ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 39 มีปัญญาก็มาฆ่าสิ
มองเห็นรอยยิ้มของเจียงหลีจากที่ไกลๆ ในใจของหันอวี้เยือกเย็นอย่างไม่มีเหตุผล
ความเยือกเย็นที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งในใจเขา แม้ว่ามีเสียงหนึ่งกำลังบอกเขาว่า ควรจะหนีไป แต่กลับไม่ยอมหยุดตามไปข้างหน้า
แต่ทว่าเขาเป็นคนมีความผิดติดตัว จะหลบหนีได้เช่นไร
ยิ่งไปกว่านั้น คราวนี้ใจเขาเคียดแค้นเจียงหลีมาก มีเพียงกำจัดนางด้วยมือของเขาเอง พาตัวไปให้ประมุขสำนักถึงตรงหน้า เขาถึงจะกลับไปอยู่ในแวดล้อมแห่งสำนักเช่นแต่ก่อน
“เจียงหลี ต่อให้เจ้าติดปีกก็ยากจะหลบหนีแล้ว ยังไม่ยอมวางมือยอมให้จับอีก กลับไปพบประมุขสำนักกับข้ายอมรับผิดแล้วรับโทษซะ” หันอวี้พากำลังคนไล่ตามไป ร้องตะโกนไม่หยุด
เจียงหลีมองกลับไปอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “หันอวี้ เจ้าโง่หรือข้าโง่กันแน่ จะฆ่าก็ฆ่า พูดจาไร้สาระให้มากความไปทำไม”
หันอวี้สีหน้ามืดหม่น จิตสังหารภายในใจถูกกระตุ้นเร้าขึ้นมา
เจียงหลีเหลือบมองไปยังทางข้างหน้า ผ่านไปอีกไม่ไกล ก็จะออกจากอาณาเขตของสำนักพรตเสวียนหมิงได้แล้ว เมื่อออกมาได้ พละกำลังของสำนักพรตเสวียนหมิงก็จะถูกลดทอนลงอย่างมาก
นี่คือเหตุผลหนึ่งว่าเหตุใดนางจึงหนีต่อไปเรื่อยๆ เพราะจำเป็นต้องออกจากอาณาเขตของสำนักพรตเสวียนหมิงให้ได้ก่อน ถึงจะยอมต่อสู้ซึ่งหน้ากับสำนักพรตเสวียนหมิง
เรื่องที่นางจะต้องทำต่อไป ความเสี่ยงค่อนข้างสูง หากยังอยู่ในเขตสำนักพรตเสวียนหมิง เกรงว่าจะเพิ่มความยากขึ้น
ใกล้จะถึงแล้ว เจียงหลีคาดคะเนในใจ แล้วลงจากหลังม้า ยืนอยู่ตรงนั้น
การเคลื่อนไหวของนาง ทำให้ในใจของหันอวี้รู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อพบว่านางไม่หนีแล้ว ในใจก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขายิ้มอย่างมุ่งร้าย “เจ้าไม่หนีแล้วหรือ!”
ทหารที่ไล่ตามมาถึงในทันใด ห้อมล้อมเจียงหลีเอาไว้ ฝุ่นตลบอบอวล บดบังสายตาทั้งสองข้าง
“เจียงหลี ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับความจริงแล้วล่ะสิ จะกลับไปกับข้าใช่หรือไม่” หันอวี้ขี่บนหลังม้า สีหน้าไม่ประสงค์ดี
เจียงหลียิ้มมุมปาก สัตว์เลี้ยงในอ้อมกอดของนางยังคงหลับสนิท
การสู้รบครั้งนั้นในถ้ำสวรรค์ ทำให้มันสูญเสียพลังไปอย่างมาก จนถึงบัดนี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมา
แต่ทว่าเจียงหลีก็มิได้หวังว่ามันจะตื่นขึ้นมาตอนนี้ ปลดปล่อยความน่ากลัวนั้นอีกครั้งในการจู่โจมคราเดียว
กลอุบายเช่นนั้น ไว้เพื่อใช้ร้องขอชีวิต กลับมิใช่มีไว้เพื่อฆ่าพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้ ในสำนักพรตเสวียนหมิงนอกจากประมุขทางจิตวิญญาณ ยังมีมหาปุโรหิตลึกลับยากที่จะหยั่งเบื้องลึกเบื้องหลัง เจียงหลีไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น
“หันอวี้ ให้มันน้อยๆ หน่อย นอกจากหยุดเพราะยอมจำนนแล้ว ยังมีที่เป็นไปได้ก็คือ…หยุดเพื่อ…ฆ่าเจ้า!” เจียงหลีเตือนด้วยความหวังดี
ทันใดนั้น คำพูดของนาง กลับนำมาซึ่งเสียงหัวเราะดังไปทั่วของหันอวี้และพรรคพวก
พวกเขากำลังหัวเราะเยาะคำคุยโวของนาง จนลืมไปสนิทว่าเป็นใครที่ครานั้นถูกห้อมล้อมไว้อย่างแน่นหนา ลงมือสังหาร ทำลายประตูสำนักหนีออกมา
ในระหว่างที่พวกเขากำลังหัวเราะเยาะอยู่ ร่างของเจียงหลีก็กลายเป็นเงา
มองเห็นเพียงแค่แส้ยาวกวัดแกว่งในมือนาง เล็งไปที่คนที่อยู่รอบๆ หันอวี้แล้วจู่โจม เงาของแส้นั้น ราวกับอสรพิษยาวตัวหนึ่ง โลดแล่นปราดเปรียวอยู่บนท้องฟ้า
ลูกศิษย์ของสำนักพรตเสวียนหมิงที่ไล่ตามมา ล้วนเป็นศิษย์เอกทั้งนั้น ฝึกฝนอยู่ในระดับสูงกว่าพวกที่กั้นประตู ทว่ายามอยู่ต่อหน้าเจียงหลี ก็ยังไม่สามารถรับมือได้ไหว
แส้ยาวฟาดลงบนร่างของสองคนนั้น ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน เข้าไปในร่างกายพวกเขาในทันที
พละกำลังที่แกร่งกล้า ทำให้สองคนนั้นกระเด็นหงายหลังร่วงจากหลังม้าลงบนพื้นดิน ใช้มือปิดบาดแผลด้วยความเจ็บปวด
อีกสองคนก็จู่โจมมายังเจียงหลีเพื่อสังหารอย่างฉับพลัน
เจียงหลีวาดเท้าเล็กน้อย แส้ยาวจู่โจมเวลานั้น ในขณะเดียวกันเสียงหมัดทั้งหกดังก้อง กำลังแรงดั่งภูเขา แรงหมัดซ้ำๆ เป็นระลอก ไม่เพียงสยบการร่วมจู่โจมของทั้งสองคน กำลังแรงที่เหลือ ยังทะลุร่างของทั้งสองเข้าเต็มๆ ทำให้พวกเขาลอยกระเด็นไป
ชั้นเชิงการต่อสู้ระดับต่างๆ เมื่อเข้าใจสิ่งต่างๆ แล้ว ยังมีตอนที่ฝึกฝนขั้นที่บรรลุขอบเขตที่จะปลดปล่อยได้ตามความตั้งใจ ล้วนสามารถปลดปล่อยพลังที่น่ากลัวจนน่าตกตะลึงได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมัดทั้งหกก็เป็นยุทธวิธีใช้พละกำลังต่อสู้
อาณาเขตของเจียงหลีบัดนี้แผ่ขยายออกไป หลุดพ้นจากวิทยายุทธ์เดิมตั้งนานแล้ว
ครืด!
ทั้งสี่คนถูกเจียงหลีขับไล่ ทว่าเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น
ยังไม่ทันรอให้พวกเขาตั้งตัวได้ แส้ยาวของเจียงหลีก็ฟาดลงไปอีก ทะลุเข้าไปในอกของพวกเขา จนหัวใจของพวกเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทันใดนั้น สี่คนที่ไล่ตามมาพร้อมกับหันอวี้ถูกสังหารพร้อมกัน
หันอวี้ที่ยังขี่อยู่บนหลังม้า มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างไม่สู้ดี “เจ้า…”
นาง…นางเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ทั้งที่พวกเขาฝึกฝนมาพอๆ กัน แต่ว่าเขากลับรู้สึกว่าเจียงหลียืนอยู่ต่อหน้าเขา ราวกับภูเขาลูกใหญ่ทั้งลูก ทำให้ยากที่จะรับมือ
“ฆ่า!” เจียงหลีส่งเสียงเกรี้ยวกราด ไม่ยอมรามือ
เพียงแต่ครั้งนี้ นางไม่ได้ใช้แส้กวัดแกว่งอีกแล้ว แต่เป็นแขนที่ยกขึ้นสูงของตน
ตอนที่นางชูแขนขึ้นสูงนั้น ท้องฟ้าเมฆลมมืดลง แขนมหึมาข้างหนึ่งที่ใสราวกับหยก ปรากฏต่อสายตาหันอวี้
เขาตกใจสุดขีด ในท่อนแขนมหึมานั้นดูเหมือนว่าเต็มไปด้วยพลังที่น่าเกรงกลัวหาที่เปรียบไม่ได้
ท่อนแขนที่อยู่กลางท้องฟ้าระเบิดออก หัตถ์เทพเก็บดาราที่จู่โจมอย่างน่ากลัวแสดงพลังทำลายล้าง พุ่งไปคว้าตัวหันอวี้มา
อ๊ากกก!
หันอวี้ร้องด้วยความตกใจ เขาอยากจะปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนออกมาต่อกร แต่ว่ากลับช้าไปแล้ว ท่อนแขนมหึมานั้นมุ่งมาจับเขา เขาไม่อาจถอดพลังจิตวิญญาณภายในออกมาได้
เร็วเหลือเกิน!
ช่างเร็วเหลือเกิน!
หันอวี้ตกตะลึงในใจ การจู่โจมของเจียงหลีนั้นรวดเร็วยิ่งนัก ตั้งแต่นางเริ่มลงมือจนตอนนี้ ก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
เขายังคงตกตะลึงอยู่ การจู่โจมของเจียงหลีก็มาถึงตัวเขาแล้ว ทำให้เขาไม่ได้ตั้งรับไว้ทัน
การเผชิญหน้าทั้งสองฝั่ง มีเพียงความเร็วที่ไม่อาจสูญสิ้น
เจียงหลีคว้าโอกาสเริ่มก่อนไว้ จู่โจมสายฟ้าแลบ ไม่เหลือไว้ให้เขาเลยสักนิด น่าขำ ก่อนหน้านี้พวกเขาเยาะเย้ยเจียงหลี
แต่ตอนนี้ กลับถูกความจริงตบหน้า!
ความเร็วของเจียงหลีนั้นรวดเร็วมาก หัตถ์เทพเก็บดารานี้กักเก็บพลังมาเป็นเวลานาน ครั้งนี้ถือโอกาสที่หันอวี้ไม่ทันตั้งตัว จู่โจมทันที มุ่งไปจับเขาขึ้นมาจากม้า โผขึ้นท้องฟ้า
อ๊ากกก!
หันอวี้ตกลงมาจากท้องฟ้า มือยักษ์นั้นยังคงไม่ยอมปล่อยเขาไป พุ่งไปตีเขาอย่างลงแรง นำร่างทั้งร่างของเขาจากกลางท้องฟ้าฟาดลงมายังพื้นดิน
ตู้ม!
ชั่วพริบตา การต่อสู้ก็จบลง
ร่างของหันอวี้แทรกลงไปในพื้นดิน ลมหายใจเฮือกสุดท้าย
เขาฝืนเงยหน้า มองยังเจียงหลี ไม่ยอมสำนึก “เจียงหลี ผู้คุมห้องทรมานกำลังตามมา เจ้าหนีหลิงจงขั้นเก้าเช่นเขาไม่พ้นหรอก! เจ้าต้องตายอย่างน่าอนาถ!”
เจียงหลียังคงยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ตกใจในคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย “ข้าแทบจะอดทนรอเขาให้มาไวๆ ไม่ไหวแล้ว อย่าให้ข้าต้องรอนานนัก”
หันอวี้เบิกตาโต เขามองเจียงหลีที่ยิ้มเยาะอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นรู้สึกถึงความลับลมคมใน
“เห็นแก่ที่เจ้าพาข้าออกจากเกาะร้าง ข้าจะช่วยสงเคราะห์เจ้าให้ไม่ต้องเจ็บปวดนาน”
เจียงหลีพูดจบ ร่างของหันอวี้ก็ลอยจากหลุมที่พื้นขึ้น นางใช้พลังจิตเสกดาบไร้รูปขึ้นมา แทงทะลุร่างของหันอวี้หลายครั้ง
สีหน้าของหันอวี้ นิ่งงันตั้งแต่ตอนที่เขาได้หมดลมหายใจ นัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยความกังขา ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะต้องมาตายเช่นนี้
ตายอย่างน่า…
หันอวี้ไม่รู้จะบรรยายการตายของตนด้วยคำใดถึงจะเหมาะสม
ร่างไร้วิญญาณทั้งห้าบนพื้น นอนอย่างไร้เสียงลมหายใจ เจียงหลีมองนิ่งครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับวิ่งต่อไป นางเชื่อว่า ศพที่พื้นพวกนี้ จะทำให้สำนักพรตเสวียนหมิงที่ตามมาทีหลังบ้าคลั่งเป็นแน่…