ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 67 หืม ขอท้าเจียงหลีอย่างนั้นหรือ
เจียงหลี?
“เจียงหลีคือใครกัน มาจากส่วนไหน”
“ไม่รู้จัก! เป็นชื่อที่ไม่คุ้นเลย”
“หรือว่าเป็นลูกศิษย์ใหม่”
“ลูกศิษย์ใหม่เก่งกาจขนาดนี้เชียวรึ เกินไปไหม”
“ไม่เลวๆ! เพิ่งมาใหม่ก็ทำลายสถิติได้แล้ว เป็นคนที่เก่งกว่าองค์ชายน้อยกงและมู่เหยี่ยนฉือจริงๆ!”
“…”
หลังจากที่บนแผ่นศิลาจารึกขนาดใหญ่มีชื่อของเจียงหลีปรากฏขึ้น ลูกศิษย์นับแสนคนในวังเทียนอู่กงต่างพากันพูดถึงชื่อนี้
ชื่อที่ไม่คุ้นชื่อนี้ ทำให้พวกเขาประหลาดใจและอยากรู้เป็นอย่างมาก
ท่ามกลางผู้คนที่สนทนากันไปต่างๆ นาๆ และชื่อของเจียงหลีก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วพร้อมกับการสนทนาเหล่านี้
“ฮ่าๆๆๆ! เจียงหลี! เป็นนางจริงๆ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าพรสวรรค์ของนางไม่ธรรมดา สายตาของข้านี่ยังดีเหมือนเดิมเลย!” กงเสวี่ยฮวาหัวเราะลั่นด้วยความดีใจ
เหมือนว่าชื่อที่อยู่ด้านบนสุดของแผ่นศิลาจารึกขนาดใหญ่นั้นเป็นชื่อของเขาอย่างไรอย่างนั้น
มู่ชิงเหยียนเงยหน้ามองไปยังชื่อที่อยู่ด้านบนสุด ยิ้มออกมาแล้วดีใจกับเจียงหลีอย่างจริงใจ
ในขณะเดียวกันคนหนานฮวงสามารถมีชื่อเสียงในซีฮวงได้ นางมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ดีใจกับเจียงหลีเล่า
“เก่งมาก! ตอนนี้ข้าอดใจไม่ไหวแล้ว อยากรู้ว่าทักษะการต่อสู้ที่ทรงพลังที่เจียงหลีได้รับมาแท้จริงแล้วคือทักษะอะไรกันแน่ ครู่เดียวถึงได้พุ่งไปอยู่ที่หนึ่ง!” กงเสวี่ยฮวาพูดด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดที่หอดูดาวต้องมีความเกี่ยวข้องกับชื่ออันดับหนึ่งบนแผ่นศิลาจารึกนั้น!
ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจของคนมากมาย
พวกเขาไม่ได้จากไปไหน แต่ยังคงรออยู่ที่นั่นต่อ อยากจะเห็นคนที่ได้ที่หนึ่งด้วยตาของตัวเองว่าแท้จริงแล้วคือใคร มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
“เจียงหลีรึ คือเพื่อนที่ฮวาฮวาพามาใช่หรือไม่” ด้วยสายตาของกงฉิง เป็นธรรมดาที่จะสามารถมองเห็นชื่อที่อยู่บนแผ่นศิลาจารึกได้ง่ายๆ
ภรรยายิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “ไม่เลว เป็นชื่อของหนึ่งในเด็กสองคนนั้น”
“อีกครู่ ข้าจะไปพบนางด้วยตัวเอง” กงฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม
ภรรยาพูดเตือนขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ท่านพี่ต้องระวังคำพูดด้วย อย่าทำให้เด็กคนนั้นตกใจ”
กงฉิงหัวเราะลั่น “คนที่มีพรสวรรค์ระดับนี้ จะตกใจง่ายๆ อย่างนั้นเลยหรือ”
ณ สถานที่หนึ่งในวังเทียนอู่กง ชายร่างสูงใหญ่รูปงามที่มีความแข็งแกร่งเพิ่งจะเดินลงมาจากเวทีประลอง ก็เห็นลำแสงที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าจากหอดูดาว
เขาเดินไปยังหอดูดาวอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
เพียงแต่เขายังเดินไปไม่ถึง เขาก็ได้ยินศิษย์ร่วมสำนักพูดถึงชื่อหนึ่งขึ้นมา
“เจียงหลีหรือ” เขาหยุดเดิน พูดชื่อนี้ขึ้นมารอบหนึ่ง แล้วทันใดนั้นเขาก็หันตัวกลับเดินไปยังเวทีประลอง
ในหอดูดาว แสงดาวดับลง เจียงหลีค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
ความงดงามของปีศาจได้จากหายไปจากดวงตาของนาง
เพียงแต่พอนางเพิ่งจะลืมตาขึ้น ก็ถึงกับตะลึง ผู้คนมากมายที่อยู่รอบๆ จ้องมองนาง สายตาที่สนิทสนมแปลกๆ นี่มันอะไรกัน
ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมา เจียงหลีค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า
ไม่รู้ว่านั่งสมาธิไปนานเท่าไหร่ แต่รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว
แต่ทว่าในระหว่างที่นางเคลื่อนไหว คนเหล่านี้ก็ยังจ้องนางไม่ละสายตา เหมือนว่ากำลังจ้องมองของพิสดารล้ำค่าอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เป็นบ้ากันรึไง! ต่อให้ข้าสวยกว่านี้ ก็มาจ้องกันแบบนี้ไม่ได้นะ! เจียงหลีก่นด่าในใจ แล้วรีบออกไปจากหอดูดาวที่แปลกประหลาดนี่
แต่ว่าในขณะที่นางเดินออกมาจากหอดูดาว กลับถูกสถานการณ์ข้างนอกทำให้ตกใจ “เกิดอะไรขึ้น” นางเห็นเหล่าลูกศิษย์ของวังเทียนอู่กงจำนวนมากล้อมรอบอยู่ที่ยอดเขา
“เจียงหลี!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อนาง ทำให้เจียงหลีเดินไปหาพวกเขาด้วยหลายความรู้สึกที่ผสมปนเป
“เกิดอะไรขึ้น” เจียงหลีเดินไปหากงเสวี่ยฮวาและมู่ชิงเหยียนแล้วถามพวกเขา
กงเสวี่ยฮวายิ้มอย่างเจิดจ้า แล้วเงยหน้าขึ้น ชี้ไปยังแผ่นศิลาจารึก “เจ้าดูเอาเอง”
เจียงหลีหันหน้าแล้วมองไปก็เห็นชื่อของตัวเองทันที มุมปากกระตุกอย่างแรง นางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้จริงๆ
“พวกเขามาดูเจ้ากันทั้งนั้น” มู่ชิงเหยียนพูดกระซิบ
เหอะๆ!
เจียงหลีพูดไม่ออกทันที แล้วถามเบาๆ ว่า “ข้าอยู่ข้างในนานแค่ไหน”
“สองเดือนเจ็ดวัน” มู่ชิงเหยียนตอบตามความเป็นจริง
“นานขนาดนั้นเชียว!” เจียงหลีประหลาดใจ ทันใดนั้นก็นึกถึงเจ้าเปี๊ยกที่ตัวเองทิ้งไว้ในห้อง “เจ้าเปี๊ยกมัน”
“หลังจากที่ข้าออกมา ก็กลับไปดูมันแล้ว มันนอนหลับตลอด” มู่ชิงเหยียนรีบพูด
เจียงหลีถึงได้โล่งอก แล้ววางใจ
“ฮวาฮวา พาเจียงหลีเพื่อนของเจ้าไปที่ตำหนัก” ทันใดนั้น เสียงที่น่าเกรงขามก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ
ลูกศิษย์วังเทียนอู่กงแต่ละส่วนได้ยินเสียงนี้ ก็ต่างพากันก้มหน้าลง แล้วแสดงความเคารพ
เจียงหลีมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยความสงสัย
กงเสวี่ยฮวายิ้มอย่างเก้อเขิน แล้วอธิบายกับเจียงหลีว่า “ท่านพ่อข้าเอง ดูแล้วเรื่องที่เจ้าทำไว้ ก็ทำให้เขาตกใจเช่นกัน”
ที่แท้ก็คือผู้เจ้าของวังเทียนอู่กง!
เจียงหลีเข้าใจแล้ว
“ไปกันเถอะ ท่านพ่อข้าอยากพบเจ้า เจ้าไปกับข้าหน่อย แล้วก็ถือโอกาสบันทึกทักษะที่ได้มาด้วย” กงเสวี่ย ฮวาพูดกับเจียงหลีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ได้” เจียงหลีทำตามที่เขาบอก
จนถึงตอนนี้ วังเทียนอู่กงได้สร้างความประทับใจให้กับนางอย่างมาก นางไม่จำเป็นต้องยิ่งผยองอวดดี
“เช่นนั้นข้ากลับไปรอเจ้าก็แล้วกัน” มู่ชิงเหยียนเอ่ยพูดอย่างยิ้มแย้ม นางช่างรู้งานเสียจริง ที่ๆ ไม่ควรไปด้วย นางก็ไม่ไป
เจียงหลีพยักหน้า
กงเสวี่ยฮวากลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่ต้องกลับไปรอหรอก น่าเบื่อจะตาย เดี๋ยวข้าให้คนพาเจ้าเดินชมวังเทียนอู่กง พวกเจ้ายังมีอีกหลายที่ๆ ยังไม่ได้ไป”
มู่ชิงเหยียนมองเจียงหลี เหมือนว่ารอให้นางตัดสินใจ
เจียงหลีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้”
กงเสวี่ยฮวายิ้ม แล้วก็จัดการตามที่บอก
หลังจากนั้น เขาถึงจะพาเจียงหลีขี่นกกระเรียนเทพของวังเทียนอู่กงไปยังตำหนักในส่วนเทียนจื้อ
หลังจากที่ทั้งสองจากไป ลูกศิษย์ของวังเทียนอู่กงในแต่ละส่วนถึงได้เงยหน้ามองส่งด้วยสายตา แล้วต่างพูดคุยกัน
“นี่คือเจียงหลีเองหรือ”
“นางเหมือนไม่ใช่คนของวังเทียนอู่กงเลย”
“ดูจากชุดของนางก็รู้แล้ว นั่นไม่ใช่ชุดของลูกศิษย์วังเรา”
“นึกไม่ถึงเลย นางไม่เพียงมีพรสวรรค์ที่เก่งกาจ ยังงดงามมากขนาดนี้”
“ใช่แล้ว ข้าเคยพบเหล่าเทพธิดาของหอฉยงเซียน ก็รู้สึกว่าพวกนางเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้าแล้ว แต่ว่าวันนี้ พอได้เจอเจียงหลี ถึงได้รู้สึกว่า…”
“ต่างกันราวฟ้ากับดิน!”
“พูดถึงหอฉยงเซียน ความงามของพวกนางถูกขนานนามว่างามเป็นอันดับหนึ่งในซีฮวง แต่คนที่เคยเจอนางกลับไม่เยอะ ไม่รู้ว่าจะเทียบกับเจียงหลีอย่างไร”
“ฮ่าๆๆ ศึกสาวงามควรค่าแก่การรอคอย!”
“…”
หลังจากที่เจอเจียงหลี หัวข้อสนทนาของเหล่าลูกศิษย์เทียนอู่กงค่อยๆ เปลี่ยนไป จากเรื่องพรสวรรค์ของนางไปเป็นเรื่องความงามของนาง
ถึงขนาดยกหอฉยงเซียนที่เป็นหนึ่งในเจ็ดกลุ่มอำนาจระดับสูงมาพูด
เป็นธรรมดาที่เจียงหลีจะไม่มีทางรู้การพูดคุยกันเหล่านี้ ถึงแม้นางจะรู้เข้า แต่ด้วยนิสัยของนางก็คงจะไม่ได้สนใจอะไร
เพียงแต่ในขณะที่นางและกงเสวี่ยฮวาก้าวเข้าสู่ตำหนักในส่วนเทียนจื้อ เสียงๆ หนึ่งจากไกลๆ ก็ดังใกล้ๆ อีกครั้ง ดังก้องไปทั่วท้องฟ้าของวังเทียนอู่กง
“มู่เหยี่ยนฉือขอท้าเจียงหลี เจียงหลีจะรับคำท้าหรือไม่”