ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 17 ถ้ำสวรรค์หรือถ้ำสังหารมนุษย์
ฝึกประสบการณ์ก็หมายความว่าจะได้ออกไปจากสำนักพรตเสวียนช่วงหนึ่ง
นางสามารถหาโอกาสหลุดหนีไปก่อน แน่นอนว่าหากสามารถแก้ปัญหาของยันต์ธาราทมิฬร่วมกันได้ก็จะดีที่สุด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ แววตาของเจียงหลีก็ตื่นเต้นขึ้นมา
“ขอบังอาจถามท่านประมุข พวกเราต้องไปฝึกประสบการณ์ที่ไหนหรือเจ้าคะ” ซู่ซินแย่งเอ่ยปากพูดก่อน
“ถ้ำสวรรค์” ท่านประมุขบอกตามตรง
ถ้าสวรรค์อย่างนั้นหรือ
เจียงหลีไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ นางมองไปที่ประมุขด้วยความสงสัย แต่เห็นว่าเขาไม่ได้คิดที่จะอธิบาย
“ถ้ำสวรรค์หรือเจ้าคะ”
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงอุทานที่สั่นสะท้านของชิงหว่าน ในขณะเดียวกันซู่ซินที่ก่อนหน้านี้ยังคงมั่นใจเต็มเปี่ยม ตอนนี้ก็มีหน้าซีดเผือดเช่นกัน
ดูเหมือนพวกนางจะรู้ว่าถ้ำสวรรค์เป็นสถานที่เช่นไร
“ท่านประมุข ทางเปิดแล้วขอรับ” ขณะนั้นเองมหาปุโรหิตก็เดินเข้ามาแล้วทำความเคารพประมุขสำนักพรตเสวียนหมิง
ผู้เป็นประมุขพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นกับแม่นางทั้งสาม “ออกเดินทาง”
ชิงหว่านเงยหน้าขึ้นและส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก เจียงหลีรู้สึกได้ว่านางกำลังต่อต้านการฝึกประสบการณ์นี้โดยสัญชาตญาณ แต่กลับไม่กล้าที่จะพูดปฏิเสธ
แน่นอนว่าท่าทีของนางยังคงทำให้ประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงโกรธเคือง
เขาสบถอย่างเย็นชา ชิงหว่านร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันทีและล้มลงกับพื้น เจียงหลีรู้สึกประหลาดใจและยื่นมือออกมาเพื่อช่วยนาง แต่ขณะนั้นเองกลับได้ยินเสียงของมหาปุโรหิตเอ่ยขึ้น “ในฐานะที่เป็นธิดาสวรรค์แห่งสำนักพรตเสวียนหมิงของข้าจะต้องผ่านด่านถ้ำสวรรค์ให้ได้ พวกเจ้าทั้งสามจงจำเอาไว้หลังจากสี่สิบเก้าวัน ใครที่ฆ่าบุคคลที่มีสัญลักษณ์ได้น้อยที่สุดก็จะถูกคัดออกก่อน”
ฆ่าคนที่มีสัญลักษณ์หรือ
เจียงหลีหรี่ตาก้มลงพยุงชิงหว่านที่สงบลงมาบ้างให้ลุกขึ้นจากพื้น
“ยันต์ธาราทมิฬน่ะ” ชิงหว่านกระซิบอธิบายตอนที่เจียงหลีช่วยพยุงนางลุกขึ้นมา
เจียงหลีตกตะลึงมองดูนางและมองเหงื่อที่หน้าผากของนางอย่างละเอียด หลังจากเข้าใจ ชิงหว่านก็บอกนางว่าเมื่อครู่ที่รู้สึกเจ็บปวดเพราะนางทำให้ประมุขไม่พอใจเขาจึงใช้ยันต์ธาราทมิฬโจมตีนาง
ยันต์ธาราทมิฬนี่ชั่วร้ายจริงๆ แสงในดวงตาของเจียงหลีเริ่มเย็นลง
“คนแรกที่ถูกกำจัด!” ซู่ซินพูดซ้ำคำพูดของมหาปุโรหิตและแสงที่ดุร้ายปรากฏขึ้นในแววตาของนาง
“ตามข้ามา” มหาปุโรหิตเอ่ยขึ้น
สตรีทั้งสามคนเดินตามมหาปุโรหิตออกจากวิหารหลวงและขึ้นรถม้า
ในขณะที่เจียงหลีกำลังก้าวขาขึ้นแสงสีขาวก็พุ่งเข้ามาในรถม้าและพุ่งตรงมาที่นาง
“หลิวหลี!” เจียงหลีอุ้มเจ้าเปี๊ยกแล้วเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
นางยังคงคิดหาข้ออ้างเพื่อพาเจ้าเปี๊ยกมาด้วย คิดไม่ถึงว่าเจ้าเปี๊ยกตัวนี้จะมาหาเอง
“เหอะ ไปฝึกประสบการณ์ยังจะพาสัตว์เลี้ยงไปด้วยอีก” หลังจากซู่ซินขึ้นรถม้าแล้วก็สบถเสียงเย็น
ชิงหว่านมองไปที่เจียงหลีและเจ้าเปี๊ยกด้วยความอิจฉา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเสน่หา ดูเหมือนว่านางต้องการสัมผัสเดรัจฉานน้อย แต่นางไม่สามารถลืมแววตาที่เดรัจฉานน้อยจ้องนางก่อนหน้านี้ นางจึงลังเลที่จะเข้าใกล้
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า” เจียงหลีกระตุกคิ้ว ปราดตามองซู่ซินอย่างไม่พอใจ
ร่องรอยของเจตนาฆ่าแวบผ่านไปทั่วดวงตาของซู่ซิน แต่หลังจากได้ยินเสียงของมหาปุโรหิตที่อยู่ด้านนอกรถม้า นางจึงไม่พูดอะไร
ทันทีที่เจ้าเปี๊ยกพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเจียงหลี มันก็สงบนิ่งและหลับตาลง ดูเหมือนว่าตราบใดที่ยังอยู่กับเจียงหลีไม่ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไรมันก็ไม่หวั่น
ไม่ช้ารถม้าก็ออกเดินทาง
รถม้าปิดสนิทจน เจียงหลีพยายามมองแต่ก็ไม่เห็นอะไร แต่นางแอบปล่อยพลังจิตเงียบๆ โดยปิดด้านนอกของรถม้าและ ‘ชม’ ทัศนียภาพภายนอกในอีกทางหนึ่ง
“ถ้ำาสวรรค์หมายความอย่างไร” เจียงหลีแอบกระซิบคุยกับชิงหว่าน
“เอ่อ แม้กระทั่งถ้ำสวรรค์เจ้าก็ไม่รู้เรื่อง ตกลงเจ้ามาจากที่ใดกันแน่” ใครจะรู้ว่ารถม้าไม่ใหญ่ แม้ว่าเสียงของเจียงหลีจะเบามาก แต่ซู่ซินก็ได้ยินมันและถือโอกาสเย้ยหยัน
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างแหนงหน่าย เจียงหลีไม่สนใจนางและยังคงมองไปที่ชิงหว่านเพื่อรอคำตอบ
เมื่อเห็นว่าเจียงหลีทำเป็นเมินเฉยใส่ตัวเอง ใบหน้าของซู่ซินพลันร้ายกาจและหันศีรษะไปอย่างหยิ่งผยอง
“มันคือ…สถานที่ฝึกประสบการณ์” ชิงหว่านเงยหน้าขึ้นมองซู่ซินอย่างระมัดระวังและตอบอย่างลังเล หลังจากพูดออกไปแล้วนางก็รู้สึกว่าเจียงหลียังคงมองมาที่นางและจากนั้นก็กระซิบว่า “ถ้ำสวรรค์เป็นสถานที่น่ากลัว เมื่อเข้าไปแล้วต้องอยู่ให้ครบสี่สิบเก้าวันจึงจะออกมาได้ ภายในสี่สิบเก้าวันนี้ ขอแค่เจ้าสังหารๆ…ถ้าเจ้าไม่ฆ่าคนอื่น คนอื่นก็จะมาข้าเจ้า”
ในขณะที่ชิงหว่านพูด ความหนาวเย็นก็เพิ่มขึ้นจากกระดูกสันหลังของนางทำให้ไหล่นางสั่นสะท้านเล็กน้อย
เจ้าเปี๊ยกในอ้อมแขนของเจียงหลีค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองชิงหว่านและหลับตาอีกครั้ง สังหารรึ…ช่างเป็นการฝึกประสบการณ์ที่ดีจริงๆ
“พูดให้ชัดเจนอีกนิด” เจียงหลีเร่งเร้า
ชิงหว่านสงบหันใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ก่อนจะอธิบายขยายความ “ถ้ำเป็นที่ฝึกประสบการณ์ที่รู้จักกันดีในซีฮวง ผู้คนจากทุกกลุ่มอำนาจสามารถผ่านประตูและเข้าไปในประตูต้องห้ามนั้นได้ด้วยตราสัญลักษณ์ประจำกลุ่มอำนาจ แต่เมื่อเข้าไปแล้วจะไม่มีสถานะหรือตำแหน่งใดๆ อีกต่อไป เหลือเพียงการเข่นฆ่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนที่เข้าไปในถ้ำสวรรค์จะมีตำหนิหรือสัญลักษณ์สีเทาอ่อนบนหน้าผาก เราเรียกมันว่ารูปสัญลักษณ์ฆ่า เมื่อฆ่าครบสิบคนสีของสัญลักษณ์ฆ่าจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ฆ่าครบร้อยคนจะกลายเป็นสีแดง ฆ่าถึงคนสองร้อยคนจะกลายเป็นสีเงินแล้วถ้าเจ้าฆ่าคนมากกว่าห้าร้อยคนก็จะกลายเป็นสีทอง”
“ฆ่าอย่างป่าเถื่อนเลยหรือ คนจากกลุ่มอำนาจเหล่านี้ไม่กลัวการสูญเสียหรือไร” เจียงหลีตกใจเล็กน้อย
ชิงหว่านส่ายหน้า “ไม่ว่ากลุ่มอำนาจใด ขอเพียงคนรอดชีวิตออกมาจากถ้ำสวรรค์ได้ถึงจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สำคัญที่สุด คนอื่นตายแล้วก็ปล่อยให้ตายไป ถึงอย่างไรประชากรซีฮวงมากมายขนาดนั้น คนในสำนักน้อยลงก็ค่อยเปิดรับสมัครอีกก็ได้”
“…” กฎโหดร้ายเช่นนี้เชียวหรือ เจียงหลีนิ่งขรึม
นางไม่เคยเป็นฆาตกร นางฆ่าคนที่ต้องการฆ่า ถ้าไม่ตายเพราะคิดจะฆ่านางก่อนหรือหาเรื่องนางครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ก็เพราะรนหาที่ตายเอง
แน่นอนว่าในถ้ำสวรรค์แห่งนี้ จากคำบอกเล่าของชิงหว่านว่ามันเป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อสังหารเท่านั้น ทุกคนต้องฆ่าตามสัญลักษณ์เอาเพื่อชีวิตรอด ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะมีความเกลียดชังหรือไม่ เมื่อเข้ามาแล้วก็เป็นเพียงเหยื่อของศัตรู
“แล้วพวกเราสามคน…” เจียงหลีเอ่ยถาม
ชิงหว่านฝืนยิ้ม “ยังดีที่ถ้ำสวรรค์มีกฎข้อหนึ่ง คนสำนักเดียวกันห้ามฆ่ากัน มิฉะนั้นจะถูกลบล้างไปตามกฎ”
เจียงหลีกระตุกคิ้ว นี่มันกฎบ้าบอคอแตกอะไรอีกล่ะเนี่ย ในเมื่อต้องฆ่าทุกคนแล้วทำไมถึงฆ่าคนสำนักเดียวกันไม่ได้
“อย่างไรก็ตามการต่อสู้กับคนสำนักเดียวกันไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่จะเข้าไปในถ้ำสวรรค์” เมื่อเห็นความสงสัยในดวงตาของเจียงหลี ชิงหว่านจึงอธิบายอีกประโยค
เจียงหลีนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นว่าการสนทนาระหว่างทั้งสองหยุดลงซู่ซินซึ่งนั่งอยู่คนเดียวในอีกด้านหนึ่งก็หัวเราะเยาะและพูดติดตลกว่า “แม้คนสำนักเดียวกันจะไม่ลงมือ แต่คนที่ไร้ความสามารถก็จะตายในนั้น ต่อให้โชคดีออกมาได้ อย่าลืมสิ ท่านประมุขบอกว่าคนที่ฆ่าได้น้อยที่สุดจะถูกกำจัดก่อน”
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาที่เคยสดใสของนางพลันเย็นเฉียบ…