ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 147 วิถีอิสระแห่งตนไร้ขีดจำกัด
เมื่อเห็นความผิดหวังในสายตาของอาจารย์ หัวใจของเสิ่นฉงก็เต้นแรง และเขาก็รีบสยายเสื้อคลุมและคุกเข่าลงกับพื้น
“ซือจุน!”
เสียงของเสิ่นฉงนั้นลึกและเขาก้มหน้าด้วยความอับอาย
“ศิษย์พี่ใหญ่?”
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
ในขณะนี้ ซีไหลและคุนอู่เดินผ่านห้องโถงพอดี พวกเขาตกใจเมื่อเห็นฉากนี้ รีบเข้ามาและคุกเข่าข้างเสิ่นฉงพร้อมกัน
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ว่าเสิ่นฉงเป็นคนที่ติดตามซือจุนมาเป็นเวลานานที่สุด และไม่เคยทำให้อาจารย์โกรธ และตอนนี้ เขาคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อสารภาพผิด ต้องมีเรื องใหญ่เกิดขึ้น
ท่านประมุขมองดูศิษย์ทั้งสามคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น และอารมณ์ของเขาก็ซับซ้อนขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ถอนหายใจ และพูดกับทั้งสามคน “ข้ารู้ พวกเจ้าลำบากมาแปดร้อยปีแล้ ว มันเป็นเพราะพวกเจ้าคิดว่า ที่ฮวงเสินเปลี่ยนจากกลุ่มอำนาจสูงสุดเป็นระดับกลางเพราะพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจึงควบคุมการฝึกฝนเนตรญาณของตัวเอง ไม่ยอมรวมเข้ากับวิญญาณยุทธ์ใ ใหม่และอยู่หยุดอยู่ที่ระดับหลิงหวัง เพื่อลบล้างความอัปยศ”
ทั้งสามคนเงียบไป
ซีไหลและคุนอู่ที่มาภายหลังไม่ทราบสาเหตุ แต่ว่า พวกเขาไม่สามารถหักล้างสิ่งที่ซือจุนพูดได้ในตอนนี้
“ข้ารู้ด้วยว่าเมื่อเร็วๆ นี้ พวกเจ้าไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ศาสตร์ลับหรือยาก็ไม่สามารถช่วยควบคุมเนตรญาณได้อีกต่อไป ดูคนเหล่านั้นที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับพวกเจ้า า ตอนนี้พวกเขาได้กลายเป็นหลิงหวงแล้ว การปรากฏตัวของหลี่เอ๋อร์ ทำให้พวกเจ้ามองว่าเป็นความหวังใหม่ พวกเจ้าหวั่นไหว หวังว่านางจะเข้ามาแทนที่และนำพาฮวงเสินกลับขึ้นไปสู่จุด ดสูงสุดอีกครั้ง ข้าพูดถูกไหม”
เสียงของท่านประมุขนั้นสงบมาก แต่ทั้งสามคนก็รู้สึกได้ถึงความไม่พอใจ
พวกเขา…คิดอย่างนั้นจริงๆ
ทันใดนั้น ท่านประมุขก็ชี้นิ้วไปทางเสิ่นฉงและพูดกับซีไหลและคุนอู่ “ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าต้องการใช้เด็กเจียงหลีเป็นไพ่ตาย เป็นอาวุธลับและการปกป้อง ซ่อนนางไว้ หรือแม้ แต่ฝึกคนอื่นขึ้น ทำหน้าที่เป็นตัวแทน เพื่อดึงดูดสายตาของกลุ่มอำนาจอื่นๆ และช่วยยัยเด็กเจียงหลีปัดเป่าภัยพิบัติ เจ้าทั้งสอง เห็นด้วยกับความคิดของเขาหรือไม่”
ซีไหลและคุนอู่มองเสิ่นฉงด้วยความตกใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น” ซีไหลถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ
เขาแน่ใจว่าเสิ่นฉงมีความคิดเช่นนั้น และแน่นอนว่าไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
เสิ่นฉงกัดฟันและพูดอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่นอกแดนผนึกมาร
หลังจากฟังแล้ว คุนอู่ก็ขมวดคิ้วและพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “คนจากป้อมปราการเฟยอวิ๋นเหล่านั้น จะต้องคิดไม่ดีกับศิษย์น้องเล็กอย่างแน่นอน”
“กลุ่มอำนาจอื่นพบว่าจู่ๆ เรามีศิษย์ใหม่ในตำหนักเย่า พวกเขาคงจะอยากรู้อยากเห็น ถ้าพวกเขารู้ความสามารถของศิษย์น้องเล็กล่ะก็ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไม่เพียงแค่เฝ้าดูฮวงเสินของ เราไปสู่ความรุ่งเรืองเฉยๆ แน่” ซีไหลก็ขมวดคิ้วและส่ายหัว
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าสองคนจะคิดเหมือนกับศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า” ท่านประมุขถามอย่างเฉยเมย
ทั้งสามคนมองไปที่ท่านประมุขพร้อมกัน
ท่านประมุขยืนขึ้นช้าๆ แสดงความเข้มงวดที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน “พวกเจ้า ทำให้ข้าผิดหวังมาก! เจียงหลีเป็นศิษย์ของฮวงเสิน แล้วคนอื่นไม่ใช่หรือไง ฮวงเสินของข้าตั้งอยู่ในซี ฮวงเป็นเวลาหลายหมื่นปี เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนั้น คนแก่อย่างข้าก็หวังว่าฮวงเสินจะสามารถกลับสู่ตำแหน่งเดิมได้ แต่ข้าต้องทำอย่างมีเกียรติ เจียงหลี จะสามารถนำฮวงเสินยุคนี้ได้หรือไม่ เพื่อสร้างความรุ่งโรจน์ให้ฮวงเสิน ชำระล้างความอับอาย เหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับความพยายามของนางเอง อะไรจะเกิดย่อมเกิด หากนางไม่สามารถเรียน นรู้ที่จะเผชิญทุกสิ่งและเอาชนะได้ นางก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ เส้นทางการฝึกฝนไม่เคยราบเรียบ”
ทั้งสามคน ต่างพูดไม่ออกกับคำสอนของท่านประมุข หัวใจสั่นไหวเหมือนกลอง ความตกใจนี้ทำให้หมอกควันในใจพวกเขาหายไปอย่างกะทันหัน
“พวกเจ้าสามารถช่วยนางหลบลมฝน และหลบเลี่ยงความยากลำบากทั้งหมด แม้ว่านางจะได้เป็นใหญ่อย่างราบรื่น แล้วอย่างไรล่ะ ดาบที่ไม่ได้ผ่านการลับคม ไม่ว่าจะสวยงามและมีราคาแพงแค่ไ ไหนก็ตาม ก็เป็นแค่เศษเหล็กที่ประดับไว้แต่ก็ไร้ประโยชน์”
บทเรียนของซือจุนทำให้ใจทั้งสามสั่นไหว
พวกเขาตะลึง ตกใจ ไตร่ตรอง และในที่สุดก็ตระหนักได้
“ซือจุน ศิษย์ผิดไปแล้วขอรับ!” เสิ่นฉงก้มลงและกระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างหนัก ทำให้พื้นส่งเสียงตึกๆ
“ซือจุน พวกเราผิดไปแล้ว”
ซีไหลและคุนอู่ก้มหน้ายอมรับความผิดพลาดของพวกเขาเช่นกัน
เสิ่นฉงเงยหน้าขึ้น หน้าผากของเขาเขียวช้ำเป็นรอย แสดงให้เห็นว่าเมื่อกี้เขากระแทกศีรษะหนักแค่ไหน “ซือจุน โปรดวางใจเถิด เมื่อศิษย์น้องเล็กออกมาจากดินแดนผนึกมาร เราสามคน นจะสอนอย่างระมัดระวังต่อไป นางควรเผชิญและอดทนกับทุกอุปสรรค เราจะไม่ขัดขวาง ไม่ควรยื่นมือ และจะไม่ยื่นมือเด็ดขาด! จะไม่ขัดขวางการเติบโตของนางเพราะความเห็นแก่ตัว”
ความจริงใจที่ปรากฏขึ้นจากทั้งสามทำให้ประมุขสำนักถอนหายใจและพยักหน้าด้วยความโล่งอก
…
เวลานี้ในดินแดนผนึกมาร เจียงหลีไม่รู้ว่านางได้กลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มอำนาจจำนวนมาก วิญญาณชั่วที่อยู่ตรงหน้านางเหมือนกับคลื่นลูกใหญ่ ทำได้เพียงผลักนางไปที่ศูนย์กลางเท ท่านั้น
“สบายใจเหลือหลาย! สีกาสองคนที่อยู่ข้างหน้า รออาตมาก่อน!”
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้เจียงหลีและไหวปี้หันศีรษะพร้อมกัน
เสื้อคลุมสีดำและลูกประคำที่สะดุดตา ทำให้เจียงหลีรู้ว่าใครมา
“เขาคือพระมหาอินฮู!” ไหวปี้กระซิบ
เพราะขนาดตัวที่อ้วนท้วมของพระมหาอินฮู และส่วนสูงค่อนข้างเตี้ย เขาจึงดูอุ้ยอ้าย ระหว่างที่วิ่งเข้าหาทั้งสองคนราวกับหมูที่กำลังกลิ้งหลุนๆ
แต่วิญญาณชั่วร้ายนับไม่ถ้วน ที่ไล่ตามมาข้างหลังเขาเหล่านั้นน่ากลัวมาก
ดวงตาของไหวปี้เบิกกว้าง ปฏิเสธด้วยความหวาดกลัว “พระมหาอินฮู ท่านอย่าเข้ามานะ! มีวิญญาณชั่วร้ายมากมายอยู่ข้างหลังท่าน ท่านอยากจะฆ่าพวกเราหรือ!”
ใบหน้าอ่อนเยาว์น่ารักและดูไม่มีพิษมีภัยของพระมหาอินฮูยิ้ม “เทพธิดาไหวปี้ทำไมช่างไร้เมตตาเช่นนี้ ในดินแดนผนึกมารแห่งนี้ ที่ต้องมาเผชิญกับวิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ ชะตากำหน นดพวกเราเป็นพันธมิตรกัน!”
“ถุย! พระพูดมากอย่างท่าน ใครเขาอยากเป็นพันธมิตรด้วยเล่า” ไหวปี้ดุว่า
พระมหาอินฮูพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “การพบกันคือมีวาสนาต่อกัน อาตมาอยากเดินไปพร้อมกับสีกาสองคน เมื่อเผชิญภัย ก็มีทั้งสองช่วย จะดีเพียงใด”
พูดจบแล้ว สายตาเปลี่ยนไปมองเจียงหลี พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่สว่างขึ้น “เทพธิดาจากเมือง
ฮวงเสินเล่า ท่านคิดอย่างไร”
เจียงหลี หัวเราะเบา ๆ
บัดนี้ แม้จะอยากปฏิเสธพระมหาอินฮูก็สายไปเสียแล้ว เพราะวิญญาณชั่วร้ายได้รวมตัวกันแล้ว
“เช่นนั้นไปกันเถอะ” เจียงหลีพูดและวิ่งไปข้างหน้าต่อไป
พูดไปก็แปลก ที่วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ดูเหมือนจะแค่พยายามไล่พวกนงไปที่ศูนย์กลาง ตราบใดที่พวกมันไม่หยุดและอยู่ในทิศที่ถูกต้อง พวกมันจะไม่ลงมือ แต่เมื่อพวกนางหยุด วิญญา าณร้ายเหล่านี้จะโจมตีพร้อมกัน
“วิญญาณชั่วร้ายที่ไม่ยอมสลายตัวไปผุดไปเกิดนี้จัดการยากจริงๆ อาตมาลำบากไปไม่น้อย ไม่รู้ว่าศิษย์ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลังจากที่พระมหาอินฮูตามทัน เขาก็หันไปขยิบตากับเจี ยงหลีและไหวปี้