ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 69 แม่นางเจียงหลีฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก!
“นึกไม่ถึงว่ามู่เหยี่ยนฉือจะเป็นคนขอท้าสู้เอง”
“มีอะไรน่าแปลก มู่เหยี่ยนฉือขอท้าสู้ก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว”
“ไม่ใช่ ข้าแปลกใจที่เจียงหลีไม่ใช่คนของวังเทียนอู่กง ทำไมเขาถึงท้าสู้เร็วขนาดนี้”
“หรือว่าเป็นเพราะเจียงหลีทำลายสถิติของเขาที่หอดูดาวหรือ”
“ก็อาจจะนะ ไม่ต้องไปสนเขาหรอก พวกเรามีเรื่องสนุกๆ ให้ดูก็พอ การต่อสู้ระหว่างปีศาจกับปีศาจเช่นนี้หาดูได้ยากมากนะ!”
“หวังว่าจะสนุกจริงๆ!”
“….”
บนยอดเขาอัฒจันทร์ทั้งห้าที่เหล่าลูกศิษย์ของวังเทียนอู่กงมารออยู่แล้ว ต่างก็พูดคุยกันเรื่องนี้
และท่ามกลางผู้คน มู่ชิงเหยียนมองชายที่อยู่บนเวทีประลองด้วยความวิตกกังวล อารมณ์สับสน นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ตอนแรกที่เขาจากไป ตนเองยังเป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองปี วันนี้มู่ชิงเหยียนไม่แน่ใจว่ามู่เหยี่ยนฉือจะจำตัวเองได้หรือไม่ นางก็แค่อยากรู้ว่าทำไมจู่ๆ มู่เหยี่ยนฉือถึงได้ท้าเจียงหลีสู้
หรือว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในหนานฮวง มู่ชิงเหยียนคาดเดาในใจ แต่ว่าความสงสัยนี้ ก็มีเพียงหลังจากการประลองแล้วเท่านั้นถึงจะรู้
“เอ๊ะ นี่ก็นานแล้ว ทำไมแม่นางเจียงหลีถึงยังมาไม่ถึงล่ะ”
“นั่นสิ นานมากแล้วนะ”
“ก่อนหน้านี้นายท่านเรียกนางไปก็เลยใช้เวลานาน ในเมื่อปล่อยควันสีแดงแล้ว ก็หมายความว่ารับคำท้าแล้ว ไม่น่าไม่มานะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
ในระหว่างที่ผู้คนรออยู่ด้วยความร้อนใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโซ่ดังมาจากในเมฆหมอก
ที่ตามมาติดๆ ก็คือคนสองคนที่ตามกันมาอยู่บนโซ่ แล้วปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก
“งดงามยิ่งนัก! แม่นางเจียงหลีช่างงดงามจริงๆ!”
“ใช่แล้ว ราวกับลงมาจากฟ้าเหมือนกับนางฟ้าลงมาจุติจริงๆ”
“เจ้าบอกว่านางคือนางฟ้า แต่ข้ากลับรู้สึกว่านางเหมือนปีศาจมากกว่า เจ้าดูใบหน้าที่งดงามและมีเสน่ห์ของนาง เป็นเสน่ห์ที่เย้ายวนของปีศาจ!”
“นางฟ้าก็ดี ปีศาจก็ดี เจ้าดูองค์ชายน้อยกงที่ใส่ใจนางเช่นนี้ ก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่คนที่พวกเราจะคิดอะไรไร้สาระด้วยได้”
เหล่าลูกศิษย์ชายของวังเทียนอู่กงหลงใหลในความงามของเจียงหลี แต่ลูกศิษย์สตรีกลับรู้สึกอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก
บางทีนี่ก็คือธรรมดาของสตรีที่พอเจอคนที่สวยกว่าตัวเองก็มักจะรู้สึกอิจฉา
ส่วนคนที่ตะโกนเรียกชื่อของมู่เหยี่ยนฉือ ส่วนมากเป็นลูกศิษย์สตรีของวังเทียนอู่กง
เจียงหลีลงมาบนเวทีประลองอยู่ตรงหน้ามู่เหยี่ยนฉือ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางได้เจอกับองค์ชายรองที่เคยได้ยินมา
ดูเคร่งขรึมแข็งแกร่งและรูปงามเป็นอย่างมาก มีความหล่อเหลา สง่าผ่าเผยและห้าวหาญ ไม่ได้เหมือนฮ่องเต้แห่งโฮ่วจิ้นมาก คงจะเหมือนมารดาเสียมากกว่า
บนเวทีประลองมีฉากกำบังกั้นอยู่ เรื่องที่ทั้งสองคนคุยกัน ไม่มีทางที่คนภายนอกจะได้ยิน
“เจียงหลี จักรพรรดินีแห่งหนานฮวง” มู่เหยี่ยนฉือพูดคำแรกก็เปิดเผยฐานะของเจียงหลีเลย
เจียงหลีเลิกคิ้ว แล้วพูดอย่างหยอกเย้าว่า “ดูแล้ว ถึงแม้ว่าตัวเจ้าจะอยู่ที่ซีฮวง แต่กลับรู้เรื่องราวในหนานฮวงดีไม่น้อย”
มู่เหยี่ยนฉือไม่ได้พูดอะไร มองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ
นางงดงามมากจริงๆ ทั้งตัวเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ยั่วยวนของปีศาจ แม้แต่คนอย่างเขาที่ไม่เคยสนใจเรื่องหน้าตามาก่อน ก็ยังยืนยันได้ว่านางงดงามมากจริงๆ
หลังผ่านไปชั่วครู่ มู่เหยี่ยนฉือถึงพูดอย่างเย็นชาว่า “ในมือของเจ้ามีหนี้โลหิตของตระกูลข้า ศึกชิงอำนาจจักรพรรดิ ชนะเป็นราชา แพ้เป็นกบฏ เดิมก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าสายเลือดที่ไหลเวียนในตัวข้าเป็นสายเลือดของตระกูลมู่ ข้าจำเป็นจะต้องทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อเจ้ามาอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว เช่นนั้นหลังจากการต่อสู้วันนี้ไป ไม่ว่าผู้ใดจะแพ้หรือชนะ ความเคียดแค้นระหว่างเจ้ากับข้าเป็นอันหมดสิ้น”
คำพูดนี้ของเขาทำให้เจียงหลีประหลาดใจเล็กน้อย เดิมเพราะว่าได้เจอกับชายผู้โง่เขลาที่ร้องตะโกนเพื่อแก้แค้น แต่ไม่คิดว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้
“ดี! ตรงไปตรงมา! ข้าชอบ!” เจียงหลีพูดด้วยรอยยิ้ม
“มาเริ่มกันเถอะ” มู่เหยี่ยนฉือถอยหลังไปหนึ่งก้าว แสงสีทองเปล่งประกายอยู่ด้านหลังเขา วิญญาณยุทธ์ของเขาค่อยๆ ปรากฎขึ้น นอกจากวิญญาณยุทธ์ระดับที่หนึ่งแล้ว ที่เหลือก็เป็นวิญญาณยุทธ์ระดับที่สอง หลังจากวิญญาณยุทธ์ปรากฏขึ้น พลังของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เสียงร้องคำรามที่บ้าคลั่งดังขึ้น ผู้คนที่อยู่บนอัฒจันทร์ดูอย่างตั้งใจ
ส่งเสียงในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เริ่มแล้ว
มู่เหยี่ยนฉือสั่นมือทั้งสองข้างไปด้านหน้า พริบตาเดียวก็เหมือนว่ามีศาสตราวุธสีทองปรากฏขึ้นในมือของเขา ที่ตามมาก็คือมีเสียงมังกรคำรามที่น่ากลัวดังออกมา พลังสังหารรุนแรงยิ่งนัก
เจียงหลีสีหน้ายังคงเดิม ยังไม่ได้ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมา นางยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม มือข้างหนึ่งไขว้หลัง ส่วนอีกข้างเหมือนแกว่งไปมาตามใจ แต่กลับแฝงไปด้วยกำลังฝ่ามือพันชั่ง
มู่เหยี่ยนฉือได้ใช้พลังวิญญาณทำให้กลายเป็นศาสตราวุธสีทอง มือของเขากำศาสตราวุธแล้วพุ่งเข้าไปหาฝ่ามือที่แวววาวของเจียงหลี
เสียงคลื่นพลังดังขึ้น ชั่วขณะที่ฝ่ามือของเจียงหลีปะทะเข้ากับศาสตราวุธของมู่เหยี่ยนฉือ เจียงหลีแอบพูดในใจ พลังน่าทึ่งมาก!
อ๊ากก! มู่เหยี่ยนฉือตะโกนด้วยความโกรธ พลังวิญญาณที่บ้าคลั่งพรั่งพรูเข้าสู้ศาสตราวุธในมือของเขา
พลังคำรามโจมตีเข้ามาอีกครั้ง เจียงหลีถอยหลังไป ร่างกายล้มลงไปข้างหลัง
“ยังคงเป็นมู่เหยี่ยนฉือที่เก่งกาจกว่าจริงหรือ”
“พลังของมู่เหยี่ยนฉือถือเป็นพลังที่ต่อให้เป็นพวกเราก็ยากที่จะต้านทานได้ นับภาษาอะไรกับสตรีนางหนึ่งเล่า”
“ถ้าปะทะกันตรงๆ เหมือนว่าเจียงหลีจะอ่อนกว่า!”
เหล่าลูกศิษย์ชายของวังเทียนอู่กงต่างรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา กลัวว่าสาวงามจะถูกรังแก แม้แต่กงเสวี่ยฮวาก็แอบเป็นกังวลในใจ ด่ามู่เหยี่ยนฉือที่ไม่รู้จักเห็นใจสตรีเป็นร้อยเป็นพันรอบอยู่ในใจ
ส่วนเหล่าลูกศิษย์หญิงของวังเทียนอู่กงเห็นเจียงหลีถูกโจมตีจนถอยหลัง ก็รีบส่งเสียงโห่ร้องดีใจขึ้นมาทันที
“มนุษย์สัมพันธ์ของเจ้าไม่เลวเลยนี่” ได้ยินเสียงเหล่าลูกศิษย์ผู้หญิงส่งเสียงโห่ร้องดีใจ เจียงหลียิ้มมุมปากแล้วพูดกับมู่เหยี่ยนฉือ
มู่เหยี่ยนฉือไม่ได้สนใจเสียงโห่ร้องดีใจเหล่านั้น สายตาจ้องมองนาง “เจ้ายังไม่ลงมืออีกหรือ”
“ข้ากลัวว่าหลังจากที่ข้าลงมือ เจ้าจะไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพ” เจียงหลีพูดด้วยความจริงใจ
“เหอะ! คุยโวอย่างหน้าไม่อาย!” มู่เหยี่ยนฉือส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ เขาควงศาสตราวุธที่อยู่ในมือ แล้วพุ่งเข้าโจมตีเจียงหลีอีกครั้ง เขาจับศาสตราวุธของเขาไว้แน่น จนมีพลังที่รุนแรงปกคลุมอยู่ทั่วศาสตราวุธ
ที่ๆ ศาสตราวุธฟาดฟันไป ทำให้พื้นเวทีประลองเปิดออก เป็นร่องรอยที่รุนแรง
ร่างของเจียงหลีเป็นดั่งภาพมายา เคลื่อนไหวอยู่บนเวทีประลองอย่างต่อเนื่อง ไม่ปะทะโดยตรงกับมู่เหยี่ยนฉือ
แฮ่กๆ! เสียงๆ หนึ่งดังขึ้น ผู้คนเห็นเพียงแค่แสงสีแสงที่กะพริบบนเวทีประลอง
“อืม เจียงหลีรับมือแบบนี้ ไม่ปะทะตรงๆ แล้วค่อยหาโอกาส”
“ไม่เลว! นี่ก็คือกลยุทธ์การต่อสู้ มู่เหยี่ยนฉือนั่นถนัดแต่การจู่โจมซึ่งหน้า แต่ไหนแต่ไรมาก็ต่อสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน”
“แม่นางเจียงหลีช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก!”
เหล่าลูกศิษย์ชายของวังเทียนอู่กงต่างพากันหาเหตุผลที่เหมาะสมสำหรับการ ‘หลบเลี่ยง’ ของเจียงหลี
ส่วนเหล่าลูกศิษย์หญิงกลับมองด้วยความเหยียดหยาม และต่างพากันพูดถากถาง
“กลยุทธ์การต่อสู้อะไรกัน ก็เห็นๆ อยู่ว่าเอาชนะไม่ได้!”
“ยังจะบอกว่าฉลาดปราดเปรื่องอีกรึ แบบนี้เรียกว่าขี้ขลาดเหมือนหนูต่างหากเล่า”
“…”