญเสียพลังวิญญาณเพื่อเหินผ่านไปทางอากาศเท่านั้น โชคดีที่หลิงจงอยู่เหนือชั้นห้าขึ้นไป ก็สามารถเหาะเ เหินไปในอากาศได้ ไม่อย่างนั้นพวกนางต้องซวยแน่
“ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็น แต่ทุกครั้งที่เห็นวิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ ข้าก็ยังรู้สึกชาที่หนังศีรษะ” ไหวปี้ก้มศีรษะลงและมองไปยังเงาร่างที่หนาแน่นบนพื้น และเสียงของนางก็ สั่นเทาเล็กน้อย
“ถ้าเจ้ากลัว ก็อย่าก้มหน้า” เจียงหลีกล่าวต่อหน้านาง
เมื่อได้ยินคำปลอบโยนเหล่านี้ ไหวปี้ก็ถอนสายตาและยิ้มหวาน
วิญญาณชั่วตื่นมากขึ้นเรื่อยๆ และอีกครึ่งวันจะตกอยู่ในภาวะวิกฤติ
ทันใดนั้น เจียงหลีก็หยุดชะงักอย่างแรงและตกลงบนต้นไม้สูง เหยียบบนยอดไม้และมองไปข้างหน้าอย่างหนักแน่น
ไหวปี้ไม่เข้าใจ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงหยุดตามและยืนข้างนาง
“วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้บ้าไปแล้วหรือ” ทันทีที่นางหยุดลง ก็ได้ยินคำพูดของเจียงหลี
นางลืมตาขึ้นมองไปข้างหน้า เห็นวิญญาณร้ายที่ไม่ยอมออกจากหลุมฝังศพอย่างง่ายดาย แต่พวกมันกำลังมาบรรจบกันในทิศเดียวจากทุกทิศทุกทาง ภาพนี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนักและมีวิญญาณ ชั่วร้ายนับไม่ถ้วนราวกับสายน้ำที่แผ่กระจายไปทั่วพื้นพิภพ
“รวมพล!” ไหวปี้อุทาน
รวมพลหรือ
เจียงหลี ขมวดคิ้วและหันไปมองนาง ไม่เข้าใจความหมาย
ใบหน้าของไหวปี้ซีดลง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกลัว และร่างกายของนางดูเหมือนจะไม่สามารถยืนจนทำให้ล้มลง
เจียงหลียื่นมือช่วยดึงไว้และถามนางด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำว่า “รวมพลคืออะไร เจ้ากลัวอะไร”
“รวมพล รวมพลจริงๆ ด้วย! เราเพิ่งเข้ามาได้เดือนเดียว แล้วทำไมเราถึงเจอกับการรวมพล ไหนบอกว่าการรวมพลจะเกิดขึ้นหลังจากเข้ามาถึงประมาณหนึ่งปีไม่ใช่หรือ” ไหวปี้ไม่ตอบคำถามของ งเจียงหลี แต่พูดกับตัวเอง
“เจ้าใจเย็นก่อน” เจียงหลีบีบแขนของนางอย่างแรง บังคับให้นางสงบลง
ในที่สุดไหวปี้ก็สงบลง แล้วเบิกตากว้างมองเจียงหลีอย่างสิ้นหวัง
“เจ้าบอกข้าได้ไหมว่ารวมพลเป็นอย่างไร” เจียงหลีถาม
ไหวปี้พยักหน้าช้าๆ “นี่เป็นหนึ่งในข่าวลับที่วังเวิ่นฉิงได้มา ตามที่ผู้ที่ออกจากแดนผนึกมารบอกเล่ามา จะมีการรวมพลหนึ่งครั้งในสองปี การเคลื่อนไหวที่เรียกว่ารวมพลคือ วิญญา าณร้ายทั้งหมดในแดนผนึกมารถูกส่งมารวมกัน ดูเหมือนว่าพวกมันจะสามารถรับรู้ได้ว่าผู้ฝึกตนอยู่ที่ไหนกันบ้าง ไม่เคยรู้ทิศทาง และไล่ให้ผู้ฝึกตนทั้งหมดไปยังศูนย์กลาง ในระหว่ างนี้ วิญญาณชั่วจะไม่หลับอีกต่อไป แต่ผู้ฝึกตนจะถูกไล่ฆ่าอย่างไม่รู้จบ”
“หลบหลีกไม่ได้หรือ” เจียงหลีขมวดคิ้วและถาม
ไหวปี้ส่ายหัว “ไม่สามารถหลบได้ พวกมันสามารถหาร่องรอยได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน”
“…” เจียงหลีเม้มริมฝีปากของนางอย่างเงียบๆ เงยหน้าขึ้นมองดูวิญญาณชั่วที่มาบรรจบกันไม่รู้จบ มากขนาดนี้ มันเหนือจินตนาการเหลืเกิน
“อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่ออกไปต่างบอกว่าการรวมพลนั้นใช้เวลาหนึ่งปีกว่าจะเกิดขึ้น ทำไมคราวนี้ถึงเร็วขึ้นล่ะ” นี่คือสิ่งที่ทำให้ ไหวปี้สิ้นหวังมากที่สุด
พวกนางเพิ่งมาถึงดินแดนผนึกมาร พวกนางเพิ่งทำความคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ที่นี่ และยังคงปรับตัวให้เข้ากับการเผชิญหน้ากับวิญญาณชั่วร้าย พวกนางจะรับมือกับความปั่นป่วนกะทันหันนี้ไ ได้อย่างไร
“เจ่เจ้…ที่นี่มีอีกสองคน!”
ทันใดนั้น ข้างหลังต้นไม้มีเสียงผีสางดังขึ้น
เจียงหลีและไหวปี้ หันกลับมามองพวกมันพร้อมกัน และเห็นฉากที่น่าตกใจ
ไม่รู้เมื่อไร วิญญาณร้ายนับพันที่อยู่เบื้องหลังพวกนางมารวมตัวกัน กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้อย่างพวกนาง เข้าใกล้หลังทั้งสองจนห่างแค่เพียงเอื้อมมือ…