ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 43 ช่างเป็นชื่อที่ชัดเจนและแปลกเสียจริง
เกรงว่าตัวเองจะตาฝาดไป เขายังขยี้ตาของตัวเองอย่างรุนแรงหนึ่งรอบและยืนยันอีกครั้ง
“อ๊ะ!” หลังจากที่ชัดเจนแล้วเขาก็ถอยหลังไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว สีหน้าเกรงกลัวและพูดกับตัวเองว่า “นางคงไม่ได้ตามข้ามาเพื่อให้ข้าฆ่านางทิ้งหรอกนะ!”
หรือว่าจะหนีไปดี
เขาหมุนตัวและกำลังจะก้าวหนีจากไป
แต่พอนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับสำนักพรตเสวียนหมิงที่ได้ยินเมื่อวานแล้วนั้น เขาก็หยุดทันที “อย่าบอกนะว่าเหตุการณ์ชุลมุนของสำนักพรตเสวียนหมิงจะมีนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”
คิดแล้วคิดอีก เขาก็ถอยกลับมานั่งลงข้างๆ เจียงหลี เขายกมือขึ้นสองนิ้วประกบกันปล่อยแสงระยิบระยับออกมาบริเวณปลายนิ้วของเขาและวางไปที่ระหว่างคิ้วของเจียงหลี
แสงระยิบระยับนั้นวนอยู่บนร่างกายของเจียงหลีครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาเก็บมือตัวเองแล้วพึมพำ “ยันต์ธาราทมิฬหายไปแล้วรึ นางทำได้อย่างไรกัน” เขาไม่ได้โง่เขลา ตั้งแต่ที่เจียงหลีถามถึงวิธีกำจัดยันต์ธาราทมิฬนี้ออก จากนั้นก็ให้ฆ่านางทิ้งซะ เขาก็เดาได้ว่าเจียงหลีต้องโดนฤทธิ์ของยันต์ธาราทมิฬมาแน่ๆ
“หรือว่านางจะสามารถตายแล้วฟื้นได้จริงๆ” เขายกมือเท้าคางแล้วบ่นพึมพำ
ทันใดนั้นเอง คิ้วของเจียงหลีก็ขยับเบาๆ
ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้เขาหยุดคิดแล้วกล่าวด้วยสีหน้าย่ำแย่ว่า “หญิงงามเช่นนี้ ปล่อยทิ้งไว้ไม่สนใจ ดูเหมือนจะเกินมนุษย์ไปหน่อยนะ!”
เมื่อครุ่นแล้ว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจอุ้มเจียงหลีที่สลบอยู่บนพื้นขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง เดรัจฉานน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของนาง ทำให้เขาตกใจและหัวเราะออกมา “เจ้ากับสัตว์เลี้ยงตัวนี้ตัวติดกันจริงๆ เลยเชียว”
…
เจียงหลีไม่รู้ว่าตัวเองหลับใหลไปนานแค่ไหน ราวกับว่าไม่เคยหลับนานเช่นนี้มาก่อน
ในขณะที่นางพยายามลืมตาตื่นขึ้นมานั้น ก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในเรือนที่ไม่คุ้นเคยเรือนหนึ่ง
หลิวหลี! เจียงหลีเพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาก็รีบสัมผัสที่บริเวณอกของตัวเอง
แน่นอนว่าในอ้อมกอดที่โล่งโจ้งของนาง ทำให้ความง่วงของนางหายเป็นปลิดทิ้ง นางรีบลุกจากเตียงนอนและควานหาไปทั่วทุกมุม
ในที่สุดก็เจอเจ้าเปี๊ยกที่นอนห่อตัวอยู่มุมเตียง
ทันทีที่เห็นมัน เจียงหลีก็โล่งใจเลยทันที เสียงหายใจของเจ้าเปี๊ยกปกติและสม่ำเสมอ ทำให้นางสบายใจมากยิ่งขึ้น และมีความคิดตรวจสอบสถานที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ ณ ตอนนี้ ว่าที่นี่เป็นที่ใดกัน
นางจำได้ว่า ตนเองอยู่ที่ป่าร้างทุรกันดารแห่งหนึ่ง เหตุใดนางถึงได้ตื่นมาอยู่ที่แห่งนี้ได้
มองดูสภาพของที่แห่งนี้แล้ว…
เป็นห้องพักในโรงเตี้ยมอย่างนั้นหรือ เจียงหลีเลิกคิ้วขึ้น “หรือว่าตัวข้าเองจะถูกคนช่วยชีวิตเอาไว้รึ” นางพึมพำในใจ
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เงาร่างสูงผอมคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับอาหารที่ยังร้อนอยู่ในมือ
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองเขา ด้วยสีหน้าที่ตกใจ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
ชายคนนี้…ไม่คุ้นหน้าเลยจริงๆ
ในเมื่อเป็นคนแปลกหน้า แล้วทำไมถึงช่วยข้าล่ะ ต้องการเงินทองรึ หรือว่าต้องการทำอะไรข้า
เจียงหลีเลิกคิ้วขึ้นสูงอีก
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” ชายหนุ่มที่เข้ามา เห็นเจียงหลีฟื้นแล้วก็ยิ้มด้วยความจริงใจ
รอยยิ้มเช่นนี้ ช่างคุ้นเหลือเกิน เจียงหลีหรี่ตาลง นางถามด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง “เจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้หรือ แล้วนี่คือที่ไหน”
ชายหนุ่มคนนั้นโบกมือและวางอาหารลงบนโต๊ะ “ก็ไม่เชิงหรอก ข้าเห็นว่าเจ้าสลบอยู่ข้างทาง เลยรวดพาเจ้ากลับมาที่เมืองผิงเล่อด้วย”
หลังจากพูดจบ เขาก็พูดเสริมอีกว่า “เจ้าไว้ใจเถิด เมืองผิงเล่อนี้ไม่ได้อยู่ในเขตของสำนักพรตเสวียนหมิง เจ้ามิต้องกังวลไป”
ในคำพูดของเขาเปิดเผยข้อมูลออกมาสองอย่าง ทำให้เจียงหลีมองเขาอย่างสงสัย “เจ้ารู้จักข้า”
คำถามของนาง ทำให้ชายหนุ่มที่ถูกถามนั้นตกใจและรีบหันกลับมาชี้ที่ตัวเอง “เจ้า…เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วรึ”
“…” ถูกเขาถามกลับเช่นนี้ เจียงหลีก็ตกใจ และกล่าวด้วยสายตาจริงจังว่า “ข้าควรรู้จักเจ้า”
“…” ชายหนุ่มร้องไห้ไม่มีน้ำตา รู้สึกการเป็นคนดีครั้งนี้ดูเหมือนจะสูญเปล่าเสียแล้ว
เขาสับเท้าอย่างเร่งรีบและกล่าวด้วยความหงุดหงิดว่า “ทำไมเจ้าถึงพูดว่าไม่รู้จักข้าล่ะ อย่างน้อยเราก็เคยพบกันที่ถ้ำสวรรค์นะ ทั้งเจ้าและธิดาสวรรค์ชิงหว่านก็เป็นข้าที่ช่วยชี้นำ พวกเจ้าถึงได้รู้สถานการณ์ของถ้ำสวรรค์ไงเล่า”
“ช้าก่อน!” เจียงหลียกมือขึ้น หยุดคำพูดของเขา
นางมองไปที่ชายหนุ่มอย่างไม่แน่ใจ “เจ้าคือ…เจ้าคือจอมยุทธ์หนุ่มนั่นอย่างนั้นรึ”
ได้ยินนางพูดชื่อเรียกของตัวเองที่นางใช้เรียกตอนอยู่ถ้ำสวรรค์นั้น ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส และเอาหน้าที่หล่อเหลายื่นเข้าไปใกล้เจียงหลี “เจ้าจำข้าได้แล้ว! ข้าก็ว่า คนอย่างข้าที่ทั้งสุขุมและหล่อเหลาเช่นนี้ จะมีใครที่เคยเจอข้าแล้วไม่รู้จักข้ากันเล่า”
คำพูดหลงตัวเองนี้ ทำให้เจียงหลียกมุมปากขึ้น นางกระแอมไอและกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “เจ้าคือจอมยุทธ์หนุ่มจริงๆ รึ ทำไมเจ้าตอนนี้กับตอนที่อยู่ถ้ำสวรรค์มันช่าง…” รูปร่างของชายหนุ่มที่ดูมอมแมมเหมือนขอทานปรากฏขึ้นในหัวของนาง เทียบกับชายหนุ่มที่สะอาดดูเรียบร้อยในตอนนี้เป็นคนเดียวกันรึ
เพราะเหตุใดนางถึงไม่เชื่อขนาดนี้กันล่ะ
“ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์ หากข้าไม่แต่งตัวต่ำต้อยหน่อย ทองนั่นของข้าอาจจะนำไปสู่เหตุร้ายแรงได้นะ” ชายหนุ่มอธิบาย
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!” ในที่สุดเจียงหลีก็แน่ใจ
ชายหนุ่มหัวเราะคิกคักแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับชี้ที่ปลายจมูกของตัวเอง “ก็เป็นข้าน่ะสิ ธิดาสวรรค์เจียงหลี เราช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ!”
“ใครอยู่ด้านหลังกัน!” ทันใดนั้น เจียงหลีมองไปยังด้านหลังของชายหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชายหนุ่มรีบหันหลังกลับ แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกเตะอย่างรุนแรงที่ก้นครั้งหนึ่ง โอ๊ย! เขาล้มไปด้านหน้า เพียงแค่อีกนิดก็จะโดนโต๊ะแล้ว
หลังจากที่ทรงตัวได้แล้ว เขาก็ลูบก้นและหันกลับไปท่าทางดูขี้เกียจ เขาใช้มือข้างหนึ่งพาดไว้ตรงขาของคนที่เพิ่งเตะก้นของเขาเมื่อครู่และกล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ข้าช่วยเจ้าไว้ แต่เจ้ากลับเตะข้า บุญคุณทดแทนด้วยความแค้นหรือไงกัน!”
“เจ้าเป็นคนบอกเองว่า ไม่เชิงว่าช่วย” เจียงหลีขมวดคิ้วแล้วหัวเราะ “เตะเจ้าเมื่อครู่ เพราะเจ้าหนีไปตอนอยู่ถ้ำสวรรค์”
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างเก้อเขิน อธิบายอย่างลังเล “สถานการณ์เช่นนั้น ข้านึกว่าสมองเจ้ามีปัญหา ไม่หนีก็แปลก แต่ว่าตอนนี้ข้าว่าเจ้าก็มีความสามารถเหมือนกันนะ สำนักพรตเสวียนหมิงถูกเจ้าป่วนจนวุ่นวายไม่หยุด แม้กระทั่งยันต์ธาราทมิฬก็ถูกเจ้ากำจัดออกแล้ว” หลังจากที่ชายหนุ่มกล่าวจบก็ยกนิ้วโป้งให้กับเจียงหลี
สำนักพรตเสวียนหมิง ยันต์ธาราทมิฬ!
แววตาเจียงหลีเบิกกว้างแล้วเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกับสำนักพรตเสวียนหมิงหรือ”
เขาผงะด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้รึ”
เจียงหลีส่ายหัวแสร้งทำเป็นไม่รู้
เขาก็ไม่คิดอะไร บอกสิ่งที่ตนเองรู้ออกมา “เมื่อครึ่งเดือนก่อนมีข่าวว่าในสำนักพรตเสวียนหมิงมีคนทรยศอยากจะลอบสังหารท่านประมุขสำนัก แต่ไม่สำเร็จก่อนจะหนีออกไปก็ได้ฆ่าคนไปไม่น้อย แต่ตอนนี้คนร้ายถูกจับได้แล้วล่ะ”
เขาหันไปมองเจียงหลีด้วยสายตาสนุกสนาน
เจียงหลีที่แสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วเปลี่ยนเรื่อง “จริงสิ ข้ายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย เจ้าชื่ออะไรกัน พบกันครั้งที่สองเจ้าคงไม่ให้ข้าเรียกเจ้าว่าจอมยุทธ์หนุ่มต่อไปหรอกนะ”
เอ่อ…
ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อราวกับว่าคำถามนั้นได้แทงเข้าไปในหัวใจของเขา สายตาเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแล้วกล่าวกับเจียงหลีว่า “เจ้าไม่อยากเรียกข้าว่าจอมยุทธ์หนุ่มหรือ”
“หยุดเลยนะ เจ้าไม่รังเกียจที่มันดูเสแสร้ง แต่ข้ารังเกียจ เป็นชายผู้หนึ่ง แค่ชื่อของตัวเองก็ยังอายอีกรึ” เจียงหลีหัวเราะเยาะ
สีหน้าชายหนุ่มมืดครึ้ม พูดชื่อออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “กงเสวี่ยฮวา”
เจียงหลีตกตะลึงไปชั่วขณะ…