ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 68 การต่อสู้ระหว่างปีศาจ
“มู่เหยี่ยนฉือขอท้าเจียงหลี เจียงหลีจะรับคำท้าหรือไม่”
คำพูดนี้ดังก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้าของวังเทียนอู่กง
มู่ชิงเหยียนที่วางแผนจะไปเดินชมวัง หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็ดูตื่นตระหนกตกใจขึ้นมา นางพูดกับลูกศิษย์ที่เดินนำทางนางว่า “เร็ว รีบพาข้าไปที่เวทีประลอง”
หลังจากที่ลูกศิษย์ของวังเทียนอู่กงคนอื่นๆ ได้ยินก็อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วเกิดความสนใจขึ้นมา
“มู่เหยี่ยนฉือคงนั่งไม่ติด อยากจะท้าสู้กับเจียงหลีรึ”
“ดูแล้วคงเป็นเพราะเจียงหลีทำลายสถิติลง ทำให้มู่เหยี่ยนฉือคนที่คลั่งไคล้การต่อสู้นั่นโมโหหรือ”
“ไม่ว่าจะเพราะอะไร อย่างไรพวกเราก็มีเรื่องสนุกๆ ให้ดู นี่คงเป็นการปะทะกันระหว่างปีศาจกับปีศาจ!”
“อืม เจียงหลีมีพรสวรรค์มาก แล้วยังรูปงามอีก ไม่รู้ว่าฝีมือการต่อสู้เป็นอย่างไรบ้าง”
“เจอกับคนสวยแบบนี้ ข้าทำไม่ลงหรอก ยอมตายด้วยมือของนางดีกว่าต้องทำร้ายนาง”
“น่าเสียดายที่มู่เหยี่ยนฉือไม่ใช่เจ้า ในหัวของเจ้านั่นมีแต่การต่อสู้ เป็นคนที่คลั่งไคล้การต่อสู้อย่างสมบูรณ์แบบ ต่อให้สวยกว่านี้ ในสายตาของเขาก็เป็นแค่โครงกระดูกสีชมพู”
“ไปๆๆ พวกเรารีบไปจับจองที่นั่งกันเถอะ!”
“รีบทำไม เจียงหลียังไม่รับคำท้ามิใช่หรือ”
“…”
ณ ตำหนักเทียนจื้อ เจียงหลีหยุดเดินแล้วหันมามองเสียงท้าสู้ที่ดังขึ้นไม่หยุดจากด้านนอก
กงเสวี่ยฮวากัดฟันพูด “มู่เหยี่ยนฉือนี่รีบร้อนจริงๆ!” ทันทีหลังจากนั้นเขาก็หันมามองเจียงหลี “เจียงหลี เจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์วังเทียนอู่กงของข้า ไม่ต้องสนใจคำท้าของเขาก็ได้”
“ข้ารับคำท้า” เจียงหลีพูดอย่างเย็นชา
“ฮะ?” หงเสวี่ยฮวาอึ้งไป มองนางด้วยความตะลึง
เจียงหลีมองเขาแล้วเลิกคิ้ว
กงเสวี่ยฮวาทำอะไรไม่ได้จึงยิ้ม “เจ้าคิดดีแล้วหรือ เจ้าเพิ่งจะเป็นที่สนใจในวังเทียนอู่กงของข้า ถ้าหากว่าแพ้เขา จะขายหน้าเอานะ”
เจียงหลีกลับไม่คิดเช่นนั้น “ทักษะการต่อสู้ที่เพิ่งได้เรียนรู้มากำลังต้องการคนมาทดสอบอยู่พอดี”
“…” กงเสวี่ยฮวาถูกคำพูดของนางทำให้พูดไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมของนางรึเปล่าที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น เขาหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาแล้วลากไปบนฟ้า
ทันใดนั้นควันสีแดงก็พุ่งไปบนฟ้าแล้วค่อยๆ จางหายไป
“นี่คือการตอบรับคำท้า ถ้าหากไม่รับคำท้า ก็จะปล่อยควันสีเขียว” กงเสวี่ยฮวาพูดอธิบาย
เจียงหลีพยักหน้า แล้วหันหน้าหนีอย่างไม่สนใจ “ไปกันเถอะ ไปพบเจ้าของวังก่อน”
“รับคำท้าแล้ว! รับคำท้าแล้ว! เจียงหลีรับคำท้าแล้ว!”
“เร็วเข้า! รีบไปจองที่นั่ง ไปช้าเดี๋ยวไม่มีที่ดีๆ นั่ง”
“ไปๆๆ!”
ในตอนที่เจียงหลีก้าวเข้าสู่ตำหนัก เหล่าลูกศิษย์ในแต่ละส่วนของวังเทียนอู่กงกลายเป็นลำแสงมุ่งไปยังเวทีการประลอง
ระหว่างทาง มีคนต่อสู้กันอยู่ไม่น้อย
กงเสวี่ยฮวาผลักประตูใหญ่ของตำหนัก แล้วเดินเข้าไปกับเจียงหลี ในตำหนักโล่งมาก ไม่มีใครเลย มีเพียงชายวัยกลางคนรูปงามที่สวมใส่ชุดสีขาวคนนั้นนั่งอยู่
“ท่านพ่อ” กงเสวี่ยฮวาเรียกด้วยความนอบน้อม
กงฉิงพยักหน้า แล้วมองเจียงหลี
สายตาที่จ้องมองมีความกดดัน ทำให้เจียงหลีรู้สึกเหมือนว่าถูกมองจนเห็นถึงกระดูก นางไม่ได้แสดงอะไรออกมา นางทำความเคารพแล้วพูดกับกงฉิงว่า “ข้าน้อยคือเจียงหลี ขอคารวะใต้เท้า”
“ที่นี่ไม่มีคนอื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ในเมื่อเจ้ากับฮวาฮวาเป็นสหายกัน ก็เรียกข้าว่าลุงก็ได้” กงฉิง พูดด้วยใบหน้าอมยิ้ม
“ท่านลุงกง” เจียงหลีเรียกเขาใหม่อย่างจริงใจ
กงฉิงยิ้มกว้างขึ้น เขาพูดว่า “มู่ชิงเหยียนท้าสู้เจ้า แล้วเจ้าก็รับคำท้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าเสียเวลา ข้าขอถามเจ้าเพียงคำถามเดียว ทักษะการต่อสู้ที่เจ้าได้มาจากแผนที่ดาราเทพสงครามใช่วิชาในตำนานหรือไม่”
“วิชาในตำนานหรือ” กงเสวี่ยฮวามองเจียงหลีด้วยความตะลึง มิน่าล่ะชื่อของนางถึงได้ปรากฏอยู่อันดับแรก!
เจียงหลียิ้ม แล้วพูดตามความจริงว่า “ใช่วิชาในตำนานหรือไม่ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่เป็นวิชาที่ทรงพลังเอามากๆ ทักษะการต่อสู้นี้มีชื่อว่าฝ่ามือพลังปีศาจ”
“ฝ่ามือพลังปีศาจรึ” กงฉิงมองนางด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
กงเสวี่ยฮวาก็ตั้งใจฟัง “ทักษะการต่อสู้ในตำนาน! ทั้งซีฮวงคงจะมีไม่มาก เจ้านี่ก็โชคดีจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะได้ทักษะการต่อสู้ในตำนาน”
“อืม” เจียงหลีพยักหน้า แล้วพูดถึงวิชาฝ่ามือพลังปีศาจคร่าวๆ “เวทย์อาคมนี้สามารถเปลี่ยนพลังวิญญาณของตัวเองเป็นพลังปีศาจได้”
“ทำไมถึงเป็นพลังปีศาจ”
เจียงหลีคิดแล้วก็พูดตามที่ตนเองเข้าใจ “ข้าคิดว่าพลังปีศาจเป็นพลังที่รุนแรงกว่า บ้าคลั่งกว่า แข็งแกร่งกว่า แล้วก็น่ากลัวกว่าพลังวิญญาณ ส่วนรายละเอียดต้องสัมผัสเองถึงจะรู้”
“เช่นนั้นเจ้ายินยอมบันทึกวิชาฝ่ามือพลังปีศาจไว้ที่วังเทียนอู่กงหรือไม่” กงฉิงถาม
เจียงหลีพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” เรื่องนี้กงเสวี่ยฮวาได้บอกกับนางก่อนที่จะฝึกฝนแล้ว ถ้าหากนางไม่ยินยอม ก็ไม่ควรใช้สถานที่ของคนอื่นฝึกฝน ในเมื่อยอมรับแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเปลี่ยนใจ
เพียงแต่หลังจากที่กงฉิงสั่งให้คนเอากระดาษกับพู่กันมาบันทึก กลับเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้น
เจียงหลีได้วาดวิชาฝ่ามือพลังปีศาจลงบนกระดาษ แต่รอยหมึกกลับจางหายไปบนกระดาษ ลองวาดใหม่ดูอยู่หลายรอบก็เป็นเหมือนเดิม วิชาฝ่ามือพลังปีศาจไม่สามารถถูกบันทึกได้
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เจียงหลีขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา
นอกจากใช้หมึกเขียน นางยังลองสลักลงบนแผ่นหิน แต่ก็ยังคงไม่ได้ผล
“หรือว่าจะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของมันอย่างนั้นหรือ” กงเสวี่ยฮวาพูดอย่างหมดคำจะพูด
กงฉิงคิดไตร่ตรองอยู่สักพัก แล้วมองเจียงหลี นางรับรู้ได้ถึงสายตาของเขาจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา
“เจียงหลี ดูแล้ววิชาฝ่ามือพลังปีศาจคงมีวาสนาเพียงแค่กับเจ้า คนอื่นไม่สามารถฝึกฝนได้ ฝึกฝนอย่างไรก็ไม่สำเร็จ”
เจียงหลียิ้มแห้ง นางตั้งใจจะบันทึกวิชาด้วยความจริงใจ แต่กลับไม่คิดว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้
“ช่างเถอะ ดูแล้ววิชาฝ่ามือพลังปีศาจนี้กับวังเทียนอู่กงของข้าคงไม่มีวาสนาต่อกัน ข้าก็จะไม่ขอร้องเจ้าแล้ว เพียงแต่เจ้าจงจำไว้ว่าในเมื่อวิชาฝ่ามือพลังปีศาจได้มาจากวังเทียนอู่กงของข้า เช่นนั้นเจ้าต้องห้ามใช้เวทย์อาคมอย่างไร้มโนธรรม และทำเรื่องชั่วร้ายต่างๆ”
“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรเนี่ย” กงเสวี่ยฮวาพูดเตือนพ่อด้วยความไม่พอใจ
กงฉิงจ้องเขา แล้วมองไปยังเจียงหลี
เจียงหลีแววตาเปล่งประกาย สบตากับกงฉิงอย่างไม่หลบตา “ท่านลุงกงวางใจเถิด เรื่องผิดชอบชั่วดี ข้ารู้ดี”
“ดี!” กงฉิงพยักหน้า “ไปเถอะ ไปทำเรื่องที่เจ้าควรทำ”
“ท่านลุงกง ข้าขอลา!” เจียงหลีพยักหน้า แล้วออกจากตำหนักไปกับกงเสวี่ยฮวา
……
ณ เวทีประลอง ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเหมือนกัน
ที่เรียกว่าเวทีประลองแสดงวิทยายุทธ์ก็เพราะว่ายอดเขาถูกทำให้เป็นพื้นที่ราบ เพราะถูกทำให้เป็นพื้นที่ราบ ดังนั้นยอดเขาทั้งห้าที่อยู่รอบๆ ก็ดูสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด โอบล้อมเวทีประลองไว้ มองดูเวทีประลองจากที่สูงก็จะเห็นทุกอย่าง
มองไปจากที่ไกลๆ ก็จะเห็นเหมือนกับมือใหญ่ๆ ที่ยื่นออกไปกลางเมฆหมอก เวทีประลองก็คือกลางฝ่ามือ ยอดเขาทั้งห้าล้วนแต่เป็นที่นั่งดูการประลองที่เป็นชั้นๆ
จุดเชื่อมต่อของแต่ละยอดเขากับสถานที่นี้ไม่ใช่สะพาน แต่เป็นโซ่เหล็กสีดำหนา
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ขึ้นเวทีประลองหรือว่าผู้ชมการประลอง ก็ล้วนแต่ต้องผ่านโซ่เหล็กสีดำ
ตอนนี้ยอดเขาทั้งห้าได้เต็มไปด้วยผู้คนล้นหลาม และบนเวทีประลองมีคนๆ หนึ่งที่ร่างสูงใหญ่ยืนอยู่อย่างสันโดษ