ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 49 เทียนเจียวตัวจริง
“นี่…”
กงเสวี่ยฮวาอยากจะเรียกเจียงหลีไว้ แต่สุดท้ายแล้วก็เดินตามเจียงหลีไป
เมื่อเห็นเจียงหลีเดินเข้ามา คนผู้นั้นครุ่นคิดและพูดคุยกับคนข้างๆ สักครู่ จากนั้นก็เดินมาทางเจียงหลี
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ” คนผู้นั้นพูด
มุมปากของเจียงหลียกยิ้มขึ้น “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ มู่ชิงเหยียน” คนผู้นี้คือองค์หญิงแห่งราชวงศ์
โฮ่วจิ้นที่แอบรักพี่ชายของนาง
เป็นศัตรูกันในตอนนั้น จนท้ายสุดก็แยกทางกันไปราวกับยังอยู่ในสายตา
“ใช่! นานมากแล้วจริงๆ” มู่ชิงเหยียนพยักหน้าพร้อมเอ่ยด้วยความเสียใจ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ทําให้ชีวิตตัวเองถูกโค่นล้ม มู่ชิงเหยียนไม่ได้แสดงความเกลียดชังออกมาเหมือนโจวยวนในตอนนั้น นางนิ่งมาก ทำให้เจียงหลีรู้สึกเหมือนเป็นสหายเก่าที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
นอกจากความประหลาดใจในตอนแรกแล้ว มู่ชิงเหยียนเพียงแค่แสดงสีหน้าสงบนิ่งออกมา
ดูเหมือนนางสามารถวางเรื่องราวที่ผ่านมาได้นานแล้ว
ไม่ได้เจอกันหลายปี มู่ชิงเหยียนดูสวยกว่าแต่ก่อนมาก แต่อารมณ์บุคลิกดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความสง่างามขององค์หญิงในตอนนั้นกลายเป็นสงบนิ่งและกร้านโลกในตอนนี้
ขณะที่เจียงหลีกำลังสังเกตนาง มู่ชิงเหยียนก็กำลังสังเกตเจียงหลีอยู่เช่นกัน ในตอนนั้น เจียงหลียังเด็ก ใบหน้ายังไม่โตเป็นสาว ยังคงเป็นแค่สาวน้อยหน้าตางดงาม แต่ตอนนี้ นางมีเสน่ห์ชวนหลงใหล แม้แต่หญิงสาวอย่างนางเองก็ยังมิอาจละสายตาได้
“เจ้า…”
“มู่ชิงเหยียน เจ้าเสร็จหรือยัง ไปกันเถิด” เสียงที่ดังขัดจังหวะคำพูดของมู่ชิงเหยียน
สีหน้าของนางเปลี่ยนไป นางหันไปมองสหายที่อยู่ข้างหลัง
เจียงหลีเงยหน้ามองหญิงสาวสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลนักของมู่ชิงเหยียน สีหน้าของพวกนางหยิ่งยโส และให้ความรู้สึกเหนือกว่า สายตาที่มองมู่ชิงเหยียนนั้นดูไม่ดีนัก
“ข้าขอตัวก่อน” มู่ชิงเหยียนเก็บคำพูดที่ตั้งใจจะพูดและกล่าวคำอำลากับเจียงหลี ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพร้อมกับสหายของนาง
เจียงหลีมองแผ่นหลังของนางพลางถอนหายใจ
องค์หญิงในอดีต ตอนนี้กลับถูกคนเรียกให้จะมาก็มาจะไปก็ไป เกรงว่าก่อนหน้านั้น นางคงจะผ่านอะไรมาไม่น้อย
เจียงหลีเดาออกว่าเมื่อครู่นี้มู่ชิงเหยียนอยากจะพูดแต่ไม่ทันได้พูดจบ อยากจะถามถึงเจียงเฮ่า นางยังคงไม่ลืมเจียงเฮ่า ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่
“ไปกันเถอะ คนก็ไปแล้ว” กงเสวี่ยฮวามาถึงข้างๆ เจียงหลีและเตือนนาง
เจียงหลีหันกลับไปมองเขา แต่เขากลับพูดกับตัวเองว่า “ไม่คิดว่าคนของเขาเฟิ่งอู่ซานก็มาด้วย”
“เขาเฟิ่งอู่ซานอย่างนั้นหรือ” เจียงหลีเลิกคิ้วขึ้น
กงเสวี่ยฮวาพยักหน้า” และเดินไปพูดไป
จากนั้น เขากับเจียงหลีก็ออกจากตลาดและเดินไปในทิศทางของซากกำแพงอวิ๋นเมิ่ง
“เขาเฟิ่งอู่ซานเป็นกลุ่มอำนาจระดับกลางในพื้นที่นี้ เมื่อเทียบกับสำนักพรตเสวียนหมิงก่อนหน้าของเจ้านั้นจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในบรรดากลุ่มอำนาจระดับกลางนั้นก็เป็นพวกที่ค่อนข้างอ่อนแอทั้งนั้น แต่นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาภาคภูมิใจ ที่จริงแล้ว นอกจากเขาเฟิ่งอู่ซานแล้วก็ไม่มีกลุ่มอำนาจระดับกลางอื่นๆ อยู่ใกล้ละแวกนี้ สหายของเจ้าดูเหมือนไม่ได้มีความสุขในเขาเฟิ่งอู่ซานเลยนะ เพียงแค่สาวใช้สองคนก็สามารถเรียกชักจูงนางไปไหนมาไหนก็ได้”
เจียงหลีกวาดมองเขา “ท่านนี่รู้ไปเสียทุกเรื่องจริงๆ”
กงเสวี่ยฮวาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ออกบ้านไปเที่ยวไหนมาไหนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสิ”
…
ได้พบกับมู่ชิงเหยียนเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง
หลังจากแยกกัน เจียงหลีก็ไม่คิดมากอีก เมื่อเดินทางไปถึงซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งพร้อมกับกงเสวี่ยฮวา บริเวณลานกว้างใต้กำแพงที่พังทลายก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว
กงเสวี่ยฮวายืนอยู่ด้านนอก ชี้ไปที่กำแพงใสและเรียบเนียนราวกับหยกพร้อมแนะนำให้เจียงหลี “นั่นคือซากกำแพงอวิ๋นเมิ่ง ช่างสวยงามเหลือเกิน!”
เจียงหลีพยักหน้าเห็นด้วย
รอบๆ กําแพงที่เหมือนหยกขาวนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม สีเขียวและสีขาวสว่างไสวราวกับอัญมณีหยกก็มิปาน
บนซากปรักหักพังของกำแพงตรงจุดแตกหักนั่นมิรู้ว่าผ่านลมผ่านฝนมากี่ปีแล้ว ตอนนี้ได้กลมหม่นเต็มไปด้วยเถาวัลย์และตะไคร่น้ำ เมื่อลมพัดกระเพื่อมกระพือ ช่างงดงามยิ่งนัก
“ดูสิ คนพวกนี้คือคนที่มาภาวนาต่อซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งน่ะ” กงเสวี่ยฮวาเลิกคิ้วขึ้น มองไปยังผู้คนที่อยู่ใต้กำแพง
เจียงหลีกวาดตามองคนบนลานกว้าง ที่มีประมาณพันคน ในเวลานี้นางนึกถึงคำพูดของกงเสวี่ยฮวาอีกครั้ง หากไม่ใช่เทียนเจียวไม่สามารถมองกำแพงได้
นางหัวเราะและกล่าวว่า “มีเทียนเจียวมากขนาดนี้เชียวรึ”
กงเสวี่ยฮวาได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของนาง เลยเสริมไปอีกหนึ่งประโยค “ดังนั้น ซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งยังเป็นที่รู้จักกันในนามหินทองทดสอบเทียนเจียวอีกด้วย”
อ่า!
เจียงหลีนิ่งไปครู่หนึ่งก็ดึงสติกลับมาได้ทันทีและเผยรอยยิ้มออกมา
“ออกไป! และไปให้พ้น!”
“ไสหัวไป! หัวหน้าศิษย์ของเขาเฟิ่งอู่ซานอยู่ที่นี่ พวกเจ้ายังกล้าครอบครองที่นั่งที่ดีที่สุดอีกหรือ”
“ถอยไป! ภายในหนึ่งจั้งจากกำแพง ห้ามใครเข้าใกล้ทั้งนั้น “
“…”
ทันใดนั้น มีเสียงดังกึกก้องมาจากลานกว้าง
เจียงหลีและกงเสวี่ยฮวามองออกไป และเห็นกลุ่มคนท่าทางเลวร้ายพากันขับไล่คนที่นั่งอยู่ตรงลานกว้างก่อนหน้าออกไป
“ได้อย่างไร! ซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งนี้ไม่ใช่ของเขาเฟิ่งอู่ซานสักหน่อย เหตุใดถึงได้ให้พวกข้าถอยออกไป” มีคนพูดอย่างไม่พอใจ
แต่ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ถูกคนของเขาเฟิ่งอู่ซานตีจนกระอักเลือด อีกฝ่ายยังคงกล่าวอย่างหยิ่งยโสว่า“แม้ว่าซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งจะไม่ได้เป็นของเขาเฟิ่งอู่ซาน แต่ภายในอาณาเขตของกลุ่มอำนาจเขาเฟิ่งอู่ซานก็ต้องขึ้นอยู่กับเขาเฟิ่งอู่ซาน! ถ้ายังไม่ฉลาด ข้าก็จะฆ่าเจ้าทิ้งซะ!”
คนที่ได้รับบาดเจ็บถูกเพื่อนของเขาพยุงขึ้น ใบหน้าซีดเซียวและถอยออกไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเกิดเรื่องนี้ แม้ยังมีบางคนที่ไม่อยากถอย กลับได้แต่ลุกขึ้นยืนและถอยหลังไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงระยะทางที่กำหนดจึงหยุดลง
ในตอนนี้ลานกว้างก็เงียบสงัด บรรยากาศอึมครึม ไม่มีใครกล้าพูด ทยอยกันออกไปอย่างเงียบเชียบ
เจียงหลีทั้งสองยืนอยู่ในระยะไกลโดยไม่ได้รับผลกระทบ แต่นางยังคงขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เขาเฟิ่งอู่ซานมีการกระทำจองหองเช่นนี้ตลอดเลยหรือ”
“ใช่แล้วล่ะ” กงเสวี่ยฮวาดูไม่แปลกใจเลย
คิ้วของเจียงหลีขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น ถามขึ้นว่า “การชื่นชมกำแพง เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่นั่งด้วยหรือ”
“ดูเหมือนว่า…ไม่เกี่ยวนะ” กงเสวี่ยฮวาหัวเราะอย่างขบขัน
เจียงหลียิ้ม แต่ดวงตาของนางเย็นชา “นั่นหมายความว่าเขาเฟิ่งอู่ซานนี้ เพราะอยากโดดเด่น จึงเผด็จการและไม่ลังเลที่จะล่วงเกินทุกคนอย่างนั้นสิ”
“คิดว่าใช่ ใครใช้ให้พวกเขาเรียกตนว่าสุดยอดแห่งเทียนเจียวกันล่ะ” รอยยิ้มของกงเสวี่ยฮวากลายเป็นความสนุกสนานมากขึ้น
“น่าสนใจ” เจียงหลีหรี่ตาลงคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
กงเสวี่ยฮวาพยักหน้า “น่าสนใจจริงๆ”
ทั้งสองคนไม่ได้เบียดเสียดกันเดินไปข้างหน้า เพียงแค่มองอย่างเย็นชาไปที่คนของเขาเฟิ่งอู่ซานที่ขับไล่คนอื่นๆ และทำให้บริเวณรอบกําแพงเว้นว่างไว้
“หัวหน้าศิษย์ของเขาเฟิ่งอู่ซานผู้นั้น เทียนเจียวยอดอัจริยะมาแล้ว” กงเสวี่ยฮวากล่าวอย่างหยอกล้อ
เจียงหลีมองตามสายตาของเขา เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เดินออกมาอย่างเย่อหยิ่ง ดูจากรูปร่างแล้ว ชายหนุ่มก็หล่อเหลาหญิงสาวก็งดงาม คู่หนุ่มสาวรูปงาม สวมชุดสีขาวล้วน ดูแล้วคล้ายเทพเซียนอยู่บ้าง
ด้านหลังพวกเขาทั้งสอง มีผู้คนติดตาม มู่ชิงเหยียนที่เพิ่งแยกจากกันไม่นานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน