ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 55 เจ้ากล้าแตะต้องนางก็ลองดู!
“…”
บนแท่นว่างเปล่านี้ เหลือเพียงคนจากเขาเฟิ่งอู่ซานเท่านั้น
คนจากเขาเฟิ่งอู่ซาน ต่างก็มองหน้ากัน รู้สึกอายเป็นอย่างมาก!
กำแพงอวิ๋นเมิ่งนี้จงใจทำอย่างนี้กับเขาเฟิ่งอู่ซานจริงหรือ ทำไมคนอื่นถึงได้ถูกดูดเข้าไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงคนของเขาเฟิ่งอู่ซานไว้ล่ะ
โอ๊ะ ไม่สิ คนของเขาเฟิ่งอู่ซานมีมู่ชิงเหยียนเข้าไปน่ะ
แต่!
พวกเขาล่ะ เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งอย่างไรอย่างนั้นกัน หรือว่า คนที่ถูกดูดเข้าไปนั้น ต่างก็เป็นเทียนเจียวขั้นเทพ
คนจากเขาเฟิ่งอู่ซานที่เหลือ รวมทั้งศิษย์พี่เป็นเพียงแค่คนกระจอกอย่างนั้นรึ
ศิษย์ทั้งหลายจากเขาเฟิ่งอู่ซาน มีความรู้สึกว่าหน้าเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
เฟิ่งเทียนและเฟิ่งเซียนสองคนมีสีหน้าย่ำแย่ไม่แพ้กัน สายตาก็น่ากลัวเหลือเกิน ไม่เหมือนกับตอนแรกที่ดูเย่อหยิ่ง
“ข้าจะทุบกำแพงนี้ซะ!” เฟิ่งเทียนกล่าวอย่างโกรธแค้น
เฟิ่งเซียนตกใจ และกล่าวออกมาว่า “ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ! นี่เป็นกำแพงศักดิ์สิทธิ์นะ! หากท่านทำลายมัน จะทำให้เขาเฟิ่งอู่ซานพบเจอแต่โชคร้าย!”
ไม่มีความรู้สึกรักใคร่เหมือนแต่ก่อนจากน้ำเสียงที่พูดออกมา
เฟิ่งเทียนเพียงแค่พูดเล่น แต่กลับถูกเฟิ่งเซียนคิดเป็นเรื่องจริงจัง สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ขึ้นอีก และจ้องนางด้วยสายตาเย็นชา
เฟิ่งเซียนถูกเขาจ้องจนตัวสั่น น้ำเสียงก็เริ่มอ่อนลง “ศิษย์พี่ใหญ่เจ้าคะ ข้า…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นเจ้าคะ…ข้าเพียงแค่เป็นห่วงว่าท่านจะกระทำการวู่วามเจ้าค่ะ”
เฟิ่งเทียนหัวเราะ “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่หุนหันพลันแล่นหรอก และจะไม่สร้างปัญหาให้กับเขาเฟิ่งอู่ซานแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เฟิ่งเซียนก็โล่งใจ
นางถามต่อไปว่า “แล้วต่อไปเราควรทำอย่างไรต่อเจ้าคะ”
“รอ” เฟิ่งเทียนหัวเราะ เขาไม่เชื่อหรอก ว่าคนที่ถูกดูดเข้าไปนั้นจะไม่กลับออกมาอีกเลย
…
เจียงหลีที่ยืนอยู่หน้ากระจกเมื่อเห็นภาพนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา นางมิได้สนใจนัก แน่นอนว่าที่นางได้นำทุกคนเข้ามาหมดนั้น มิได้เพียงแค่อยากจะทำให้เฟิ่งเทียนและเขาเฟิ่งอู่ซานอับอายแค่นั้น แต่ที่สำคัญคือแผนการที่เฟิ่งเทียนได้วางไว้ก่อนหน้านั้นต่างหาก
ถึงขนาดกล้าระดมคนจากเขาเฟิ่งอู่ซานมาเชียว อยากครอบครองทุกอย่างภายในคราวเดียวรึ คิดจริงๆ หรือว่าซีฮวงนี้เขาเฟิ่งอู่ซานใหญ่กว่าใคร เจียงหลีหันหลังและหัวเราะ
หลังจากที่เจียงหลีหันหลังไปนั้น กระจกที่สามารถมองทะลุได้ก็หายไปด้วยเช่นกัน
เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย กงเสวี่ยฮวาเคยพูดไว้ ซากกำแพงแตกหักนี้มีความเกี่ยวข้องกับกลองศิลาจารึก แต่ว่าตั้งแต่ที่นางเข้ามา กลับไม่มีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับกลองศิลาจารึกเลยสักนิด
“กลองศิลาจารึก…” เจียงหลีพึมพำ
ทันใดนั้นเอง นางก็รู้สึกว่าใต้เท้าของนางว่างเปล่า และตกลงไปด้านล่างทั้งตัว
นางมิได้รู้สึกตกใจ แต่กลับมองซ้ายแลขวา มีภาพต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในหัวของนาง ภาพเหล่านี้…ดูเหมือนเป็นความทรงจำในกำแพงอวิ๋นเมิ่ง
ภาพเหล่านั้น กำแพงอวิ๋นเมิ่งมิได้เป็นเหมือนที่นางเห็นตอนนี้ในตอนแรก มันไม่ใช่ซากกำแพงแตกหัก แต่เป็นภูเขาสูงตระหง่านทั้งลูก
ภูเขาที่ไม่เหมือนภูเขาลูกอื่น หากจะพูดถึงความแตกต่างแล้วนั้น มันดูสูงและสง่ากว่าภูเขาลูกอื่น
มีพืชสีเขียวขจี สายหมอกล้อมรอบ และมีบุปผาหลากหลายสายพันธุ์นับไม่ถ้วนอยู่บนภูเขา ซึ่งเหมาะกับชื่อ ‘อวิ๋นเมิ่ง’ …ม่านหมอกนิมิตนี้ยิ่งนัก
อยู่มาวันหนึ่ง ท้องฟ้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน จากท้องฟ้าที่สดใสกลายเป็นมืดครึ้ม แสงสว่างก็ถูกปิดบังไปหมด และมีรอยแตกมากมายเกิดขึ้นบนท้องฟ้า
เสียงขนาดมหึมาดังออกมา!
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยรอยแตกเกิดรูออกมาอย่างกะทันหัน มีแสงสว่างจ้าตกลงมาจากรูนั่นอย่างรวดเร็ว และมีเปลวไฟอยู่ด้านหลัง ไฟนั่นยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ทำให้พื้นดินลุกเต็มไปด้วยไฟ
และไฟนั่นก็ระเบิดขึ้นท่ามกลางอากาศ แยกออกเป็นเก้าเสี่ยงและพุ่งไปยังคนละทิศทาง
หนึ่งในนั้น ก็พุ่งมายังเขาอวิ๋นเมิ่ง
ในภาพนั้น เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองไฟที่พุ่งมาจากบนฟ้าแทนเขาอวิ๋นเมิ่งอย่างไรอย่างนั้น และดูเหมือนนางจะเห็นก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่งอยู่ในกองไฟ……
กลองศิลาจารึก! เจียงหลีตกตะลึง
ภาพเกิดขึ้นไวมาก นางไม่ทันเห็นอักษรคล้ายงูไฟกำลังเลื้อยสลักอยู่บนกลองศิลาจารึกนั่น
มีจริงด้วย!
เจียงหลีใจเต้น
กลองศิลาจารึกยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว เจียงหลียืนอยู่ในมุมมองของเขาอวิ๋นเมิ่ง เห็นกลองศิลาจารึกที่พุ่งเข้ามาทาง ‘ตัวเอง’ นางสัมผัสได้ถึงแรงกดดันสูงจากกลองนั่น
เป็นพลังที่น่ากลัวเสียจริง! เจียงหลีตกใจ
ดูเหมือนว่า เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพลังที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องเกรงกลัวพลังที่ไม่สามารถต้านทานนี้ได้
ตู้ม!
ในที่สุดกลองศิลาจารึกก็กระแทกเข้ากับเขาอวิ๋นเมิ่งแล้ว และเมื่อเปลวไฟลุกลามมันก็ผ่าเขาอวิ๋นเมิ่งออกเป็นสองซีก หนึ่งในนั้นต้านทานพลังนั้นไม่ไหว กลายเป็นหินธรรมดานับไม่ถ้วนตกลงไป กับอีกซีกหนึ่งที่ไม่แตกสลาย ก็กลายเป็นแท่นในทุกวันนี้
ในขณะที่เขาอวิ๋นเมิ่งถูกแยกออกนั้น เดิมเป็นพื้นผิวที่หยาบกระด้าง แต่เพราะถูกไฟลุกลามกลองศิลาจารึกมันเลยใสดุจแก้วใส
กลองศิลาจารึกมิได้หยุดแค่นี้ แต่กลับใช้เขาอวิ๋นเมิ่งเป็นกระดานโดดน้ำ แล้วโดดขึ้นไปในอากาศอีกครั้งแล้วตกลงมายังที่ไหนสักแห่ง
ตู้มๆๆๆๆๆๆๆๆ!
ในภาพสุดท้าย เจียงหลีได้ยินเสียงดังออกมาเก้าเสียง ไฟบนท้องฟ้าก็หายไป หลังจากที่พื้นดินเริ่มมีเสียงดังขึ้น ก็เริ่มสั่นไหวทันที
เมื่อนึกถึงตำนานที่นางเคยได้ยินมาเกี่ยวกับกลองกลองศิลาจารึกนี้ นางก็เริ่มเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
!
เจียงหลีเดินสะดุด และหลุดจากความทรงจำของเขาอวิ๋นเมิ่ง
เมื่อยืนอยู่บนพื้นแข็งแล้ว นางก็ยังคงรู้สึกว่าใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งอยู่ กลองหินมีอยู่จริงๆ กลองศิลาจารึกทำให้ต้าฮวงแบ่งออกเป็นเก้าแคว้นดินแดน และที่กลายเป็นจิ่วฮวงในทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
ถ้าเช่นนี้แล้ว กฎสูงสุดที่สลักไว้บนกลองศิลาจารึกตามที่ตำนานเล่าไว้มีอยู่จริงหรือไม่
หลังจากที่สะสมกลองศิลาจารึกได้ครบแล้ว และเข้าใจในกฎสูงสุดนี้แล้ว จะสามารถทะลุมิติและไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งได้จริงหรือ
คำถามปรากฏขึ้นในหัวเจียงหลีเรื่อยๆ เจียงหลีรู้สึกว่าตัวเองนั้นรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้น้อยเกินไปจริงๆ
แม้กระทั่งตอนนี้ นางก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงได้เข้าไปในกำแพงอวิ๋นเมิ่งได้ และเหตุใดถึงได้มีความรู้สึกเช่นนี้ ดูเหมือน ทุกสิ่งที่นางต้องการล้วนจะปรากฏอยู่ตรงหน้านางทั้งหมด
นอกกำแพงอวิ๋นเมิ่ง บนต้นไม้ที่เป็นพุ่มสีเขียวชอุ่มโบราณที่ไหนสักแห่ง มีสัตว์ขนยาวนั่งอยู่ ดวงตาสีใสของมันมองไปยังทางกำแพงอวิ๋นเมิ่ง เงียบไม่พูดอะไร ขอแค่หลีเอ๋อร์ของเขา มีความสุขก็พอแล้ว
…
บนแท่นของกำแพงอวิ๋นเมิ่ง ห่างจากวันที่คนอื่นถูกดูดเข้าไปแล้วเป็นเวลาหนึ่งวัน
เฟิ่งเทียนหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่จ้องมองกำแพงอวิ๋นเมิ่งนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ
ทันใดนั้นเอง เงาบนกำแพงแตกหักที่ราวกับกระจกนั้นก็สั่นไหว มีคนคนหนึ่งเหมือนถูกผลักออกมา และยืนอย่างไม่มั่นคง
คนที่ปรากฏออกมา ทำให้เหล่าลูกศิษย์จากเขาเฟิ่งอู่ซานตาเบิกกว้าง
ในระยะเวลาไล่เลี่ย มีคนถูกผลักออกมาจากกำแพงเยอะขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความระลึกถึงและความเสียดาย
ผู้คนเหล่านั้นที่ถูกดูดเข้าไปก็ค่อยๆ ถูกผลักออกมายังแท่นเหมือนเดิม
คนที่ออกมาคนสุดท้ายคือมู่ชิงเหยียนและกงเสวี่ยฮวา
มู่ชิงเหยียนยังไม่ทันยืนนิ่ง ก็มีฝ่ามือที่ผสมกับพลังวิญญาณก็ตบลงตรงแก้มของนาง “มู่ชิงเหยียนเจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!”
!
แต่ฝ่ามือนั้นก็หยุดอย่างกะทันหัน
มือของเฟิ่งเซียนไม่สามารถขยับได้ และหันไปมองผู้หญิงที่เดินออกจากกำแพงอย่างตกใจ
“เจ้ากล้าแตะต้องนางก็ลองดู!” คำพูดที่เฉียบขาดออกจากปากของนาง