ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 42 เก็บโฉมงามได้นางหนึ่ง
ในยามค่ำคืนท่ามกลางพงหญ้าและหินภูเขาแห่งหนึ่งมีแสงสีแดงสวยงามส่องประกายออกมา
โชคดีที่ไร้ผู้คนอยู่บริเวณรอบๆ ที่แห่งนี้จึงไม่มีใครพบเห็นความแปลกประหลาดนี้ได้
ตามตามแสงสีแดงไปในพงหญ้า ดูเหมือนมีร่างๆ หนึ่งนอนขนอยู่กับพื้น แสงสีแดงนี้ส่องประกายออกมาจากตัวนาง
เพียงแต่ คนๆ นี้กลับไร้กลิ่นอายไร้พลังใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของความตาย
อาวู้ววว!
ในป่าในเขา มีเสียงสัตว์ดุร้ายแว่วดังออกมา
ไม่นานนัก หมาป่าบางตัวถูกแสงสีแดงนี้ล่อลวงมา จนปรากฏอยู่รอบๆ คนตาย พวกมันได้กลิ่นของความตาย แต่ในกลิ่นของความตายนี้กลับได้กลิ่นของพลังปะปนอยู่เล็กน้อย
พลังนี้มาจากอ้อมกอดของนาง เจ้าก้อนขนตัวนั้น
อาหาร!
น้ำลายไหลลงมาจากปากของเหล่าหมาป่าและดวงตาเขียวขจีของพวกมันก็มีพลังของการเป็นผู้ล่าปรากฏออกมา
พวกมันเดินวนรอบๆ คนตายอยู่หลายรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าอาหารของพวกมันได้ตายสนิทแล้ว จากนั้นพวกมันจึงส่งเสียงคำรามเป็นเวลานานและวิ่งเข้าหาอาหารของพวกมัน
ดูแล้วพวกมันจะสามารถฉีกเนื้อของอาหารออกมาเป็นชิ้นๆ ได้…ทันใดนั้นเอง แสงสีแดงนั้นก็ส่องประกายออกมาปกคลุมร่างกายของนางไว้ เหล่าหมาป่าตกใจจนพากันถอยหลังไป
เหล่าหมาป่าแม้จะตกใจแต่ก็ไม่ได้แยกย้ายไปไหน ยังคงเฝ้าอยู่ไม่ไกลจากนางนัก
แสงสีแดงนั้นค่อยๆ กลายเป็นร่างนกอมตะ เหมือนดั่งนกอมตะที่ลุกเป็นไฟและไม่มีวันมอดไหม้ มันสยายปีกที่สวยงามออกมา และขนปีกเหล่านั้นล้วนละเอียดอ่อนทุกเส้น สวยงามจนไม่อาจละสายตาจากมันได้
นกอมตะผงาดหัวขึ้นอย่างสง่างามและส่งเสียงร้องต่อฟ้าสวรรค์
วี๊ด!
เสียงดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าในยามค่ำคืน ความสง่าผ่าเผยนี้กระจายไปทั่วทุกทิศอย่างมิอาจมองข้ามไปได้ เหล่าหมาป่าเกรงกลัวจนถอยห่างออกไป และในดวงตาสีเขียวขจีของพวกมันก็ฉายแววอิจฉาและเกรงกลัวออกมาในคราวเดียวกัน
หลังจากที่นกอมตะส่งเสียงคำรามจบสิ้นก็ได้โผบินออกไป
แต่ในขณะที่มันกำลังบินออกไปนั้นก็ได้เปลี่ยนทิศทางมายังคนที่นอนอยู่บนพื้น และพุ่งเข้าไปในร่างของนางอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น แสงสีแดงบนร่างของนางสัมฤทธิ์ไม่หยุดหย่อน ปราณแห่งความตายบนร่างของนางก็ลดลงอย่างต่อเนื่องและพลังชีวิตก็แข็งแกร่งมากขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
สิ่งเดียวที่เป็นประจักษ์พยานกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้ก็คือฝูงหมาป่าที่เฝ้าอยู่รอบๆ ไม่จากไปไหนฝูงนี้ พวกมันตกใจกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นที่นี่จนมีเสียงสะอื้นดังออกมาจากในลำคอ ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัวเหลือเกินในยามค่ำคืนนี้
แต่เมื่อใดที่แสงนั่นไม่จางหายไป พวกมันก็ยังคงมิกล้าก้าวเข้าไปเพียงก้าวเดียว
โดยสัญชาตญาณของพวกมันแล้ว พวกมันสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวที่ซ่อนอยู่ภายใต้แสงสีแดงนี้
หลังจากนั้น แสงสีแดงนั่นก็ค่อยๆ จางลงราวกับถูกคนที่นอนอยู่บนพื้นนี้ได้ดูดมันเข้าไป ฝูงหมาป่าสนใจแค่แสงสีแดงสวยงามนั้นเท่านั้น จนไม่ได้สังเกตเห็นว่านิ้วมือของอาหารที่นอนกองอยู่บนพื้นของพวกมันค่อยๆ กระดิกเล็กน้อย
ในที่สุดแสงสีแดงนั้นก็หลอมเข้ากับร่างกายของนางและจางหายไปในยามค่ำคืนนี้
ทันทีที่แสงสีแดงจางหายไป ฝูงหมาป่าก็ตื่นตัวขึ้นมาทันทีและวิ่งพุ่งเข้ามาจากทั่วทุกมุมเพื่อจะกินอาหารที่เลิศรสนี้
ใกล้แล้ว! ใกล้แล้ว!
หนึ่งในฝูงหมาป่าที่วิ่งเร็วที่สุด มันเล็งไปที่แขนของเป้าหมาย นึกคิดตัวเองได้กัดกินและฉีกเนื้อแขนนั้น จนเลือดไหลเป็นทางน้ำ แค่คิดก็ดีแค่ไหนแล้วล่ะ
อาวู้วว!
หมาป่าตัวนั้นอ้าปากกว้างเผยให้เห็นถึงคมเขี้ยวที่เรียงสวยและแหลมคม จากนั้นก็กัดลงไปที่แขนอย่างตรงจุด
อย่างไรก็ตามเมื่อเขี้ยวของมันกำลังจะสัมผัสเนื้อนุ่มบนแขน จากเดิมแขนที่ไม่ขยับเลยก็ง้างแขนออก
และตบลงไปที่หน้าของหมาป่าอย่างรุนแรง จนทั้งตัวของมันปลิวขึ้นในอากาศและปล่อยเสียงคร่ำครวญออกมา
หมาป่าถูกมือนั้นตบจนปลิวเป็นรูปโค้งในอากาศและตกลงบนพงหญ้าโดยส้นลมหายใจไปเรียบร้อย เพียงแค่ตบเดียวก็สามารถฆ่าหมาป่าได้ตัวหนึ่งเลยรึ
หมาป่าตัวอื่นๆ ตะลึงไปชั่วขณะ มองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้นนั่น
ดูเหมือน...นางจะไม่มีการเคลื่อนไหวอีกครั้งราวกับว่าฝ่ามือนั้นนางไม่ได้เป็นคนตบก็มิปาน
อาวู้ววว!
หมาป่าไม่กี่ตัวเห่าหอนออกมา ไม่ถอยกลับแต่พุ่งไปยังนาง
เขี้ยวที่ขาวและแหลมคมนั้นดูเหน็บหนาวและน่ากลัวมากกว่าปกติในยามค่ำคืน อันตรายเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
เจียงหลีที่นอนกองอยู่บนพื้น รู้สึกมึนงงและไม่พร่ามัว เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายรอบๆ ตัวแล้ว นางเลยลุกขึ้นจากพื้นโดยสัญชาตญาณ มือทั้งสองเหมือนดังลมพายุเพียงแค่หมัดเดียวก็ทำเอาหมาป่าตกลงไปจากหน้าผาที่ละตัวและแรงหมัดนี้ก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเดิมอีกด้วย
แต่ในอีกทางหนึ่ง หมาป่ากำลังพุ่งเข้ามาพร้อมกับอ้าปากออกเล็งไปที่ลำคอของนาง
เจียงหลียื่นมือไปข้างหน้าหยุดการเข้าใกล้ของมันไว้ มือทั้งสองออกแรงบิด ได้ยินเพียงเสียงกระดูกหักของหมาป่าเท่านั้น ร่างของมันตกลงไปกองกับพื้น หมาป่าที่เหลืออีกสองตัวตกใจและอยากที่จะถอยหลังกลับ
แต่เสียงที่เย็นชาออกดังออกมาในตอนนั้น “คิดจะหนีรึ”
หมาป่าสองตัวที่กำลังจะหนีรู้สึกถึงพลังบางอย่างดึงตัวพวกมันกลับไป พวกมันส่งเสียงสิ้นหวังออกมาจากในลำคอ ร่างกายบินไปทางเจียงหลีอย่างควบคุมไม่ได้
เฮือก!
หมาป่าสองตัวถูกเจียงหลีบีบคอไว้ข้างละตัวและกระแทกเข้าหากันอย่างรุนแรง ทำให้หลอดลมของพวกมันแตกในที่สุด
เมื่อทิ้งศพของหมาป่าสองตัวนั้นเสร็จ เจียงหลีรู้สึกง่วงมากแต่สมองของนางบอกกับนางว่าห้ามหยุดพักอยู่ที่นี่
จนที่สุดนางก็ลุกขึ้นมาอย่างโซเซ ความทรงจำสุดท้ายของเจียงหลีคือภาพที่เทียนหลิงถูกโจมตีก่อนหน้านี้
นางสะบัดหัวและพยายามจะตื่นขึ้นมาแต่กลับรู้สึกยิ่งมึนงงง่วงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ความตายนี่มันช่าง…” นางยกมือขึ้นทุบหัวของตัวเองครั้งสองครั้ง อยากจะให้ความง่วงนี้หายไปจากสมองของตัวเอง
นางก้าวไปทีละก้าวลากขาอันหนักหน่วงของตัวเองมุ่งไปยังทางข้างหน้าและไม่ลืมที่จะเจ้าเปี๊ยกไว้ในอ้อมกอด
ไม่รู้เดินไปนานแค่ไหน ฉากเบื้องหน้าของนางก็กลายเป็นเหมือนภูตผีวิญญาณแยกเขี้ยวกางเล็บออกมาต่อหน้านาง นางพยายามลืมตาขึ้นมาดู แต่เจียงหลีอดทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นางหลับตาลงแล้วล้มลงไปกับพื้น
…
เมื่อฟ้าใกล้รุ่งสาง มีเงาร่างสูงและสง่างามเดินออกมาจากถนนสายเล็กที่ห่างไกล
ผู้ที่เดินมาสวมชุดสีขาวดั่งพระจันทร์เสี้ยว และคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าสีดำอ่อน ผมยาวสลวยถูกมัดไว้ด้านหลังด้วยผ้าคาดผมที่ละเอียดประณีต บริเวณเอวมีป้ายจี้หยกและถุงเครื่องหอมห้อยลงมาจากเอว รองเท้าถูกปักด้วยลวดลายดอกไม้ ดูแล้วเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์แน่นอน
เขาถือกาสุราไว้ในมือและพึมพำบทเพลงที่ไม่รู้ชื่อในลำคอ ก้าวเท้าของเขาเซเล็กน้อยราวกับว่ากำลังเมาอยู่
ทันใดนั้นเอง เขาสะดุดที่เท้าของเขา ขวดสุราในมือก็แทบจะหลุดออก
“นั่นใครกัน ใครตามข้ามา” เขายืนตรง มองซ้ายมองขวาแต่กลับไม่มีอะไรเลย
ในขณะที่เขากำลังจะยกเท้าขึ้นอีกครั้งแต่ก็ต้องหยุดลง และมองไปยังร่างที่นอนกองอยู่บนพื้น
“หืม” เขาดึงขากลับ ดูเหมือนสร่างเมาแล้วอย่างไรอย่างนั้นและดวงตาที่พร่ามัวของเขาก็ดูเหมือนมีพลังขึ้นมาทันที เขาก้มลงไปดูคนที่นอนอยู่บนพื้นและพึมพำ “เหตุใดจึงมีหญิงสาวสลบอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ได้”
เมื่อครุ่นคิดแล้ว เขาก็ยื่นมือออกไปย้ายร่างของคนที่นอนอยู่บนพื้น ในขณะที่ใบหน้าที่น่าหลงใหลและสวยงามปรากฏตรงหน้าเขา เขากะพริบตาปริบๆ แล้วอุทาน “เอ๋” ออกมา