ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 148 การเผชิญหน้าที่น่าเวทนา
เจียงหลีไม่สนใจเขา
ไหวปี้กลับถาม “พระมหาอินฮู ช่วงนี้ท่านได้พบเจอลูกศิษย์ของวังเวิ่นฉิงบ้างหรือไม่ หรือท่านมากับกลุ่มอำนาจอื่นหรือ”
พระมหาอินฮูส่ายหน้า “อาตมาช่างอับโชคยิ่งนัก ตั้งแต่เข้ามา ไม่เคยเจอใครเลย”
ไหวปี้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และนางเป็นห่วงศิษย์ร่วมสำนักนางจริงๆ
ทว่า จะวิตกกังวลในตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ถูกวิญญาณร้ายไล่ตามไปตลอดทาง ไหวปี้พูดอย่างโกรธเคือง “ไอ้พวกนี้ เมื่อไหร่จะหยุดกัน พวกมันพยายามจะทำอะไร พวกมันจะบีบบังคับพวกเราไปถึงไหน”
“อย่างไรคำถามก็มีคำตอบเสมอ เทพธิดาไหวปี้อย่าฉุนเฉียวไป” พระมหาอินฮูจิตใจสงบนิ่งดีมาก
เขาถูกไล่ล่าตลอดทาง แต่เขาไม่ได้ฉุนเฉียวหรือร้อนรนใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“มีคนอยู่ข้างหน้า” ทันใดนั้นเจียงหลีเตือนขึ้น
พระมหาอินฮูกับไหวปี้เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน และพวกเขาเห็นกลุ่มวิญญาณชั่วร้ายมาบรรจบกันที่ข้างหน้าด้านขวาพวกเจียงหลี และคนสองคนกำลังไล่ตามอยู่ข้างหน้าพวกนาง
“ใช่! เป็นพระสงห์แห่งสำนักฝัวหมัวเรานั่นเอง!” อินฮูมองไป ทำให้เขารับรู้ถึงบุคคลที่มา พร้อมยิ้มออกมาทันที
“ทางนี้! ทางนี้!” อินฮูโบกมือให้ทั้งสอง
อีกฝ่ายก็พบเขาเช่นกัน และรีบมาหาเขาอย่างไม่รีรอ
ไหวปี้ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านพบสหายแล้ว แทนที่จะไปรวมตัวกับพวกเขา กลับเรียกพวกเขามาที่นี่ พระมหาอินฮูบ้า ท่านคิดว่าวิญญาณร้ายที่ไล่ตามเรายังมีไม่มากพอ อหรือ”
“เทพธิดาไหวปี้คิดเช่นนี้ได้อย่างไร อาตมาเรียกศิษย์น้องมา เพื่อปกป้องเทพธิดาทั้งสองต่างหาก!” พระมหาอินฮูกล่าวอย่างไร้ยางอาย
พูดไปเพียงไม่กี่ประโยค พระมหาอีกสองรูปแห่งสำนักฝัวหมัวมาถึงแล้ว เมื่อเห็นพระมหาอินฮู พวกเขาก็เบิกบานด้วยความดีใจ
ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนคำทักทายเรียบง่าย จากนั้นจึงเร่งพลังวิ่งต่อไป และกลุ่มวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ข้างหลังพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนก็ทำให้ทึ่งมาก
“วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้มาที่นี่เพื่อเร่งความเร็วของเราหรือไม่” ไหวปี้อดไม่ได้ที่จะบ่น นางหมดแรง แต่นางไม่กล้าหยุด นางทำได้เพียงจับดาบวิญญาณด้วยมือทั้งสอง และเติมพลังว วิญญาณของนางอย่างต่อเนื่อง
“หือ บางทีเทพธิดาไหวปี้อาจจะบังเอิญเจอความจริงก็ได้” ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอินฮูโผล่ขึ้นมา
ไหวปี้มองบนใส่เขาและตอบอย่างไม่สุภาพว่า “ทำไมอะไรก็ท่าน ข้าถามท่านหรือ”
อินฮูไม่สนใจน้ำเสียงแย่ๆ ของไหวปี้ เขายิ้มและพูดว่า “อาตมาเห็นว่าเทพธิดาฮวงเสิน ไม่สนใจสีกา กลัวว่าสีกาจะเสียหน้า จึงใจดีช่วยเหลือ”
“ใครให้ท่านมาสนใจ! นางจะสนหรือไม่สนใจข้า เกี่ยวอะไรกับท่าน” ไหวปี้โดนจี้ใจดำ และความโกรธในอกก็พุ่งเข้าหาพระมหาอินฮูโดยตรง
“ทำไมเทพธิดาไหวปี้ถึงโกรธนัก ใจเย็นๆ สุข โกรธ เศร้า บ่น เพิกเฉยและความเขลา นั่นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระและเป็นต้นตอของปัญหา ปล่อยวางเถิดแล้วจะสบายใจ” พระมหาอินฮูโน้มน้าว วไหวปี้ให้ปล่อยวาง
“เจ้าสองคนว่างมากสินะ!” เจียงหลีที่ฟังการทะเลาะวิวาทกันของทั้งสองคนตลอดทาง อดไม่ได้เอ่ยขัดขึ้น
“สบายเหลือเกิน” พระมหาอินฮูยิ้มและเงียบปากอย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่ไหวปี้จ้องไปที่เขาอย่างดุเดือด ก็หยุดพูด
วิญญาณชั่วร้ายปรากฏรอบตัวทั้งห้าคนมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้จะไล่ไปที่ใด
หลังจากวิ่งมาหนึ่งวัน แม้แต่เจียงหลีก็เริ่มดูดซับพลังวิญญาณในผลึกหินวิญญาณ ระหว่างที่กำลังเติมพลัง ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับพรรคพวกอีกครั้ง
“พี่ใหญ่!”
คราวนี้ เจียงหลีได้เห็นคนที่ถูกไล่ชัดเจน และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความปีติยินดี
ในบรรดาสามคนที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายไล่ล่า หนึ่งในนั้นคือเจียงเฮ่า ส่วนอีกสองคนคือ หันเหยากวง และอีกคนเป็นศิษย์ของวังเวิ่นฉิง
“นั่นมันปี้โหรวนี่นา” ไหวปี้จำหญิงสาวคนนั้นได้และก็ดีใจมากเช่นกัน
ในที่สุด เมื่อนางเห็นศิษย์สำนักเดียวกัน หัวใจที่หวั่นวิตกของนางก็ชุ่มฉ่ำขึ้นมาบ้าง
เมื่อเจียงเฮ่าเห็นเจียงหลี เขาก็หันกลับมาหานางทันที ทั้งสองฝ่ายพบกัน สบตากัน และทั้งสองยังคงเร่งวิ่งไปข้างหน้าโดยปริยาย
ทันใดนั้น กลุ่มคนก็ได้ขยับขยายเป็นแปดคน และจำนวนวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา…มีจำนวนมากถึงหลายหมื่นตน
เจียงหลียิ้มอย่างขมขื่น ดวงตาของนางกวาดไปทั่วผู้คน และการแสดงออกของทุกคนก็น่าอึดอัด
ขณะที่วิ่ง เจียงเฮ่าและหันเหยากวงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านซ้ายและขวาของเจียงหลี แต่พวกเขากลับบีบไหวปี้ไว้ด้านข้าง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางไม่มีแรงจะสนใจเรื่องพวกนี้ แค่ค คล้องแขนศิษย์น้องสำนักเดียวกันแล้วพานางไปวิ่งต่อไป
เจียงหลีวิ่งไม่หยุด ดึงเอาแผนที่ที่ไหวปี้ให้มาจากอ้อมแขน และกางมันออกมาในมือ
“แผนที่ดินแดนผนึกมาร!” หันเหยากวงกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ
ดวงตาของเจียงเฮ่าก็หดตัวลงอย่างกะทันหัน
“ไหวปี้ให้มาน่ะ” เจียงหลีอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ โดยเน้นไปที่แผนที่ในมือ
เจียงเฮ่าและหันเหยากวงก็ขยับศีรษะและดูแผนที่อย่างระมัดระวัง
“ดูเหมือนว่าวิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้กำลังพาเราไปที่ศูนย์กลางจริงๆ” เมื่อเก็บแผนที่เสร็จ ดวงตาของ เจียงหลีก็ลุกวาวขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“มีอะไรอยู่ตรงกลางนั่นหรือ” เจียงเฮ่าขมวดคิ้วและถาม
หันเหยากวงส่ายหัว “คนที่ออกไปจากที่นี่ แทบจะไม่พูดถึงดินแดนผนึกมารเลย”
ปิดปากเงียบไม่พูดถึงเลย?
เจียงหลีกลับคิดว่า นั่นเป็นเพราะใช้วิธีการผิดไปอย่างไรล่ะ นางหรี่ตาเล็กน้อย มองไปทางไหวปี้และคนอื่นๆ ดูเหมือนว่าจะมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับความสามารถในการรวบรวมข่าวกรองข ของวังเวิ่นฉิงแล้ว
“มีคนปรากฏตัวอีกแล้ว” หันเหยากวงเตือนขึ้นทันที
ทางด้านซ้าย วิญญาณชั่วร้ายจำนวนมากรวมตัวกัน ที่ด้านหน้า มีจุดสีดำสองจุด พวกมันกำลังวิ่งอย่างสุดชีวิต แต่ก็ไม่สามารถทิ้งระยะห่างจากวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ข้างหลังพวกเขาได ด้
จู่ๆ ก็มีลมพัดมา ทั้งสามขมวดคิ้วมองดู เห็นพระมหาอินฮูวิ่งแซงไป ร้องโห่ไปทางสองคนด้วยความยินดี “พระคุ้มครอง ศิษย์แห่งสำนักฝัวหมัวของเรามากันครบแล้ว”
เมื่อร่างคนด้านข้างเข้ามาใกล้ พระสงฆ์จีวรดำสองรูปปรากฏต่อสายตาของทุกคนจริงๆ ด้วย
หลังจากที่ได้เห็นพระมหาอินฮู ศิษย์ทั้งสองแห่งสำนักฝัวหมัวก็ตื่นเต้นและตะโกนว่า “สบายดีๆ” และเข้าหาพวกเขา
ในเวลานี้ จำนวนคนทั้งหมดนั้นมีถึงสิบแล้ว ครอบคลุมสามกลุ่มอำนาจ ยังมีอีกยี่สิบสี่คนที่ไม่เห็นการเคลื่อนไหว
จู๋เยี่ยนตายแล้ว ในจำนวนสามสิบห้าคนที่เข้ามา เหลือเพียงสามสิบสี่คนเท่านั้น
แน่นอน นี่คือสิ่งที่เจียงหลีรู้อยู่แล้ว บางทีอาจมีคนอื่นเสียชีวิตในที่อื่น ดังนั้นจำนวนทั้งหมดยังจะลดลง
“วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ดูเหมือนจะกวดไล่พวกเราทุกคนไปยังที่แห่งเดียว” เจียงเฮ่าคาดเดา
เจียงหลีพยักหน้า “แค่ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของวิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้คืออะไร มันทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ” อันที่จริง ในเวลานี้นางสงสัยมากเกี่ยวกับความลับที่ซ่อนอยู่ในใจก กลางของดินแดนผนึกมารนี้ ทำไมวิญญาณชั่วจึงไล่พวกนางไปในทิศทางนั้น
“มันจะไม่ดีต่อเราแน่นอน” หันเหยากวงเยาะ
ทันทีที่เสียงของเขาเงียบลง คนหลายคนก็ปรากฏตัวตรงหน้า…