ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 44 อยากลากนางกลับไปเสียจริง
กงเสวี่ยฮวา!
เป็นชื่อที่ช่างมีรสนิยมเยี่ยงนี้…
ปฏิกิริยาของเจียงหลีหลังจากตกใจก็คือ หัวเราะอย่างรุนแรง
ชายหนุ่ม…อ้อไม่ กงเสวี่ยฮวาเห็นท่าทางของเจียงหลีที่หัวเราะจนจะหงายหลังไป ความขุ่นเคืองในตาก็ยิ่งหนักขึ้น “ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องหัวเราะ หลังจากได้รู้ชื่อข้า”
“ฮ่าๆๆ…เจ้า…เจ้าอย่าเพิ่งพูด ให้ข้า…ให้ข้าหัวเราะก่อน…ฮ่าๆๆ” เจียงหลีหัวเราะจนท้องแข็ง มืออีกข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา
“…” กงเสวี่ยฮวาน่าสงสารนัก เห็นเจียงหลีหัวเราะอย่างไม่เกรงกลัว เลยทำได้เพียงใช้นิ้ววาดพื้นเป็นวงกลมเล่น
“อ่ะแฮ่มๆ” ในที่สุดเจียงหลีก็กลั้นหัวเราะไว้ได้และพยายามกล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าน่ะ เป็นบุรุษ เพราะเหตุใดถึงได้ตั้งชื่อหญิงสาวเช่นนั้นล่ะ”
กงเสวี่ยฮวาเงยหน้าขึ้นด้วยความโศกเศร้า “ข้าก็เป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นกันนะ! ตอนท่านแม่ข้าท้อง ท่านอยากได้บุตรสาวมาก ทั้งเสื้อผ้าและชื่อทุกอย่างก็เตรียมเพื่อบุตรสาวทั้งหมด ใครจะไปรู้…ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดมาเป็นข้า ข้าฟังท่านพ่อข้าเล่า เมื่อท่านแม่ข้ารู้ว่าข้าเป็นเด็กชาย ท่านแม่ข้าแทบอยากจะเอาข้ามุดกลับเข้าไปแล้วคลอดใหม่อีกครั้ง!”
ชีวิตเขาต้องน่าเศร้าขนาดไหนกัน!
ทั้งๆ ที่เป็นคนที่โดดเด่นเช่นนั้น แต่กลับต้องแบกชื่อที่คนอื่นต้องหัวเราะเยาะไว้ตลอดเช่นนี้
ท่านแม่ของเขาได้บอกไว้แล้วว่า หากคิดจะเปลี่ยนชื่อก็ต้องรอให้นางตายก่อนถึงจะเปลี่ยนได้
“มิน่าล่ะ ตอนอยู่ที่ถ้ำสวรรค์ เจ้าถึงไม่ยอมบอกชื่อกับพวกข้า ยังแสร้งทำเป็นหยิ่ง เจ้าพูดว่าอะไรนะ คนแปลกหน้าพบกัน มาแล้วก็จากไป มิจำเป็นต้องรู้ชื่อกันหรอก เพียงแค่ชื่อเรียกเดียวก็เป็นพอ” เจียงหลีกล่าวอย่างเห็นใจ
กงเสวี่ยฮวาถอนหายใจอย่างไร้หนทางแล้วเงยหน้าขึ้น “เจ้ารับรู้ความทุกข์ในใจข้าแล้วเสียทีนะ”
เจียงหลีหัวเราะแล้วกล่าวว่า “แค่ชื่อเอง คุ้นเคยก็พอแล้วล่ะ”
ทันใดนั้น กงเสวี่ยฮวาก็เพ่งสายตาอันเย็นเฉียบและกัดฟันกล่าวว่า “เจ้าสามารถคุ้นเคยกับชื่อที่ถูกทุกคนหัวเราะทุกครั้ง เวลาตนเองแนะนำตัวอย่างนั้นหรือ”
“อ่ะแฮ่มๆ” เจียงหลีหลบสายตา ไม่ตอบคำถามนี้ของเขา
“ข้าก็รู้!” กงเสวี่ยฮวาพูดด้วยความโกรธ
“อะแฮ่ม…เสวี่ยฮวา…อือ…” เจียงหลีพูดด้วยรอยยิ้ม อยากจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น เพียงแต่ว่า ชื่อของเขานั้น เพียงแค่พูดออกมาก็อยากจะหัวเราะอย่างมิทราบสาเหตุ “…เสวียเสวี่ย ฮวาฮวา”
“ข้าไม่ถือ หากเจ้าจะเรียกข้าว่าเหล่ากง!” กงเสวี่ยฮวาขบกรามกล่าว
เจียงหลีขมวดคิ้ว “คิดเอาเปรียบข้างั้นรึ! ตายซะ! ข้าเรียกเจ้าว่ากงเสวี่ยฮวาดีกว่า อย่างน้อยเรียกเช่นนี้ก็ดูปกติหน่อย เรียกเหล่ากงเหมือนเรียกสามีอย่างไรอย่างนั้น”
“เจ้าจะลองไปดูที่ตลาดไหม” กงเสวี่ยฮวายิ้มแห้ง
เจียงหลีนึกภาพ เมื่อเรียกชื่อกงเสวี่ยฮวาท่ามกลางผู้คนมากมายในตลาด ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นไปครู่หนึ่ง
สีหน้านางเปลี่ยนไป “เจ้าคงไม่ให้ข้าเรียกเจ้าว่าจอมยุทธ์หรอกใช่หรือไม่ นี่มันน่าอายนัก”
“เรียกข้าว่าฮวาฮวาก็ได้ ครอบครัวข้าก็เรียกข้าเช่นนั้น หลายปีมานี้ข้าก็คุ้นเคยกับชื่อนี้แล้วเช่นกัน” กงเสวี่ยฮวายอมรับอย่างไม่เต็มใจ
“ฮวาฮวารึ ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าฮวาฮวาแล้วกัน” เจียงหลียอมรับอย่างดีใจ
กงเสวี่ยฮวาให้ความรู้สึกที่ไม่เลวนัก และยังช่วยตัวเองไว้อีก เจียงหลีก็ได้ถามคำถามในใจทั้งหมดของตัวเองออกไป
“แล้วสัญลักษณ์สังหารมีผลอะไร” เจียงหลีถามไปกินอาหารไป
กงเสวี่ยฮวามองนางอย่างเล่นๆ “เจ้าไม่รู้หรือ”
ไร้สาระสิ้นดี!
เจียงหลีสบตาเขา ให้เขารับรู้เอง
กงเสวี่ยฮวาเป็นคนอารมณ์ดี ไม่ถือสาท่าทีของเจียงหลี “ว่ากันว่าหากรวบรวมสัญลักษณ์สังหารได้ จะสามารถฝึกฝนวิชาธรรมกายาได้”
“อะไรนะ” เจียงหลีตกใจ
กงเสวี่ยฮวาพยักหน้า “วิชาธรรมกายา หากร่างที่แท้จริงของเจ้าและวิญญาณหลุดหายไป เจ้าจะสามารถใช้วิชาธรรมกายานี้ฟื้นคืนชีพได้และจะไม่เปลี่ยนไปด้วย เหมือนกับเจ้ามีชีวิตเพิ่มหนึ่งชีวิตไงล่ะ แต่วิชาธรรมกายาจากสัญลักษณ์สังหารนั้นมันดุร้ายและยากที่จะต้านทานไหว เจ้าจำเป็นต้องสลักเครื่องรางโบราณไว้บนผิวหนังของเจ้า เพื่อยับยั้งมันจนวิชาธรรมกายาสำเร็จ เครื่องรางโบราณนั้นถึงจะถ่ายโอนไปยังวิชาธรรมกายา และร่างเดิมผิวพรรณเดิมของเจ้าก็จะกลับคืนมา”
คำพูดของเขา ทำให้เจียงหลีนึกถึงใบหน้าที่ดูเด็กของประมุขสำนักพรตเสวียนหมิง หรือเขาจะตั้งใจทำเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าโรคจิต แต่เพื่อกลบเกลื่อนเครื่องรางโบราณบนใบหน้าไว้
เขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าตนกำลังฝึกวิชาธรรมกายาจากสัญลักษณ์สังหารอยู่! เจียงหลีได้ข้อสรุป
“วิชาธรรมกายาที่ฝึกจากสัญลักษณ์สังหารนั้นไม่ง่ายนัก สัญลักษณ์สังหารที่ต้องการต้องเป็นสีทองเท่านั้น และยังต้องการทั้งหมดเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าทาง นอกเหนือจากนี้ ยังต้องแช่เลือดของหญิงพรหมจรรย์เก้าร้อยเก้าสิบเก้าคนและต้องฝึกฝนเป็นเวลาหลายปีถึงจะสำเร็จได้” กงเสวี่ยฮวากล่าวต่อ
มีภาพน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นในใจของเจียงหลี
สัญลักษณ์สังหารสีทอง ก็เท่ากับว่าต้องฆ่าคนอย่างน้อยห้าร้อยคน แล้วต้องมีทั้งหมดเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าทาง เช่นนี้ก็เท่ากับว่าต้องคร่าชีวิตคนไปสี่ล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันห้าร้อยคนรึ และหญิงพรหมจรรย์อีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน…
“มิน่าล่ะ ถึงเป็นวิชาธรรมกายาสัญลักษณ์สังหาร ไม่กลัวภูตผีตามหลอกหลอนแม้แต่น้อย!” เจียงหลีตะคอกอย่างเย็นชา นางมิรู้ว่าวิชาธรรมกายาของประมุขสำนักพรตเสวียนหมิงฝึกฝนไปถึงขั้นใดแล้ว แต่ก็ไม่ปล่อยให้ความต้องการผดุงธรรมนี้ระเบิดออกมาจนกลับไปให้พวกเขาฆ่าอีกครั้งด้วยเหตุนี้เช่นกัน
กงเสวี่ยฮวาหัวเราะ “เส้นทางของการฝึกฝน หากคิดจะไต่ขึ้นจุดสูงสุด ก็ต้องมีซากกระดูกตามหลัง การฝึกฝนเป็นวิธีที่เทียบกับฟ้าสวรรค์ คิดจะไม่ฆ่าคนนั้น เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”
เจียงหลีหัวเราะและไม่คิดเรื่องนี้ต่อ การที่นางถามเรื่องสัญลักษณ์สังหารก็เป็นเพียงความอยากรู้ของนางชั่วครู่เท่านั้น
มีเรื่องจริงจังเรื่องหนึ่งที่นางอยากจะถามไถ่จากกงเสวี่ยฮวาจริงๆ
นางสังเกตเห็นว่ากงเสวี่ยฮวาคนนี้ต้นกำเนิดไม่ธรรมดา ดูเหมือนเขาจะรู้ในหลายๆ เรื่อง
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องฮวงเสินหรือไม่” เจียงหลีถาม
กงเสวี่ยฮวาตกใจเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “กลุ่มอำนาจฮวงเสิน? เจ้าจะไปที่นั่นรึ” ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิด คิดว่าหลังจากที่เจียงหลีหนีออกจากสำนักพรตเสวียนหมิงแล้ว ต้องการหากลุ่มอำนาจที่มีกำลังมากกว่าเพื่อการป้องกัน เพราะเหตุนี้ถึงได้เลือกฮวงเสิน
เจียงหลีพยักหน้า
ถึงคราวนี้ นางไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไป เพราะจากการที่ได้รู้จักกับกงเสวี่ยฮวาแล้ว นางรู้สึกว่ากงเสวี่ยฮวามิใช่คนเลวร้ายแต่อย่างใด
“ฮวงเสินไกลมากเกินไป เพราะเหตุใดเจ้าถึงต้องแสวงหาที่ไกลๆ ด้วยเล่า อีกอย่างฮวงเสินเป็นเพียงกลุ่มอำนาจระดับกลาง ทำไมเจ้าไม่ไปกลุ่มอำนาจระดับสูงเลยล่ะ ลำบากหนเดียวสบายตลอดชาติเลยนะ!” ดวงตาของกงเสวี่ยฮวาเป็นประกายและกล่าวกับเจียงหลีด้วยความกระตือรือร้น
แต่เจียงหลีกลับมองข้ามคำพูดอื่นของเขา และถามต่อ “เจ้าพูดเช่นนี้ เจ้ารู้ตำแหน่งของฮวงเสินงั้นสิ”
กงเสวี่ยฮวาพยักหน้า “รู้น่ะรู้ แต่ข้าขอเตือนเจ้าให้ไม่ไปดีกว่า ถึงแม้ฮวงเสินจะเป็นเพียงกลุ่มอำนาจระดับกลาง แต่การเลือกคนเข้านั้นเข้มงวดมากเช่นกัน ยิ่งเป็นศิษย์หญิงแล้วยิ่งเข้มงวด และถึงแม้เจ้าจะข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงที่นั้นก็มิอาจถูกเลือกได้เช่นกัน”
“อยู่ที่ใดกัน” เจียงหลีไม่สนใจคำพูดของเขา
“นี่ๆๆ ข้าเตือนเจ้าด้วยความหวังดีนะ เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังกันเลย ฮวงเสินมีดีอะไรหรือ ก็เป็นเพียงกลุ่มอำนาจระดับกลางนั่นแหละ หรือให้ข้าแนะนำเจ้าไปกลุ่มอำนาจระดับสูงที่หนึ่ง” กงเสวี่ยฮวายังคงเกลี่ยกล่อม
เจียงหลีมองเขาอย่างสงสัยและเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาในแววตา
“หรือว่า…เจ้าไปวังเทียนอู่กงกับข้า” กงเสวี่ยฮวากล่าวอย่างยิ้มๆ