ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 22 ฆ่ากับถูกฆ่า
“คนเหล่านี้โหดร้ายเกินไปแล้ว! ก่อนที่จะฆ่าคน ยังจะเอาวิญญาณยุทธ์ของเขาไปด้วย” ชิงหว่านพูดด้วยความโกรธ
เมื่อฟังจากน้ำเสียงแล้ว เห็นได้ชัดว่านางรู้ว่าวิญญาณยุทธ์สามารถดึงออกจากร่างได้
เจียงหลีถามโดยปราศจากความเขินอาย “หลังจากวิญญาณยุทธ์ประสานเข้าด้วยกันแล้ว จะถูกดึงออกไปได้หรือไม่”
จอมยุทธ์หันไปมองนาง ซึ่งในสภาพผมที่ยุ่งเหยิงเผยความประหลาดใจออกมา ดูเหมือนกำลังจะถามว่าความรู้ทั่วไปนี้ทำไมนางถึงไม่รู้
มุมปากของเจียงหลีกระตุกเล็กน้อย เพราะ ณ ดินแดนหนานฮวง ไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน
โชคดีที่หลายวันมานี้ชิงหว่านใช้เวลาร่วมกับนาง ทำให้รู้ว่ามีหลายอย่างที่นางไม่เข้าใจ จึงอธิบายว่า“เนตรญาณพื้นฐานสามดวงแรก เมื่อประสานเข้ากับวิญญาณยุทธ์แล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และเมื่อเนตรญาณพื้นฐานถูกทำลาย รากฐานของการฝึกฝนก็จะถูกทำลายด้วยเช่นกันและเป็นคนไร้ประโยชน์ในที่สุด แต่สำหรับเนตรญาณที่เหลือ ขอเพียงแค่ดึงออกมาก่อนที่วิญญาณยุทธ์จะมอดสลายแล้วประสานเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถแก้ไขพรสวรรค์ได้”
“ดังนั้น ผู้คนจำนวนมากกระหายความแข็งแกร่งและตั้งใจทำลายวิญญาณยุทธ์ของตนหลังจากค้นพบวิญญาณยุทธ์ระดับที่สูงกว่า บีบบังคับและดึงวิญญาณยุทธ์ของผู้อื่นๆ มาประสานหลอมรวมกับตนเพื่อให้ได้มาซึ่งพรสวรรค์นั้น” จอมยุทธ์พูดเสริม
เจียงหลีตะลึงงัน
หลังจากนั้นไม่นานนางได้มองออกไปด้านนอก
วิญญาณยุทธ์ของชายผู้ที่ใกล้ตายถูกดึงออกมาอย่างสมบูรณ์และเก็บเอาไว้ในเปลือกวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับไม่ได้ฆ่าเขา แต่ยังคงดึงวิญญาณยุทธ์อีกตัวออกมา
“แล้วพวกเขา…”
เมื่อได้ยินข้อสงสัยของเจียงหลี จอมยุทธ์อธิบายว่า “เนตรญาณพื้นฐานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณยุทธ์จะดึงออกมาไม่ได้ เอาเป็นว่าคนผู้นี้ถึงฆาตแล้วและกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ก่อนตายคงไม่เป็นอะไร”
เจียงหลีกระจ่างแล้ว
หลังจากที่วิญญาณยุทธ์ของเนตรญาณพื้นฐานถูกดึงออกมา เนตรญาณพื้นฐานก็จะไร้ค่าทันที เมื่อรากฐานถูกทำลายก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปโดยปริยาย แต่สำหรับเนตรญาณดวงอื่นๆ กลับสามารถแทนที่วิญญาณยุทธ์ได้ ซึ่งจะไม่ส่งผลต่อการฝึกฝน แต่จะเพิ่มระดับความสามารถของวิญญาณยุทธ์ตัวใหม่และยกระดับพรสวรรค์
ขณะที่ในตลาดมืดของซีฮวง วิญญาณยุทธ์ที่ถูกดึงออกมาจากเนตรญาณของผู้อื่นก็เป็นการซื้อขายประเภทหนึ่ง
“หากเป็นเช่นนี้จะมิใช่ยุ่งเหยิงกันไปหมดหรือ” เจียงหลีบ่นพึมพำ หากสามารถแย่งชิงวิญาณยุทธ์ของผู้อื่นได้อย่างอิสระ ก็คง…
“ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอก” จอมยุทธ์แก้ไข “โดยทั่วไปแล้ว การดึงวิญญาณยุทธ์ของผู้อื่นนั้นโหดร้ายเกินไป หากไม่ใช่เพราะว่าเคียดแค้นกันอย่างรุนแรง จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หรอก ในสนามฝึกฝนอย่างถ้ำสวรรค์ คนเหล่านี้เป็นข้อยกเว้น พวกเขาเป็นคนของสำนักไป๋เซิงเหมิน ลูกศิษย์ของกลุ่มอำนาจนี้มีชื่อเสียงชอบเอาเปรียบผู้อื่น นอกจากนี้ หากเจ้าต้องการหลีกเลี่ยงจากเหตุการณ์เช่นนี้ให้มากที่สุด เจ้าต้องพึ่งพากลุ่มผู้มีอำนาจ”
เจียงหลีนิ่งเงียบ
นางรู้สึกว่าท่านอาจารย์หนานไม่ได้พูดเรื่องนี้กับนาง คงคิดว่าหลังจากที่เข้าสู่ซีฮวงแล้ว นางจะเข้าไปฝึกฝนที่กลุ่มอำนาจฮวงเสินเลย และหากพึ่งพากลุ่มอำนาจ คนปกติทั่วไปคิดหาวิธีจะเอาวิญญาณยุทธ์จากนาง ถือว่ารนหาที่ตาย
ใครจะไปคาดคิดว่านางจะมาถึงสำนักพรตเสวียนหมิงก่อนเล่า
แต่ทว่า…สำหรับซีฮวงแล้ว วิญญาณยุทธ์ขั้นแรกมีอยู่น้อยมาก ดูเหมือนว่าเมื่อยังไม่ถึงขั้นต้องป้องกันตัวและหลังจากนี้ไปคงต้องพยายามหลีกเลี่ยงการใช้วิญญาณยุทธ์แล้ว เพราะหากใครรู้เข้าว่าวิญญาณยุทธ์ทั้งสี่ตัวของข้าล้วนอยู่ขั้นแรก…เจียงหลีมองยังคนที่ถูกดึงวิญญาณยุทธ์ออกถึงสองตัวและนอนนิ่งอยู่บนพื้น ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคลังสมบัติเคลื่อนที่ได้
“ตายแล้วหรือ” ใครบางคนเหยียดเท้าเตะชายที่นอนอยู่บนพื้น
ขณะที่ด้านหลังของชายผู้นั้น ยังไม่ทันได้ดึงวิญญาณยุทธ์ทั้งสองตัวออกมา ก็ได้แตกกระจายอยู่กลางอากาศแล้ว
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี ตายเร็วเสียจริงๆ โชคดีที่ดึงสองตัวนั้นออกมาก่อน มิเช่นนั้น ข้าคงได้ถลกหนังเขาเป็นแน่” หลังจากที่เก็บเปลือกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ชายผู้สูบวิญญาณยุทธ์พูดอย่างเย็นชา
“รอออกจากสถานที่บ้านี่ก่อน จะเอาวิญญาณยุทธ์ไปขายทอดตลาดมืด เงินที่ได้มา นอกจากแลกหินวิญญาณ ก็เพียงพอสำหรับพี่น้องเราเสพสุขกันแล้ว
“…”
พวกไป๋เซิงเหมินยืนอยู่หน้าศพที่พวกเขาเพิ่งฆ่าเสร็จและพูดคุยกันอย่างไร้ยางอาย
“ธิดาสวรรค์ทั้งสองอยากลงมือหรือไม่” จอมยุทธ์มองไปที่เจียงหลีและชิงหว่านพลางหัวเราะอย่างนึกสนุก
ณ ถ้ำสวรรค์แห่งนี้ ถ้าไม่ฆ่าคนก็จะถูกฆ่า
ทุกคนต่างเลือกอย่างแรกมากกว่าอย่างหลัง
“พวกไป๋เซิงเหมินประพฤติตัวไม่ดีและโหดเหี้ยมมาก หากพวกเจ้าฆ่าพวกเขา ก็ถือว่าช่วยราษฎรปราบผู้ร้าย” จอมยุทธ์กล่าวด้วยแววตายั่วยุ
“ข้าจะไป!” ชิงหว่านยืนขึ้นด้วยใบหน้าที่งดงามและเย็นชา ปรากฏความเย็นเยือกทั่วร่างกาย
จากนั้นนางวิ่งพุ่งออกไป ทำให้พวกไป๋เซิงเหมินถึงกับตกใจ
“คิดว่าเป็นใครเสียอีก ที่แท้คือหญิงงามนี่เอง!”
“ฮ่าๆๆ…พวกเราทั้งหลายกำลังนึกถึงหญิงสาวพอดี ก็มีหญิงสาวมาปรากฏตัวต่อหน้า วันนี้พวกเราช่างโชคดีจริงๆ!”
“ช่างน่าเวทนาเสียจริงที่หญิงงามจะยอมจำนนด้วยตัวเองเช่นนี้”
“…”
หลังจากความงุนงง คนของไป๋เซิงเหมินก็เริ่มหยอกล้อและไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษ
“บังอาจ!” ชิงหว่านเลิกคิ้ว พุ่งตรงไปที่พวกเขาและต่อสู้กับพวกไป๋เซิงเหมิน
“เจ้าไม่ไปหรือ” จอมยุทธ์มองหน้าเจียงหลีอย่างมีเลศนัย
เจียงหลีลูบขนแวววาวของเจ้าเปี๊ยกในอ้อมอกและพูดอย่างใจเย็น “พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชิงหว่าน” ชิงหว่านคือหลิงจงขั้นสาม คนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกไป๋เซิงเหมินก็แค่หลิงจงขั้นสองจะเป็นคู่ต่อสู้ของชิงหว่านได้อย่างไร
จอมยุทธ์นึกถึงสัญลักษณ์นักฆ่าของเจียงหลีขึ้น จากนั้นก็มองไปที่สัญลักษณ์สีดำระหว่างหน้าผากของ ชิงหว่านและพยักหน้าทันที ดวงตาของเขาจ้องมองยังเจ้าเปี๊ยกตัวนั้นและถามอย่างติดตลกว่า “สัตว์เลี้ยงของเจ้าดูน่ารักมาก แต่ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน มันมีประโยชน์อย่างไรหรือ”
“ไม่มีประโยชน์” เจียงหลีตอบสั้นๆ แต่กลับพึมพำในใจ กะล่อน ชอบนอน นิ่งเงียบ
เอ่อ!
สีหน้าของจอมยุทธ์ตะลึงเล็กน้อย
ด้านนอก ชิงหว่านยุติการต่อสู้อย่างรวดเร็ว หลายคนในไป๋เซิงเหมินถูกนางฆ่าและสัญลักษณ์นักฆ่าเข้มขึ้นเล็กน้อย
แปะๆ!
จอมยุทธ์ปรบมือ เดินออกจากที่ซ่อน และกล่าวชื่นชมชิงหว่านว่า “ช่างคู่ควรกับการเป็นธิดาสวรรค์แห่งสำนักพรตเสวียนหมิงเสียจริง ลงมือเพียงชั่วครู่ก็ฆ่าพวกเศษสวะได้หลายคนแล้ว”
ชิงหว่านเงยหน้ามองเขาและหายใจเป็นปกติ
เจียงหลีก็เดินออกมาและพูดอย่างเย็นชา “ท่านมีสัญลักษณ์สีทอง ไม่กลัวว่าเราสองคนจะร่วมมือฆ่าท่านหรือ”
“ธิดาสวรรค์ทั้งสองงดงามประดุจนางฟ้าและเต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม ข้าเองก็ไม่ได้ล่วงเกินพวกเจ้า และได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ พวกเจ้าจะฆ่าข้าได้อย่างไร” จอมยุทธ์หัวเราะกล่าว
ชิงหว่านถอนหายใจกล่าว “ท่านพูดถูก พวกไป๋เซิงเหมินเหล่านี้สมควรฆ่า แต่สำหรับคนอื่นที่พบเจอ…ไม่ได้โกรธแค้นอะไรกันมาก่อน กล่าวได้ว่าล้วนเป็นคนแปลกหน้า เพียงแค่พบหน้าก็จะเข่นฆ่ากันแล้ว ช่างยากที่จะลงมือ”
“นั่นง่ายมาก” จอมยุทธ์กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ในเมื่อเจ้าไม่อาจลงมือฆ่าพวกเขาก่อน ก็รอให้พวกเขามาฆ่าเจ้า เจ้าค่อยลงมือพวกเขากลับก็พอแล้ว หากคนอื่นเข้าโจมตีประชิดตัว ทีนี้เจ้าคงโต้กลับล่ะสิ”
“…” ชิงหว่านมองเขาด้วยความประหลาดใจ นี่มัน…แนวคิดอะไรกัน นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดเพี้ยนไป แต่ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล