ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 72 นี่คือกรรมที่ใครก่อเอาไว้
เมื่อเจียงหลีกลับมาถึงที่พำนักของตนและดันประตูเข้ามาก็เห็นเจ้าเปี๊ยกนอนขดตัวอยู่บนเตียง ขนสีขาวเงินของมันปกคลุมไปด้วยแสงส่องประกายเป็นชั้นๆ
ดูเหมือนเจ้าเปี๊ยกกำลังเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรบางประการอยู่
เจียงหลีจึงผ่อนฝีเท้าให้เบาลงอย่างช่วยไม่ได้เพราะนางไม่อยากรบกวนการฝึกบำเพ็ญของมัน
เมื่อเห็นเจ้าเปี๊ยกนอนหลับสงบเงียบ อารมณ์ของเจียงหลีจึงสงบลงมาบ้าง
เจียงหลียกที่นอนให้เจ้าเปี๊ยก จากนั้นนั่งขัดสมาธิลงบนฟูกนอนเพื่อเข้าสู่เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ อ้อ! นางไม่ได้เข้าไปเพื่อฝึกฝน แต่นางเข้าไปรดน้ำต้นไม้
จนกระทั่งนางออกมาจากเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันรวดเร็วดังมาจากด้านนอก
เจียงหลีปล่อยพลังจิตออกไปสังเกตการณ์ก็เห็นว่ากงเสวี่ยฮวาเดินมาจากข้างนอกแล้วก็มู่ชิงเหยียนที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่พอเห็นกงเสวี่ยฮวาก็เข้าไปต้อนรับ
เจียงหลีขยับสายตาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง
พอนางออกไปแล้วกงเสวี่ยฮวากับมู่ชิงเหยียนก็นมามองนางพร้อมกัน
“เจียงหลี เจ้าออกมาพอดีเลย ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกเจ้า” กงเสวี่ยฮวาเดินตรงไปที่ข้างหน้าของเจียงหลี
“เรื่องอะไรหรือ” ยากนักที่เจียงหลีจะเห็นกงเสวี่ยฮวามีสีหน้าเคร่งเครียดถึงเพียงนี้
กงเสวี่ยฮวาเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่นี้ข้าได้รับข่าวว่ามีใครบางคนสืบเรื่องของเจ้าในทางตอนใต้ ดูเหมือนเขากำลังถูกพวกสำนักพรตเสวียนหมิงจับตาดูอยู่”
“ว่าอย่างไรนะ!” เจียงหลีตกใจสุดขีด
ใครจะตามสืบข่าวเรื่องของนางได้ นั่นเป็นไปได้ว่ามีเพียงหนานอู๋เฮิ่นเท่านั้นแล้วไม่ได้มีแค่คนเดียว ซึ่งนั่นหมายความว่าหนานอู๋เฮิ่นกลับไปถึงฮวงเสินแล้วตามคนมาช่วยนาง!
เจียงหลีไม่ต้องเสียเวลาใช้สมองคิดก็สามารถเดาได้ว่าคนที่ตามมาช่วยคือผู้ใด
“เจ้าทราบข่าวได้อย่างไร” เจียงหลีถามด้วยความร้อนรน
กงเสวี่ยฮวาเองก็ไม่คิดจะปิดบังนาง “กลุ่มอำนาจระดับสูงต่างมีหน่วยข่าวกรองของตัวเอง ยิ่งเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักพรตเสวียนหมิง ข้าก็เลยสั่งให้คนไปติดตามฝั่งนั้นก่อนหน้านี้แล้ว ภายหลังจึงพบว่ามีคนกำลังสืบเบาะแสของเจ้าอยู่ ทั้งยังถูกสำนักพรตเสวียนหมิงจับสังเกตได้อีกจึงส่งข่าวกลับมา”
“ข้าต้องรีบกลับไปสำนักพรตเสวียนหมิงเดี๋ยวนี้!” เจียงหลีโพล่งออกมาโดยไม่ลังเลสักนิด
กงเสวี่ยฮวาพยักหน้ารับ “ข้าจะไปเตรียมความพร้อมแล้วออกเดินทางทันที”
เมื่อกล่าวเสร็จสรรพเขาก็หันตัววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เจียงหลีมองไปทางมู่ชิงเหยียนและกำลังคิดว่าจะให้นางอยู่ที่วังเทียนอู่กงก่อน ถึงอย่างไรมีมู่ชิงเหยียนคอยรั้งไว้อยู่ที่นี่ นางก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก มู่ชิงเหยียนก็พูดขึ้นมาตรงๆ เสียก่อน “เจียงเฮ่าก็อยู่ที่นั่นด้วยใช่หรือไม่”
เจียงหลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนคำพูด “ข้ายังมิสามารถยืนยันได้ แต่มีความเป็นไปได้มากเหมือนกัน”
“ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า” น้ำเสียงของมู่ชิงเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น
“เจ้า…” เจียงหลีไม่ได้อยากให้มู่ชิงเหยียนเสี่ยงอันตรายไปพร้อมกับนางด้วย
แต่ทว่ามู่ชิงเหยียนกลับยืนกราน “ข้ารู้ ด้วยระดับการฝึกฝนของข้าในตอนนี้อาจมิได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ทว่าเจ้าเพิ่งจะบอกข้าก่อนหน้านี้ว่าให้ข้าได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างที่ใจปรารถนา เจ้าจะห้ามความปรารถนาของข้าในตอนนี้ไม่ได้ เจ้าไว้ใจได้ ข้าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าแล้วก็จะไม่ถ่วงความเจริญเจ้าด้วย”
เจียงหลีสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้า “ก็ได้ ไปด้วยกันก็ได้”
เจียงหลีอุ้มเดรัจฉานน้อยขึ้นมาในอ้อมกอดอีกครั้ง สิ่งของที่เหลือนางก็เก็บเอาไว้ในกระเป๋าวิเศษ จากนั้นเจียงหลีและมู่ชิงเหยียนจึงพากันออกไปรอกงเสวี่ยฮวาที่ด้านนอก
แต่ผลลัพธ์คือคนที่พวกนางรอกลับไม่ใช่กงเสวี่ยฮวาแต่เป็นนกยักษ์ที่บินโฉบมาเหนือศีรษะ
“นกยักษ์ตัวใหญ่นัก!” มู่ชิงเหยียนอึ้งไปชั่วขณะ
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นกงเสวี่ยฮวาโผล่หน้าออกมาบนหลังนกยักษ์ “ขึ้นมา” เขายืนทักทายสตรีทั้งสองอยู่บนหลังนกยักษ์
เจียงหลีไม่ลังเลและทะยานขึ้นสู่อากาศพร้อมกับมู่ชิงเหยียนแล้วทิ้งตัวลงบนหลังของนกยักษ์
หลังจากยืนอย่างมั่นคงแล้วนางถึงสังเกตเห็นเก้าอี้สามตัวนี้ยึดติดบนหลังของนกยักษ์และไม่มีลมกรรโชกแรงเลยสักนิด
“นั่งให้เรียบร้อย ประเดี๋ยวพวกเราจะออกเดินทางกัน” กงเสวี่ยฮวาหันหน้าออกคำสั่ง
เมื่อเจียงหลีและมู่ชิงเหยียนต่างพากันนั่งเรียบร้อยแล้ว กงเสวี่ยฮวาก็บังคับนกยักษ์บินทะยานสู่ท้องนภา เผลอนิดเดียววังเทียนอู่กงก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ ในสายตาพวกเขาเสียแล้ว
“เจ้ายานพาหนะนกยักษ์นี่บินเก่งไม่เลวเลย!” เจียงหลีออกเสียงเอ่ยชมท่ามกลางอากาศ
กงเสวี่ยฮวาเอ่ยขำ “นี่เรียกว่านกปี้อวิ๋น ไร้ซึ่งพลังโจมตีใดๆ มันเชื่องมาก ทั้งมีความอดทน ปราดเปรียวรวดเร็ว และมีรูปร่างที่ใหญ่พอ โดยทั่วไปมักจะถูกกลุ่มอำนาจระดับสูงหรือกลุ่มอำนาจระดับกลางที่มีพลังความสามารถเลี้ยงเอาไว้ใช้งาน แต่โดยทั่วไปหากไม่ใช่เวลาเร่งด่วนก็จะใช้นกปี้อวิ๋นบินน้อยมาก”
“เพราะเหตุใด” มู่ชิงเหยียนถามด้วยความสงสัย ถึงแม้สำนักเขาเฟิ่งอู่ซานจะเป็นเพียงกลุ่มอำนาจระดับกลางแต่ก็กลับจัดอยู่ในอันดับฐานะต่ำจึงมิสามารถเลี้ยงนกปี้อวิ๋นได้ตั้งแต่แรก
“เพราะว่าเร็วเกินไปจึงบินพลาดข้ามภูเขาข้ามน้ำไปได้โดยง่ายอย่างไรเล่า เช่นนั้นก็จะน่าเบื่อจริงๆ! ฮ่าๆๆๆ” เมื่อกงเสวี่ยฮวาพูดจบก็หัวเราะร่วน
เหตุผลนี้นี่มัน
เจียงหลีพูดไม่ออก
ตอนที่นางเห็นนกปี้อวิ๋นก็คิดก่อนเป็นอันดับแรกว่าถ้าใช้นกปี้อวิ๋นบินได้ ระยะทางระหว่างหนานฮวงและซีฮวงจะลดลงไปมากหรือไม่
แต่ถ้าเทียบกันแล้วค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงนกปี้อวิ๋นนั้นสูงมาก มิฉะนั้นสถาบันไป๋หยวนก็ไม่จำเป็นต้องโดยสารผู้คนด้วยเรือไปแล้ว หากให้กลุ่มอำนาจฮวงเสินส่งนกปี้อวิ๋นมารับได้ก็คงจะดี
ความเร็วของนกปี้อวิ๋นเร็วมาก ระยะทางจากวังเทียนอู่กงถึงสำนักพรตเสวียนหมิงใช้เวลาในการเดินทางบกประมาณสองถึงสามเดือนได้แต่ในขณะที่นกปี้อวิ๋นใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็ถึงแล้ว
ภายในเจ็ดวันนี้ นกปี๋อวิ๋นพักระหว่างทางทั้งหมดห้าครั้ง และทุกครั้งที่เจียงหลีและมู่ชิงเหยียนเห็นกงเสวี่ยฮวาหยิบกองผลไม้ออกมาจากกระเป๋าวิเศษให้เจ้านกปี้อวิ๋นกิน พวกนางก็รู้แล้วว่าทำไมถึงได้ใช้นกปี้อวิ๋นเป็นยานพาหนะโดยสารไม่บ่อยนัก
ผลไม้พวกนั้นคล้ายกับที่เจียงหลีกินตอนติดอยู่เกาะร้าง แต่เมื่อนางเข้ามาในซีฮวงดินแดนตะวันตกนี้กลับแทบไม่ค่อยได้เห็น แสดงว่าผลไม้เหล่านี้มีพื้นที่เติบโตโดยเฉพาะของมัน ไม่สามารถพบเจอได้ทั่วไป
เมื่อกลับมายังสำนักพรตเสวียนหมิงอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้คนสังเกต หลังจากเจียงหลีลงสู่พื้นดินจึงเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ให้กลายเป็นคนธรรมดา ลมปราณก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย คนนอกดูแล้วตอนนี้นางเป็นแค่
หลิงจงระดับสามเท่านั้น
ส่วนหลิวหลี
หลังจากนางครุ่นคิดดีแล้วนางจึงเก็บหลิวหลีไว้ในกระเป๋าวิเศษ โชคดีที่กระเป๋าวิเศษพกพาสามารถเก็บสิ่งมีชีวิตได้ เพื่อไม่ให้หลิวหลีต้องมาขาดใจตาย
กงเสวี่ยฮวาและมู่ชิงเหยียนพอเห็น ‘มายากล’ แปลงกายของเจียงหลีต่างก็พากันตกตะลึง
เจียงหลีอธิบายอย่างภาคภูมิใจ “ว่าที่สามีของข้ามอบของขวัญให้ข้าเป็นสินสอด”
“เจ้ามีคู่หมั้นแล้วหรือ” กงเสวี่ยฮวาถามเสียงอ่อย
มู่ชิงเหยียนขมวดคิ้วมุ่น แต่นางจำได้ดีถึงความรู้สึกของเจียงหลีที่มีต่อลู่เจี้ย แต่ลู่เจี้ยตายไปแล้วมิใช่หรือ
“ไปกันเถอะ ไปสืบดูสถานการณ์ก่อน” เจียงหลีจบประเด็นนี้อย่างรวดเร็ว
ทั้งสามเดินรวมกันเข้าไปยังคูเมืองที่ใกล้สำนักพรตเสวียนหมิงที่สุดด้วยท่าทางสบายๆ เมื่อเข้าไปถึงพวกเขาก็รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดพิกล
โดยเฉพาะกงเสวี่ยฮวา เขามักจะรู้สึกว่าพอตนเองเหยียบเข้ามาก็มีหลายคนมองมาที่เขา
ต่อมาก็คือมู่ชิงเหยียน นางเองก็รู้สึกถึงสายตาที่ไม่หวังดีเช่นกัน
“ทำไมผู้คนที่อาศัยในละแวกสำนักพรตเสวียนหมิงถึงได้ดูแปลกประหลาดเยี่ยงนี้” กงเสวี่ยฮวาขนลุกขนชัน
เจียงหลีเอ่ยเสียงต่ำ “สีหน้าท่าทางของคนที่เฝ้ารักษายามคูเมืองรอบนอกสำนักพรตเสวียนหมิงก็ค่อนข้างแปลกๆ”
เมื่อพูดจบเจียงหลีก็มองย้อนกลับไปดูและรู้สึกราวกับว่าสายตาของคนเหล่านี้เหมือนจะยังเป็นหนุ่มวัยกลัดมันทั้งยังหน้าสวยราวกับสตรีก็มิปาน
“หน่วยข่าวกรองของเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ตามหาข้าอยู่ที่ไหน” เจียงหลีถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยถามกงเสวี่ยฮวา