ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 66 ชื่อเสียงเลื่องลือ
ท่ามกลางท้องฟ้า เจียงหลีถูกล้อมรอบไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ไม่รับรู้ถึงวันเวลาที่ผ่านเลยไปสักนิด
“ต้องน้อยกว่านี้อีกหน่อย!” เจียงหลีพูดเบาๆ
ในดวงตาที่สดใสคู่นั้น ดวงดาวที่พร่างพราวลดน้อยลง
ที่จริงแล้วทักษะเหล่านี้ในตอนนี้ก็ลดน้อยลงมากแล้วจากจำนวนที่เยอะมากในตอนแรก
แต่ว่าเจียงหลียังคิดว่ามันมากเกินไปอยู่
จนดวงดาวแห่งทักษะเหลือเพียงสามดวง นางถึงหยุดลง
ดวงดาวแห่งทักษะทั้งสามดวงนั้นสลับกันปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าเจียงหลีอย่างต่อเนื่อง และล้วนแต่เป็นทักษะการต่อสู้ที่ทรงพลังเอามากๆ
“โลภไปก็ไม่ดี แทนที่จะฝึกฝนวิชาทั้งหมด ยังสู้ฝึกฝนแค่วิชาเดียวไปเลยเสียดีกว่า” เจียงหลีถกชุดขึ้น แล้วนั่งสมาธิอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว หลังจากที่นางพูดจบ ดวงดาวแห่งทักษะสองดวงสลายไปอีกครั้งในดวงตาของนาง และกลายเป็นแสงดาราเลือนลาง ตอนนี้เหลือเพียงดวงเดียวที่ชัดเจนมาก เป็นดวงดาวแห่งทักษะที่งดงามที่สุด แล้วยังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องอยู่ตรงหน้านาง
“ฝ่ามือพลังปีศาจ!” เจียงหลีค่อยๆ พูดชื่อของทักษะการต่อสู้นี้ออกมา
ในตอนที่นางได้รู้ว่าทักษะการต่อสู้นี้มีชื่อเรียกว่าอะไร หมู่ดาวรอบๆ ตัวนางก็เริ่มสลายไป แผนที่ดาราเทพสงครามก็สลายไป ที่ปรากฏขึ้นมาแทนมีเพียงดวงดาวแห่งทักษะ
ในความว่างเปล่า ดวงดาวแห่งทักษะดวงนั้นก็ปรากฏอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของเจียงหลีก็ยิ่งสว่างขึ้น
“เป็นทักษะการต่อสู้ที่ทรงพลังมาก!” เจียงหลีพูดด้วยความดีใจ
ในระหว่างที่นางกำลังจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนวิชาฝ่ามือพลังปีศาจ ตัวของนางก็เริ่มปลดปล่อยรังสีของปีศาจออกมา รังสีของปีศาจทำให้ใบหน้าที่เดิมก็งดงามอยู่แล้วยิ่งงดงามมากขึ้นไปอีก นางเหมือนดั่งกับปีศาจสาวพราวเสน่ห์และเต็มไปด้วยความดุร้าย
ในดวงตาที่สดใสเหมือนดั่งสีกุหลาบที่งดงาม รังสีปีศาจยิ่งมากเท่าไร ใบหน้าอันงดงามของเจียงหลีก็ยิ่งเผยความงามที่ดึงดูดผู้คนมากเท่านั้น
ดวงดาวแห่งทักษะส่งผลต่อพลังวิญญาณในร่างกายของเจียงหลี ทำให้นางรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณในร่างกายของตัวเองเกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก พลังวิญญาณที่บริสุทธิ์เริ่มเปลี่ยนเป็นรังสีของปีศาจ รังสีปีศาจที่เต็มเปี่ยมระเบิดออกมาจากในร่างกายของนาง และอยู่รอบๆ ตัวนาง ทำให้ผมของนางถูกพัดจนพลิ้วไหว
รังสีปีศาจที่น่ากลัวเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง และมีกลิ่นอายที่ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง ดวงตาของเจียงหลีเริ่มกลายเป็นปีศาจ เยือกเย็นจนถึงขีดสุด
ดวงตาสีดำสนิทกลายเป็นสีกุหลาบ กลางดวงตาเปล่งแสงสีทองออกมา
ทันใดนั้นเนตรญาณด้านหลังของเจียงหลีก็ถูกเปิดออก ไม่ได้เป็นแสงสีทองเหลืองอร่าม แต่เป็นเนตรญาณสีเทาที่เกิดมาจากสายเลือดของนางเมื่อชาติก่อนที่หลับใหลมาโดยตลอด
เนตรญาณดวงที่สิบ!
วิญญาณยุทธ์ที่อยู่ในเนตรญาณนี้ก็คืออสรพิษบำเพ็ญ สายเลือดผสมระหว่างเทพและปีศาจของนางเมื่อชาติก่อน
ฝ่ามือพลังปีศาจ สายเลือดเทพปีศาจ…….
เหมือนว่าทั้งสองอย่างถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงอย่างไรอย่างนั้น อสรพิษบำเพ็ญที่หลับใหลอยู่ในเนตรญาณมาตลอด คิดไม่ถึงว่าเหมือนจะตื่นขึ้นแล้ว
แสงสีทองของอสรพิษบำเพ็ญสาดลงบนตัวของเจียงหลี ด้านล่างตัวนางปรากฏหางของอสรพิษเข้ามาแทนที่ขาทั้งสองข้างของนาง ดูเหมือนกับเป็นธาตุแท้ของนาง
ใบหน้าที่งดงามของเจียงหลียังคงสงบนิ่ง
นางผสานนิ้วทั้งสิบนิ้วของนางออกมาเป็นยันต์ที่ซับซ้อน ในยันต์นั้นดวงดาวปีศาจเปล่งแสงสีแดงออกมา ในดวงดาวปีศาจนั้นดูเหมือนจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งซ่อนอยู่ เมื่อมันระเบิดออกมา มันจะนำมาซึ่งผลของการทำลายล้างโลก
“ฝ่ามือพลังปีศาจ” เจียงหลีตะโกน พลังในมือของนางพุ่งไปยังสถานที่ใดสักที่หนึ่งในหมู่ดาว
พลังปีศาจที่น่ากลัวมีแสงสีแดงเลือดระเบิดออกมาจากตัวนาง แล้วพุ่งไปยังทิศทางที่นางเลือกอย่างรวดเร็ว
ตู้มมม!
ดวงดาวที่ถูกฝ่ามือพลังปีศาจโจมตี ถูกแสงสีแดงห่อหุ้มไว้ แล้วระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ และหายวับไปในหมู่ดาว
ในดวงตาที่งดงามของเจียงหลีเผยความตกใจออกมา
พลังปีศาจสลายไปจากตัวนางอย่างรวดเร็ว กลับคืนเป็นพลังวิญญาณ ตอนนี้พลังวิญญาณของนางเหลือเพียงแค่น้อยนิด ร่างกายมีความรู้สึกเหนื่อยล้า
หางอสรพิษมายาและเนตรญาณอสรพิษบำเพ็ญก็สลายหายไปพร้อมๆ กัน เจียงหลีร่วงลงมาอีกครั้ง ไร้เรี่ยวแรงไปหมด
“นี่คือการแสดงอิทธิฤทธิ์สูงสุดของฝ่ามือพลังปีศาจหรือ พลังอำนาจแบบนี้ ไม่ใช่พลังที่หาได้ยากหรอกหรือ หรือว่าจะเป็น…ทักษะในตำนาน!” เจียงหลีพูดกับตัวเองด้วยความตะลึง
ฝ่ามือพลังปีศาจเป็นพลังที่แข็งแกร่งมาก แต่ว่าก็กินพลังของนางไปมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน ตอนนี้ในแผนที่ดาราเทพสงคราม เจียงหลีได้เห็นพลังอำนาจสูงสุดของฝ่ามือพลังปีศาจแล้ว แต่นางก็รู้อยู่แก่ใจว่าพอออกไปข้างนอก ท่ามกลางการต่อสู้จริงๆ ด้วยระดับพลังของนางในตอนนี้ คงจะใช้พลังอำนาจของฝ่ามือพลังปีศาจได้เพียงแค่หนึ่งห้าเท่านั้น
“แค่หนึ่งในห้าก็พอแล้ว!” เจียงหลีแววตาเปล่งประกาย ปกปิดความตื่นเต้น
ทักษะการต่อสู้ระดับตำนาน หวังได้แต่ไม่สามารถครอบครองได้ แต่ตอนนี้นางฝึกฝนได้สำเร็จ นอกจากนี้นางยังบังเอิญค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างฝ่ามือพลังปีศาจและสายเลือดอสรพิษบำเพ็ญของนาง เรื่องประหลาดใจนี้ช่างน่าตกใจจริงๆ
…
ด้านนอกหอดูดาว กงเสวี่ยฮวาถอนหายใจแรง แล้วพูดเสียงเบาว่า “สองเดือนเจ็ดวันแล้วนะ! นางคงเป็นปีศาจจริงๆ ถึงฝึกฝนได้นานขนาดนี้”
มู่ชิงเหยียนยิ้มหยอกล้อ “เช่นนั้นก็คงทำลายสถิติของพวกเจ้าวังเทียนอู่กงแล้วใช่หรือไม่”
กงเสวี่ยฮวาพยักหน้าเพื่อเป็นการยืนยัน
ตู้มมม!
ทันใดนั้น แสงแวววาวก็พุ่งจากโดมของหอดูดาวขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เกิดอะไรขึ้น”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ทำไมหอดูดาวตรงโน้นถึงได้มีแสงทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่ตั้งนาน ไม่สลายหายไป”
“ข้าอยู่วังเทียนอู่กงมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย!”
“อย่าว่าแต่เจ้าเลย ข้าอยู่มาห้าสิบปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“หรือว่าเป็นนางที่เก่งกาจคนนั้นได้รับทักษะการต่อสู้ที่ทรงพลังมาก”
“ไปดูกันเถอะ จะได้รู้”
“…”
ความเคลื่อนไหวของหอดูดาวได้ทำลายความเงียบสงบของวังเทียนอู่กงลง เกือบจะในขณะเดียวกัน คนในวังเทียนอู่กงล้วนแต่ตกใจ ต่างพากันมารวมอยู่ที่หอดูดาว
แม้แต่กงฉิงและภรรยาก็เดินออกมาจากตำหนักในส่วนเทียนจื้อ แล้วมองไปยังลำแสงตรงดิ่งที่พุ่งขึ้นฟ้าบนหอดูดาว
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน” ภรรยาถามสามีที่อยู่ข้างๆ ด้วยความประหลาดใจ
กงฉิงแววตาเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับผ่อนคลาย เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถึงพูดอย่างช้าๆ ว่า “ดูเหมือนว่าจะมีทักษะการต่อสู้ในตำนานถือกำเนิดขึ้น”
“อะไรนะ ทักษะการต่อสู้ในตำนาน!” ภรรยาแปลกใจ “ในตำนานนับพันปี มีเพียงแค่บรรพบุรุษของวังเทียนอู่กงที่ได้รับทักษะการต่อสู้ในตำนาน หรือว่าวันนี้จะมีคนทำได้เหมือนกัน”
กงฉิงเผยรอยยิ้มออกมา พยักหน้าแล้วพูดว่า “สถิติก็ต้องถูกคนทำลาย นี่ถือเป็นเรื่องดี”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พรสวรรค์ของคนๆ นั้นต้องก้าวข้ามความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบันไปได้อย่างแน่นอน! เรียกได้ว่าเป็นเทียนเจียวที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุคเลยก็ว่าได้!” ภรรยาก็พูดด้วยความตื่นเต้น
รอยยิ้มบนใบหน้าที่หล่อเหลาของกงฉิงกว้างขึ้น “ใช่แล้ว! วังเทียนอู่กงของเรามีเทียนเจียวระดับนี้ ก็ถือได้ว่าวังเทียนอู่กงของเรายังมีโชคอยู่ อำนาจไม่มีทางสั่นคลอน!”
“ก็ไม่แน่เสมอไป” ภรรยากลับยิ้มออกมาอย่างคลุมเครือ
“หืม” กงฉิงมองภรรยาของตนอย่างไม่เข้าใจ
ภรรยาพูดเตือนว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าในหอดูดาวยังมีเพื่อนของฮวาฮวาคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ออกมา”
กงฉิงนิ่งไป นึกวันเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่กงเสวี่ยฮวาเข้าไป นี่ก็สองเดือนกว่าแล้ว
ตอนนี้ลูกศิษย์ของวังเทียนอู่กงในแต่ละส่วนก็ได้รวมตัวกันอยู่ที่ด้านนอกหอดูดาวแล้ว อยู่ห่างจากสะพานระยะหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองไปยังลำแสงบนยอดโดม พวกเขาต่างพูดคุยปรึกษากัน
แท้จริงแล้วคือใครกัน…
ทันใดนั้น บนแผ่นศิลาจารึกขนาดใหญ่ที่สูงสิบจั้งด้านนอกหอดูดาวก็ปรากฏชื่อๆ หนึ่งขึ้นมาอยู่ด้านบนสุด…
ชื่อนั้นก็คือ เจียงหลี!