ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 33 รางวัลจากประมุขสำนักพรตเสวียนหมิง
อะไรนะ!
สีหน้าของซู่ซินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเผยความตกตะลึงออกมาจากดวงตา
นางหันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว และมองไปที่ด้านหลังพบร่างสองทั้งสองเดินออกมาด้วยท่าทางที่สุขุมและสงบนิ่งซึ่งดูประดุจนางฟ้าก็ไม่ปาน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสัญลักษณ์สีทองอันแพรวพราวบนคิ้วของพวกนาง ทำให้ความเกลียดชังของนางทวีคูณ!
ทำไม พวกนางมีสัญลักษณ์สีทองได้อย่างไร
เจียงหลีราวกับว่ารู้ความสงสัยในใจของนาง จึงส่งยิ้มที่มีเสน่ห์ ให้นาง “ซู่ซิน ไม่เจอกันนานเลย อยากหาโอกาสขอบใจเจ้ามาโดยตลอด วันนี้มีโอกาสแล้ว”
ขอบใจนางน่ะหรือ
ซู่ซินแอบหัวเราะในใจและมองไปยังเจียงหลีที่กำลังเดินเข้ามาหานางด้วยใบหน้าที่ระแวดระวัง นางปรารถนาที่จะฆ่าข้าสิไม่ว่า
ท่านมหาปุโรหิตนิ่งเงียบ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังระหว่างหญิงสาวสามนางนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
เจียงหลีอุ้มเจ้าเปี๊ยกเดินเข้าไปหาซู่ซินและยิ้มประดุจบุปผางาม แต่ดวงตากลับเย็นชาอย่างน่ากลัว นางโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ประชิดตัวซู่ซินอย่างช้าๆ
การกระทำดังกล่าวทำให้หลังของซู่ซินแข็งทื่อและพลังวิญญาณของนางแทบจะไม่อาจควบคุมได้ นางต้องการปลดปล่อยมันออกไป
“ถ้าไม่ใช่เจ้าที่ส่งคนเหล่านั้นมาให้ข้า สัญลักษณ์นักฆ่าสีทองของข้าและของชิงหว่านคงไม่ได้มาง่ายดายเช่นนี้” เจียงหลีกระซิบข้างหูนาง
ดวงตาของซู่ซินดุร้ายประดุจมีด มองนางด้วยความเกลียดชัง
ถ้าดวงตาสามารถฆ่าคนได้ ข้ากลัวว่าเจียงหลีจะถูกแทงเป็นรูทั่วร่างกายไปแล้ว
แน่นอนเจียงหลีไม่ได้ใส่ใจ และค่อยๆ รักษาระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง ดวงตาดูเหมือนจะกวาดมองไปที่คิ้วของซู่ซินโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ไอ้หยา! ทำไมเจ้ายังมีแค่สัญลักษณ์สีเงิน ท่านประมุขบอกว่าคนที่ฆ่าคนน้อยที่สุดจะ…” เจียงหลี แสร้งทำเป็นประหลาดใจ จากนั้นปิดปากยิ้มอย่างนุ่มนวลและหันหน้าเบนหนี
ใบหน้าของซู่ซินเปลี่ยนไปและร่างกายของนางดูเหมือนจะตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งและเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเย็น
ชั่วครู่โมโหเจียงหลีจนลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
สองทองหนึ่งเงิน นาง…นางจะตกรอบหรือ จุดจบของการตกรอบ…ไม่! ไม่เอา นางต่างหากที่ถูกลิขิตให้เป็นธิดาสวรรค์ของสำนักพรตเสวียน นางไม่อยากตกรอบ!
“ขึ้นรถ” มหาปุโรหิตกล่าวอย่างเย็นชา
ซู่ซินมิอาจขัดขืนได้ และถูกผลักขึ้นรถ ขณะที่เจียงหลีและชิงหว่านดูผ่อนคลายมากขึ้น
เพียงแต่เมื่อมองเห็นนางลุกลี้ลุกลน ชิงหว่านจึงมิอาจอดทนต่อได้ “นาง…นางไม่เป็นอะไรใช่ไหม นางคิดว่าจะได้เป็นอันดับที่หนึ่ง แต่นางกลับได้เป็นอันดับสุดท้าย หลังจากกลับมาคงจะ…”
เจียงหลีเหลือบมองนางและยิ้มเยาะ “ครั้งต่อไป ระหว่างที่นางแทงมีดเข้าที่หน้าอกของเจ้า บางทีเจ้าอาจถามนางเล็กน้อยว่ามือของเจ้าเจ็บหรือไม่”
“…” แก้มของชิงหว่านแดงก่ำ นางหลับตาและปิดปากเงียบ
นางรู้ว่าเจียงหลีกำลังประชดนาง แต่…มีจิตใจที่ดี ผิดด้วยหรือ
“เป็นคนดีไม่ผิด แต่ต้องมีขอบเขต เป็นคนจิตใจดีที่ไร้ขอบเขต จะย้อนกลับมาทำร้ายทั้งผู้อื่นและตัวเอง” เจียงหลีกล่าวเสียงเบาและหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
การยั่วยุของซู่ซินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้นางล้มเลิกแผนเดิมและจัดการซู่ซินก่อนที่นางจะจากไป
ก่อนหน้านี้สิ่งที่นางทำกับซู่ซินเป็นเพียงการคิดดอกเบี้ยเท่านั้น หลังจากกลับไปถึงสำนักพรตเสวียนหมิง ละครฉากใหญ่ถึงจะปรากฏ นางอยากให้ซู่ซินเห็นกับตาตัวเอง สิ่งที่นางปรารถนามากที่สุดอยู่ห่างไกลจากตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่นางกลัวที่สุดจะเกิดขึ้นกับตัวเองนาง
ตีงูต้องตีที่เจ็ดจั้งเช่นเดียวกับการชำระแค้น ก่อนที่จะฆ่านางต้องทำลายทุกสิ่งที่นางปรารถนาและปล่อยให้นางตายอย่างสิ้นหวัง
ยิ่งนางหวังใจมากเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งสูญเสียมากเท่านั้น สิ่งนี้จะทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด!
ส่วนเรื่องหนีเอาตัวรอด…
เจียงหลีไม่รีบร้อน ไม่ใช่ว่าธิดาสวรรค์มีอีกสองคนหรือ การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป ระหว่างนี้หากมีโอกาสเพียงน้อยนิด นางก็จะคว้าไว้ทันที
…
เมื่อถึงสำนักพรตเสวียนหมิง พวกเจียงหลีทั้งสามกลับไปที่ห้องเพื่อชำระล้างร่างกายก่อนเข้าพบท่านประมุข
เจียงหลีวางเจ้าเปี๊ยกไว้ในห้อง
ณ ตอนนี้ ที่นี่ถือว่าปลอดภัย
“คารวะท่านประมุข…!”
เมื่อได้เห็นท่านประมุขแห่งสำนักพรตเสวียนหมิงอีกครั้ง เจียงหลียังคงรู้สึกถึงวิญญาณอันน่ากลัวบนตัวเขา
อย่างไรก็ตาม ความสนใจของนางในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่ท่านประมุข แต่อยู่ที่ซู่ซินซึ่งมีใบหน้าที่ดูแย่มากแทน เจียงหลียิ้มพลางคิดร้ายในใจ เกรงว่าจนถึงตอนนี้ นางยังคงกังวลกับชะตากรรมของตนอยู่
“สองทองและหนึ่งเงิน” ท่านประมุขกล่าวเสียงเบา
เมื่อได้ยินดังนั้น ซู่ซินได้คุกเข่าลงกับพื้นทันทีและร้องขอ “ท่านประมุขให้โอกาสข้าอีกสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ!”
ท่านประมุขไม่สนใจนาง แต่ยกมือขึ้นมองหน้าทั้งสามอย่างเกียจคร้าน
ทันใดนั้น เจียงหลีรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่กึ่งกลางคิ้วของนางและสัญลักษณ์นักฆ่าก็ถูกดูดออก โดยลอยไปที่มือของท่านประมุข นางไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ซึ่งชิงหว่านและซู่ซินก็เช่นเดียวกัน
หลังจากที่สัญลักษณ์นักฆ่าถูกดูดออกระหว่างคิ้วของพวกนางก็กลับมาเรียบและสะอาดตาอีกครั้ง
หรือว่าสัญลักษณ์นักฆ่าจะมีประโยชน์อย่างอื่น นอกจากบันทึกชีวิตมนุษย์ เจียงหลีคาดเดาในใจอย่างใจเย็น
นางมองเห็นสัญลักษณ์ของสองทองและหนึ่งเงินหมุนวนอยู่บนฝ่ามือของท่านประมุข
ทันใดนั้น ท่านประมุขก็ได้เก็บสัญลักษณ์นักฆ่าไว้และมองไปที่ซู่ซิน “เจ้าถูกตัดออกจากการแข่งขันแล้ว” น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ ไร้ความรู้สึก
“ท่านประมุข ท่านประมุขให้โอกาสข้าอีกครั้ง! ให้ข้าเข้าไปในถ้ำสวรรค์อีกครั้ง ข้าสามารถฆ่าคนจนได้สัญลักษณ์สีทองกลับมาอย่างแน่นอน!” ซู่ซินอ้อนวอนอย่างขมขื่น
ท่านประมุขยิ้มเยาะ
ทันใดนั้น เขายกมือขึ้นโบก พลังแห่งความแข็งแกร่งได้ห่อหุ้มซู่ซินไว้
นางถูกมัดด้วยพลังนี้และทันใดนั้นสีหน้าได้เผยความหวาดกลัว แล้วล้มลงกับพื้น เจ็บปวดจนร้องออกมา อ๊ากกก!
นางกรีดร้องอย่างหนักและร่างกายของนางขดอยู่กับพื้น กลิ้งไปมาและดูเจ็บปวด
เนตรญาณของซู่ซินถูกบังคับให้เปิดออกและเจียงหลีก็ได้เห็นฉากนี้อีกครั้ง วิญญาณยุทธ์ถูกดึงออกจากเจ้าของเดิมและพลังวิญญาณของซู่ซินก็ถูกดึงออกไปอย่างต่อเนื่องและหลอมหลวมเป็นรูปทรงกลมอยู่ด้านข้าง
“อ๊ากกก! ท่านประมุขโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยยย อ๊ากๆๆ…”
ท่าทางที่เจ็บปวดของซู่ซิน ทำให้ชิงหว่านรู้สึกทนเห็นไม่ไหว ดังนั้น นางจึงก้มหน้าและหยุดมอง
ขณะที่เจียงหลีกลับเฝ้ามองทุกกิริยาที่นางได้รับความทุกข์ทรมาน และสลักความเจ็บปวดที่แสดงออกมาให้เห็นไว้ในดวงตาของนาง ก่อนจะวางแผนคิดร้ายผู้อื่น ต้องตระหนักว่าตนก็จะถูกคิดร้ายเช่นกัน การแพ้ชนะขึ้นอยู่กับสติปัญญา
ณ ท้องพระโรง วิญญาณยุทธ์ของซู่ซินที่ถูกดึงออกดิ้นรนอย่างดุดัน แต่นางทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ
เมื่อทุกอย่างสงบลง นางก็ใกล้สิ้นลมแล้ว
นางไร้ประโยชน์แล้ว เจียงหลีเหลือบมองไปที่ซู่ซินและได้ข้อสรุปว่าวิญญาณยุทธ์ทั้งหมดถูกดึงออก เนตรญาณพื้นฐานถูกทำลายก็จะไม่สามารถฝึกฝนได้อีกตลอดชีวิต ซึ่งแม้แต่พลังวิญญาณก็ถูกดึงออกเช่นกัน ซู่ซินตอนนี้อ่อนแอกว่าคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ
“ลากนางไปไว้ที่อารามเขียว” ท่านประมุขสั่ง
ลูกศิษย์สำนักพรตเสวียนหมิงลากซู่ซินที่สลบออกไปในทันที
เจียงหลีสังเกตเห็นว่าขณะที่ชิงหว่านได้ยินชื่อห้องอารามเขียว ร่างกายของนางก็สั่นสะท้าน หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบ นางนึกขึ้นได้ว่าชิงหว่านเคยพูดถึงธิดาสวรรค์ที่ล้มเหลวจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ หากธิดาสวรรค์ที่แท้จริงไม่เต็มใจรับไว้ จะถูกโยนไปที่อารามเขียวปรนนิบัติเหล่าบรรดาลูกศิษย์ฝ่ายชายของสำนักพรตเสวียนหมิง อารามเขียวก็คือหอโคมเขียวของสำนักนี้นั่นเอง
“พลังวิญญาณและวิญญาณยุทธ์ พวกเจ้าเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับพวกเจ้า” ท่านประมุขกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
การหายใจของชิงหว่านหยุดนิ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังวิญญาณยุทธ์และพลังวิญญาณที่เดิมทีเป็นของซู่ซิน…