ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 51 พลังแห่งการควบคุมจิต!
เจียงหลีสาบานว่านางไม่ได้ตั้งใจจริงๆ!
ตัวนางเองถูกดูดเข้าไปในกำแพงด้วยพลังที่แปลกประหลาดนั้น และนางก็ไม่มีโอกาสต้านทานเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ การไปชนเฟิ่งเซียนเข้าก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน
อ้ากก! เฟิ่งเซียนพุ่งขึ้นไปในอากาศอย่างไม่ทันตั้งตัว และถูกระแทกลงกับพื้นจนกระเซอะกระเซิง
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ฉากที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน หลายคนยืนขึ้น และมองไปยังกำแพงด้วยท่าทีที่ตกตะลึง
เมื่อครู่พวกเขามิได้ตาฟาดใช่หรือไม่
มีคนถูกดูดเข้าไปในกำแพงงั้นรึ นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยนะนั่น!
“ผู้ใด ผู้ใดทำร้ายข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ” เฟิ่งเซียนลุกขึ้นด้วยความอับอาย ใบหน้าสะสวยของนางบูดบึ้งทันที ใช้สายตากวาดมองผู้คนบนแท่นอย่างดุเดือด
เมื่อครู่นางล้มลงและไม่ทันเห็นว่าใครถูกกำแพงดูดเข้าไป
“หุบปาก!” เฟิ่งเทียนยืนขึ้นด้วยสีหน้าย่ำแย่ และห้ามไม่ให้เฟิ่งเซียนตะโกนต่อไป
เฟิ่งเซียนมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ในใจรู้สึกโกรธเล็กน้อย “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าถูกใครบางคนลอบทำร้าย ท่านไม่ช่วยข้า แล้วยังดุข้าอีกหรือ”
“หุบปาก! ไม่มีการลอบทำร้ายทั้งนั้น!” ดวงตาของเฟิ่งเทียนเย็นชาลงเล็กน้อย และมือที่อยู่ตรงชายแขนเสื้อก็กำหมัดแน่น
เมื่อครู่ เฟิ่งเซียนยังคงโอ้อวดว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด เขาเป็นเทียนเจียว และสามารถรับรู้ถึงความลับในกำแพงนี้ได้
แต่ในตอนนี้ กลับมีคนถูกดูดเข้าไปในกำแพงโดยตรง นี่ไม่ใช่การตบหน้าเขาอย่างจังงั้นหรือ
สิ่งสำคัญที่สุดคือเขารู้อยู่แก่ใจว่าตนไม่เคยรับรู้ถึงอะไรเลยตอนที่นั่งสมาธิอยู่หน้ากำแพงเมื่อครู่
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านดุข้า!” เฟิ่งเซียนมองเขาอย่างไม่พอใจ
ในเวลานี้ ผู้คนที่อยู่เบื้องหลังก็เริ่มพูดคุยกัน
“เหตุใดถึงมีคนถูกดูดเข้าไปในกำแพงได้กัน หรือว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะทำผิดกันหมด”
“ใช่! ซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว และสิ่งนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้น”
“การมีคนที่รับรู้ถึงพลังควบคุมจิตจากซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งในบางครั้ง ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว เหตุใดถึงมีคนถูกดูดเข้าไปในกำแพงได้ล่ะ”
“แล้วใครกันที่ถูกดูดเข้าไปในกำแพง”
“ไม่รู้สิ! มันเกิดขึ้นไวมาก รู้สึกเพียงมีเงาดำผ่านไป แต่มองไม่เห็นอะไรเลย”
“คนที่ถูกดูดเข้าไปนั้น จะต้องเป็นเทียนเจียวที่ไม่มีใครเทียบได้แน่นอน!”
“…”
การสนทนาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
เฟิ่งเซียนเข้าใจแล้ว และตอนนี้ก็เพิ่งรู้ว่ามีคนที่มีอำนาจมาก ถูกดูดเข้าไปในซากกำแพงโดยตรง
นางมองไปที่ดวงตาของเฟิ่งเทียนอีกครั้ง เผยความรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ไม่มีความเคารพนับถือและความชื่นชมเหมือนแต่ก่อน
และแน่นอน เฟิ่งเทียนรู้สึกหงุดหงิดกับสายตาของนาง และการสนทนาที่อยู่ด้านหลังก็ดำเนินต่อไปไม่หยุด เขาถอนหายใจออกมาและเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกมา “บางที คนๆ นี้อาจใช้วิธีที่น่าละอาย เพื่อทำให้ตัวเองเข้าไปในกำแพงก็เป็นได้”
ผู้คนตกใจ และนิ่งเงียบไป
ความสงสัยในดวงตาของเฟิ่งเซียนหายไป และความชื่นชมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ศิษย์พี่ใหญ่เก่งเหลือเกิน คนนั้นคงใช้วิธีอะไรสักอย่าง ใช้แผนลวงต่อหน้าผู้คน”
มุมปากของเฟิ่งเทียนยกขึ้นเล็กน้อย และรักษาความภาคภูมิใจของเขาในฐานะเป็นเทียนเจียวอันดับหนึ่งแห่งเขาเฟิ่งอู่ซานนี้
“ฮ่าๆๆ…ให้ตายเถอะ ตัวเองไม่มีความสามารถในการรับรู้ เลยบอกว่าคนอื่นใช้วิธีที่น่าอับอาย เหตุใดท่านไม่ลองคิดดู บางทีอาจเป็นเพราะเทียนเจียวที่ถูกดูดเข้าไปในกำแพงผู้นี้มีความยั่วยวนเหลือล้นจนได้รับความโปรดปรานจากกำแพงปรักหักพังนี้กระมัง” เสียงหัวเราะของกงเสวี่ยฮวาดังออกมาด้วยเสียงที่ดุร้าย และเขาก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเขาเฟิ่งอู่ซานหรือเฟิ่งเทียนและเฟิ่งเซียนเลยสักนิด
เขาแปลกใจที่จู่ๆ เจียงหลีก็ถูกดูดเข้าไป แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เขารู้สึกเพียงว่าเจียงหลีเป็นผู้ที่พิเศษและทำให้ความคิดที่จะพานางกลับวังเทียนอู่กงนั้นเพิ่มมากขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม คำพูดไร้ยางอายของเฟิ่งเทียนนั้นทำให้เขาโกรธ
เขาหยิบเดรัจฉานน้อยที่เจียงหลีทิ้งไว้ กงเสวี่ยฮวาไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองเขา
ทว่า ตี้จวินบางพระองค์ไม่ต้องการให้เขาอุ้มขึ้นมา และร่างของเขาก็กลายเป็นสายฟ้าสีขาวเงินและหายตัวไปต่อหน้ากงเสวี่ยฮวา
“…” ปากของกงเสวี่ยฮวากระตุกอย่างรุนแรง สบถในใจ รังเกียจข้าขนาดนั้นเชียวหรือ
“ท่านเป็นใครกัน เหตุใดจึงไม่ละอายที่กล่าวออกมาเช่นนี้!” เฟิ่งเทียนมองไปที่กงเสวี่ยฮวาด้วยสีหน้ามืดมน
กงเสวี่ยฮวาเลิกคิ้วและพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ผู้คนล้วนบอกว่าซากกำแพงอวิ๋นเมิ่งเป็นที่ทดสอบมาตรฐานของเทียนเจียว ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง เทียนเจียวจริงหรือปลอม เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้ว ก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น! ทุกคน ตอนนี้มีเทียนเจียวที่เก่งกล้ามาเปิดทางให้พวกเจ้าแล้ว รออะไรอยู่ล่ะ หากอยากรู้แจ้งดั่งเทพเจ้า ก็จงคว้าโอกาสนี้ไว้เถิด!”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเพิกเฉยต่อเฟิ่งเทียน
ใบหน้าของเฟิ่งเทียนดำทะมึน เพราะเขาไม่ไว้หน้าเฟิ่งเทียนเลย
อย่างไรก็ตาม ผู้คนบนแท่นได้รับการเตือนจากกงเสวี่ยฮวาแล้วและแต่ละคนก็ตื่นขึ้นนั่งขัดสมาธิและกลับเข้าสู่สมาธิอีกครั้ง เช่นเดียวกับมู่ชิงเหยียน หลังจากกงเสวี่ยฮวาพูดจบ นางก็ระงับการแสดงออกที่ขี้เล่นและนั่งสมาธิอีกครั้ง
แน่นอนว่าเป็นโอกาสสำหรับพวกเขา กับสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขามาก่อน หากคว้าโอกาสนี้ไว้ ไม่แน่พวกเขาก็อาจเข้าไปในกำแพงนี้ได้เช่นเดียวกัน
“เจ้า!” เฟิ่งเทียนโกรธจัด
เฟิ่งเซียนเยาะเย้ย วางแผนที่จะสั่งให้คนรอบข้างจับกงเสวี่ยฮวาไว้
แต่อย่างไรก็ตาม กลับถูกเฟิ่งเทียนคว้าไว้
“ศิษย์พี่ ท่าน…” เฟิ่งเซียนมองเขาอย่างงุนงง
ดวงตาของเฟิ่งเทียนกวาดมองนางอย่างแหลมคมและกระซิบว่า “เจ้าเพิ่งเรียกพวกเขาจากการนั่งสมาธิ ซึ่งถือว่าเป็นข้อห้าม หากเจ้ารบกวนพวกเขาอีกครั้ง แล้วพวกเขารวมกันโจมตีเจ้า ข้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้นะ”
“ใครหน้าไหนกล้ารึ!” เฟิ่งเซียนจ้องเขม็ง
เฟิ่งเทียนเยาะเย้ย “ฆ่าเจ้าแล้วพวกเขาก็จากไปทันที ซีฮวงกว้างใหญ่ไพศาล พวกเราเขาเฟิ่งอู่ซานจะหาไปพวกเขาได้เยี่ยงไร”
ใบหน้าของเฟิ่งเซียนเปลี่ยนไป และเสียงของนางก็ผ่อนลง “แล้วจะปล่อยพวกเขาไปเช่นเลยงั้นหรือ”
“ไม่!” เฟิ่งเทียนยิ้มเยาะ “เจ้าส่งคนกลับไปนำคนมาเพิ่ม และเฝ้าอยู่รอบๆ กำแพงอวิ๋นเมิ่งไว้ทั่วทุกทิศ รอให้ผู้ที่ถูกดูดเข้าไปในกำแพงออกมา และเก็บคนเหล่านั้นไว้ในคราวเดียว ไม่ว่าในกำแพงเกิดอะไรขึ้น ท่านประมุขต้องสนใจเรื่องนี้แน่นอน”
ดวงตาของเฟิ่งเซียนเป็นประกาย เข้าใจแผนการของเฟิ่งเทียนทันที นางเรียกคนสนิทมาและกระซิบที่ข้างหู
ต่อมา นางถามเฟิ่งเทียนว่า “ศิษย์พี่ เราจะทำเยี่ยงไรดี”
“พวกเราหรือ นั่งสมาธิต่อไป!” ดวงตาของเฟิ่งเทียนฉายแววเศร้า เขาไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่สามารถรับรู้ถึงพลังควบคุมจิตจากกำแพงได้
…
ในซากกำแพงแตกหัก เจียงหลียืนอยู่ระหว่างโลกที่กว้างใหญ่และแห้งแล้ง
นางแหงนหน้ามองท้องฟ้า ก้มศีรษะลงดูพื้นดิน และไม่มีอะไรอื่นอีก อย่างไรก็ตาม ในมือของนางก็มีดาบอยู่ด้วย
เจียงหลีเลิกคิ้วมองดาบในมือของนางและรู้สึกถึงพลังในดาบ
“ดาบเล่มนี้…” เจียงหลีงุนงงเล็กน้อย และยกดาบขึ้นแกว่งมันเบาๆ แสงดาบพุ่งออกมาจากปลายดาบและตกลงมาในระยะไกล ทำเครื่องหมายหุบเขายาวบนพื้น
“พลังควบคุมจิต!” เจียงหลีอุทานเบาๆ
พลังเมื่อครู่ เป็นเช่นเดียวกับพลังที่นางสัมผัสได้
ทันใดนั้น ความเย่อหยิ่งที่ไม่ย่อท้อก็ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจของนาง และความตั้งใจสู้ที่จะไม่ถอยกลับ ก็ผุดขึ้นมาในสายตานาง ราวกับว่าเลือดกำลังไหลเวียนอยู่เต็มตัวนางอย่างไรอย่างนั้น
ในถิ่นทุรกันดาร ลมพัดเสื้อของนางปลิว ผมยาวสลวยของนางก็ปลิวไสวไปตามสายลม และดาบโปร่งแสงที่ส่องประกายเล็กน้อย
สายฟ้าแลบ แหวกนภาและฟาดมายังนาง
เจียงหลีลืมตาขึ้น ดวงตาที่สดใสของนางเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และนางก็คำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ฆ่าา!” เหวี่ยงดาบขึ้นปะทะกับสายฟ้า…